คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ก็เพิ่งมารู้กระทู้นี้เเหละ ว่าเรื่องสมาธิสั้นต้องบอกตอนทำฟันด้วย
ลูกเราก็สมาธิสั้น เเต่ทำฟันไม่เคยมีปัญหา เลือกทำตามคลินิกมากกว่า เเม้จะเเพงกว่า
เพราะหมอมีวิธีล่อหลากหลายมาก เปิดการ์ตูนให้ดู มีของเล่นมาล่อ ไม่ใช่เข้ามาเเล้วขึ้นเตียงอ้าปากเเบบของผู้ใหญ่
ลูกก็นิ่ง เเละให้ความร่วมมือดีมาก เพราะอยากได้สติกเกอร์กับของเล่น
ที่อื่นไม่รู้นะคะ เเต่ รพ ที่เราเคยให้ลูกเราไปทำฟันไม่ถามนะ เราก็ไม่เห็นความเกี่ยวข้องนะเพราะไม่มีประสบการณ์ด้วยเเหละ
ส่วนเรื่องค่าบริการ อันนี้ไม่เเน่ใจค่ะ เเต่เอกชนเเถวบ้าน หมอให้คำปรึกษาหรือตรวจดูเเบบไม่ได้ใช้เครื่องมือ
ยืนคุยกับเรานาน 10 - 20 นาที ไม่คิดค่าบริการค่ะ เเต่มันอาจจะไม่ใช่มาตรฐานก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้เปลี่ยน รพ บ่อยด้วยสิ
ลองดูของสมิติเวช ศรีนครินทร์นะคะ หรือหาคลินิกหมอฟันเด็กไปเลยก็ดี
ลูกเราก็สมาธิสั้น เเต่ทำฟันไม่เคยมีปัญหา เลือกทำตามคลินิกมากกว่า เเม้จะเเพงกว่า
เพราะหมอมีวิธีล่อหลากหลายมาก เปิดการ์ตูนให้ดู มีของเล่นมาล่อ ไม่ใช่เข้ามาเเล้วขึ้นเตียงอ้าปากเเบบของผู้ใหญ่
ลูกก็นิ่ง เเละให้ความร่วมมือดีมาก เพราะอยากได้สติกเกอร์กับของเล่น
ที่อื่นไม่รู้นะคะ เเต่ รพ ที่เราเคยให้ลูกเราไปทำฟันไม่ถามนะ เราก็ไม่เห็นความเกี่ยวข้องนะเพราะไม่มีประสบการณ์ด้วยเเหละ
ส่วนเรื่องค่าบริการ อันนี้ไม่เเน่ใจค่ะ เเต่เอกชนเเถวบ้าน หมอให้คำปรึกษาหรือตรวจดูเเบบไม่ได้ใช้เครื่องมือ
ยืนคุยกับเรานาน 10 - 20 นาที ไม่คิดค่าบริการค่ะ เเต่มันอาจจะไม่ใช่มาตรฐานก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้เปลี่ยน รพ บ่อยด้วยสิ
ลองดูของสมิติเวช ศรีนครินทร์นะคะ หรือหาคลินิกหมอฟันเด็กไปเลยก็ดี
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ไม่ได้มาเข้าข้างใครเลยนะ อย่าเข้าใจผิด
1. ควรแจ้งปัญหา ใดๆก็ตาม ที่ทราบ ก่อนหมอลงมือทำฟัน
จะรอให้หมอถามทุกอย่างจนครบ หมอไม่รู้หรอกว่าต้องถามอะไรบ้าง ต่างคนต่างปัญหา
2. ถ้าหมอขืนทำไปโดยเด็กไม่ยอม ดิ้นพราดๆขึ้นมา เครื่องมือทำฟันเป็นของแหลมคม อันตรายแค่ไหน ?
หมอเขาไม่มาเสี่ยง เพราะเงิน 200-300 บาท หรอก
3. การนัดหมอฟันนั้น เขานัดตามเวลาที่ต้องใช้โดยประมาณ ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง แล้วแต่ความยาก-ง่าย แต่ละกรณี
ไม่ใช่ทำต่อกันไปเรื่อยๆ ดังนั้น ครึ่งชั่วโมงที่นัดกรณีของลูกคุณ จขกท คือ เวลาที่จองไว้ให้คุณ จึงคิดค่าบริการตามนั้น
หมอก็ได้ค่าปฏิบัติการ ตามเวลานั้น
มันเป็นกฏระเบียบของเขา เขาไม่ได้ปฏิเสธงาน แต่ทำงานในภาวะนั้นไม่ได้ เพราะคนไข้ ส่ายหน้า ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา.......
เพิ่มเติม : อ่าน คห ที่ 67 แล้ว
สงสารทันตแพทย์ - ช่างเป็นวันหนึ่ง อันสุดซวย
สงสารคนไข้เด็ก - ช่างเป็นลูกคนหนึ่ง อันสุด××× เช่นกัน
1. ควรแจ้งปัญหา ใดๆก็ตาม ที่ทราบ ก่อนหมอลงมือทำฟัน
จะรอให้หมอถามทุกอย่างจนครบ หมอไม่รู้หรอกว่าต้องถามอะไรบ้าง ต่างคนต่างปัญหา
2. ถ้าหมอขืนทำไปโดยเด็กไม่ยอม ดิ้นพราดๆขึ้นมา เครื่องมือทำฟันเป็นของแหลมคม อันตรายแค่ไหน ?
หมอเขาไม่มาเสี่ยง เพราะเงิน 200-300 บาท หรอก
3. การนัดหมอฟันนั้น เขานัดตามเวลาที่ต้องใช้โดยประมาณ ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง แล้วแต่ความยาก-ง่าย แต่ละกรณี
ไม่ใช่ทำต่อกันไปเรื่อยๆ ดังนั้น ครึ่งชั่วโมงที่นัดกรณีของลูกคุณ จขกท คือ เวลาที่จองไว้ให้คุณ จึงคิดค่าบริการตามนั้น
หมอก็ได้ค่าปฏิบัติการ ตามเวลานั้น
มันเป็นกฏระเบียบของเขา เขาไม่ได้ปฏิเสธงาน แต่ทำงานในภาวะนั้นไม่ได้ เพราะคนไข้ ส่ายหน้า ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา.......
เพิ่มเติม : อ่าน คห ที่ 67 แล้ว
สงสารทันตแพทย์ - ช่างเป็นวันหนึ่ง อันสุดซวย
สงสารคนไข้เด็ก - ช่างเป็นลูกคนหนึ่ง อันสุด××× เช่นกัน
ความคิดเห็นที่ 67
จากเคสที่แม่เด็กสมาธิสั้นไปโพสต์ลงพันทิปว่าหมอไม่ยอมทำฟันให้ลูก ทางหมอฝากมาบอกครับ
แม่พาลูกมาขูดหินน้ำลาย +เคลือบฟลูออไรด์ แต่จะใช้คูปองผู้ใหญ่ 690 บาท ซึ่งเป็นคูปอง ตรวจ X-rays OPG +2BW. แต่ถ้าขูดหินน้ำลาย =790 บาท (รวมค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว) ซึ่งแม่ก็ต่อรองจะใช้คูปองซึ่งจะถูกกว่า (ปกติหมอคิด 700 +ค่าบริการโรงพยาบาล 220=920บาท) หมอก็โอเค จะทำให้ และใช้ราคา 690
แต่พอเริ่มทำ เด็กค่อนข้างโต น่าจะราวๆ5-6 ขวบ ลุกปัดเครื่องมือ ตีนถีบ หลายครั้งหมอก็พยายามพูดปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะหมอท่านนี้จะไม่มัดตัวเด็ก ระหว่างที่คุยแม่เด็กเลยบอกว่าเด็กสมาธิสั้น หมอให้ทานยาแต่แม่ไม่ได้ให้ทาน เพราะเพื่อนบอกว่าเด็กยังเล็กไม่ต้องทาน หมอเลยพยายามอธิบายให้แม่ฟังว่าเด็กจำเป็นต้องสงบในระดับหนึ่ง แต่ถ้าแม่ไม่สบายใจเรื่องยาให้ปรึกษาหมอก่อน ถ้าหมอบอกไม่ต้องทานก็ได้ ก็ให้หมอเขียนแนะนำมา และถ้าแม่กลัวเสียเวลาก็ให้ทำที่นั้นเลยก็ได้ วันนั้นหมอเค้าก็ไม่ได้คิดเงินเพราะขัดฟันไปได้ 4-5 ซี่ แม่ก็ถามว่าคิดแต่ค่าตรวจเฉยๆใช่มั๊ย ซึ่งก็คือ 200 บาท+ ค่าบริการโรงพยาบาลอีก 220 บาทครับ หมออธิบายเสร็จหมดแม่ก็ดูเข้าใจดีครับ ตอนนี้หมอเค้าจิตตกมากเลยมาขออธิบายแทนครับ
แม่พาลูกมาขูดหินน้ำลาย +เคลือบฟลูออไรด์ แต่จะใช้คูปองผู้ใหญ่ 690 บาท ซึ่งเป็นคูปอง ตรวจ X-rays OPG +2BW. แต่ถ้าขูดหินน้ำลาย =790 บาท (รวมค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว) ซึ่งแม่ก็ต่อรองจะใช้คูปองซึ่งจะถูกกว่า (ปกติหมอคิด 700 +ค่าบริการโรงพยาบาล 220=920บาท) หมอก็โอเค จะทำให้ และใช้ราคา 690
แต่พอเริ่มทำ เด็กค่อนข้างโต น่าจะราวๆ5-6 ขวบ ลุกปัดเครื่องมือ ตีนถีบ หลายครั้งหมอก็พยายามพูดปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะหมอท่านนี้จะไม่มัดตัวเด็ก ระหว่างที่คุยแม่เด็กเลยบอกว่าเด็กสมาธิสั้น หมอให้ทานยาแต่แม่ไม่ได้ให้ทาน เพราะเพื่อนบอกว่าเด็กยังเล็กไม่ต้องทาน หมอเลยพยายามอธิบายให้แม่ฟังว่าเด็กจำเป็นต้องสงบในระดับหนึ่ง แต่ถ้าแม่ไม่สบายใจเรื่องยาให้ปรึกษาหมอก่อน ถ้าหมอบอกไม่ต้องทานก็ได้ ก็ให้หมอเขียนแนะนำมา และถ้าแม่กลัวเสียเวลาก็ให้ทำที่นั้นเลยก็ได้ วันนั้นหมอเค้าก็ไม่ได้คิดเงินเพราะขัดฟันไปได้ 4-5 ซี่ แม่ก็ถามว่าคิดแต่ค่าตรวจเฉยๆใช่มั๊ย ซึ่งก็คือ 200 บาท+ ค่าบริการโรงพยาบาลอีก 220 บาทครับ หมออธิบายเสร็จหมดแม่ก็ดูเข้าใจดีครับ ตอนนี้หมอเค้าจิตตกมากเลยมาขออธิบายแทนครับ
ความคิดเห็นที่ 15
คุณแม่อย่าเหวี่ยงค่ะ อย่างข้างบนว่าแหล่ะ เข้าใจว่าถูกขัดใจและขัดขวางความต้องการ แต่การเหวี่ยงทุก คห มันไม่น่ารักจริงๆค่ะ
ถ้าต้องการเหวี่ยงเก็บไว้บ่นกับเพื่อนๆ ญาติๆ ดีกว่าเอามาลงพันทิปที่เขาไม่รู้จักคุณและ ทพ คนนั้น แต่เขาอธิบายตามหลักเหตุผลนะคะ
เราเองก็ไม่ใช่ ทพ แต่ก็เคยทำงานกับเด็ก มันก็มีแนวปฏิบัติอยู่ ถ้าเด็กไม่พร้อมจริงๆ ส่วนใหญ่ก็ให้เด็กมาใหม่วันหลังทั้งนั้นล่ะ
เคยรับเคสเด็กสมาธิสั้นมาเหมือนกัน ก็สอบถามประวัติ แต่เวลาทำต้องลงหมายเหตุไว้เป็นพิเศษเพิ่มเติม
แต่กรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือเลยจริงๆ ก็ไม่ฝืนตรวจ เพื่อเอาใจพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กหรอกค่ะ
ประมาณว่า นี่ลางาน ลาเรียนมาแล้วไง ทำเลยไม่ได้หรอ เพราะการรักษาผลประโยชน์ในการรักษาให้ผู้ป่วยต้องมาก่อน
ผลประโยชน์ที่ว่า ไม่ใช่แค่การตรวจหรือรักษาให้เสร็จๆไป แต่คือ การป้องกันความเสี่ยงทุกประการที่จะเกิดขึ้นด้วย ไม่ใช่รอให้เกิดแล้วค่อยแก้
ดังนั้นกลับไปซะก่อนแล้วให้ทางเลือกว่า มาใหม่ในวันที่พร้อม จึงเหมาะสมแล้ว
ทพ คนนั้นก็ให้ทางเลือกคุณนี่คะว่า กลับไปทานยามาก่อน หรือ ไปรักษาที่ๆเขามีประวัติร่วมโรคด้านอื่นอยู่
ตรงนี้เป็นดุลยพินิจของผู้รักษา เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่พึงประสงค์ค่ะ
ส่วนเรื่องการการแจ้งข้อมูล เพื่อประโยชน์ของตัวผู้ป่วยเอง ญาติหรือผู้ป่วย ควรแจ้งนะคะ ไม่ใช่รอให้ถามอย่างเดียว
เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคุณไม่ใช่หมอดู ผู้หยั่งรู้ หรือ อับดุล ส่วนมากเขาก็ถามกลางๆที่เป็นปกติโดยทั่วไป
นอกจากสงสัยอะไรเป็นพิเศษ ถึงจะถามเพิ่มเติม แต่อยู่ๆจะให้ไปไล่ถามอะไรพิเศษกว่าคนอื่นเนี่ย กว่าจะถามครบลิสต์ความพิเศษ หมดวันกันพอดี
เพราะงั้นถ้ารู้ว่าคนป่วยมีอะไรที่พิเศษกว่าทั่วไปอยู่ กรุณาแจ้งนะคะ อย่าทิฐิ เพราะคนที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงก็คือตัวผู้ป่วยเอง
ส่วนเรื่องอาการโรคสมาธิสั้น ไม่ทานยา จะหวังให้ดีขึ้นนี่ยากมากค่ะ ถ้าไม่ใช่ประเภทสมาธิสั้นเทียมที่เกิดจากการเลี้ยงดู
แต่เป็นสมาธิสั้นแท้ที่เกิดจากพันธุกรรมบกพร่อง ทำให้สมองในส่วนที่ทำงานรับสารสื่อประสาท โดปามีน ขาดความสมดุล
สาเหตุหลักคือ ทางกาย ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์และจิตใจ เพราะสารสื่อประสาทโดปามีนนี่ล่ะทำงานผิดปกติ
ดังนั้นการไม่ทานยารักษาทางกายก่อน แล้วข้ามมาเน้นปรับพฤติกรรมเลยมันแก้ยากค่ะ ยิ่งแก้ไม่ตรงจุดกว่าอีก
เว้นแต่พวกสมาธิสั้นเทียมน่ะ ปรับสภาพแวดล้อมกับการเลี้ยงดูก็ช่วยได้เยอะ เพราะเด็กร่างกายมันปกติอยู่แล้ว
แต่ทานยาเสริมอีกนิดหน่อย แล้วค่อยปรับ และพอดีขึ้นค่อยลดยาลง อันนั้นก็จะไม่ต้องทานตลอดชีวิต
แต่ประเภทแท้ ยาแก้ระดับพันธุกรรมไม่ได้ค่ะ แต่คุมการทำงานให้เป็นปกติได้ค่ะ ครอบครัวก็ต้องยอมรับว่า พันธุกรรมเขาผิดพลาด
ถ้าไม่ทานยาคุมอาการไว้ ไม่รักษาทางกายเลย ทำมองไม่เห็นว่า สมองลูกผิดปกติ คนที่จะได้รับผลกระทบมากสุดก็เด็กนี่ล่ะ
ถ้าต้องการเหวี่ยงเก็บไว้บ่นกับเพื่อนๆ ญาติๆ ดีกว่าเอามาลงพันทิปที่เขาไม่รู้จักคุณและ ทพ คนนั้น แต่เขาอธิบายตามหลักเหตุผลนะคะ
เราเองก็ไม่ใช่ ทพ แต่ก็เคยทำงานกับเด็ก มันก็มีแนวปฏิบัติอยู่ ถ้าเด็กไม่พร้อมจริงๆ ส่วนใหญ่ก็ให้เด็กมาใหม่วันหลังทั้งนั้นล่ะ
เคยรับเคสเด็กสมาธิสั้นมาเหมือนกัน ก็สอบถามประวัติ แต่เวลาทำต้องลงหมายเหตุไว้เป็นพิเศษเพิ่มเติม
แต่กรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือเลยจริงๆ ก็ไม่ฝืนตรวจ เพื่อเอาใจพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กหรอกค่ะ
ประมาณว่า นี่ลางาน ลาเรียนมาแล้วไง ทำเลยไม่ได้หรอ เพราะการรักษาผลประโยชน์ในการรักษาให้ผู้ป่วยต้องมาก่อน
ผลประโยชน์ที่ว่า ไม่ใช่แค่การตรวจหรือรักษาให้เสร็จๆไป แต่คือ การป้องกันความเสี่ยงทุกประการที่จะเกิดขึ้นด้วย ไม่ใช่รอให้เกิดแล้วค่อยแก้
ดังนั้นกลับไปซะก่อนแล้วให้ทางเลือกว่า มาใหม่ในวันที่พร้อม จึงเหมาะสมแล้ว
ทพ คนนั้นก็ให้ทางเลือกคุณนี่คะว่า กลับไปทานยามาก่อน หรือ ไปรักษาที่ๆเขามีประวัติร่วมโรคด้านอื่นอยู่
ตรงนี้เป็นดุลยพินิจของผู้รักษา เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่พึงประสงค์ค่ะ
ส่วนเรื่องการการแจ้งข้อมูล เพื่อประโยชน์ของตัวผู้ป่วยเอง ญาติหรือผู้ป่วย ควรแจ้งนะคะ ไม่ใช่รอให้ถามอย่างเดียว
เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคุณไม่ใช่หมอดู ผู้หยั่งรู้ หรือ อับดุล ส่วนมากเขาก็ถามกลางๆที่เป็นปกติโดยทั่วไป
นอกจากสงสัยอะไรเป็นพิเศษ ถึงจะถามเพิ่มเติม แต่อยู่ๆจะให้ไปไล่ถามอะไรพิเศษกว่าคนอื่นเนี่ย กว่าจะถามครบลิสต์ความพิเศษ หมดวันกันพอดี
เพราะงั้นถ้ารู้ว่าคนป่วยมีอะไรที่พิเศษกว่าทั่วไปอยู่ กรุณาแจ้งนะคะ อย่าทิฐิ เพราะคนที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงก็คือตัวผู้ป่วยเอง
ส่วนเรื่องอาการโรคสมาธิสั้น ไม่ทานยา จะหวังให้ดีขึ้นนี่ยากมากค่ะ ถ้าไม่ใช่ประเภทสมาธิสั้นเทียมที่เกิดจากการเลี้ยงดู
แต่เป็นสมาธิสั้นแท้ที่เกิดจากพันธุกรรมบกพร่อง ทำให้สมองในส่วนที่ทำงานรับสารสื่อประสาท โดปามีน ขาดความสมดุล
สาเหตุหลักคือ ทางกาย ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์และจิตใจ เพราะสารสื่อประสาทโดปามีนนี่ล่ะทำงานผิดปกติ
ดังนั้นการไม่ทานยารักษาทางกายก่อน แล้วข้ามมาเน้นปรับพฤติกรรมเลยมันแก้ยากค่ะ ยิ่งแก้ไม่ตรงจุดกว่าอีก
เว้นแต่พวกสมาธิสั้นเทียมน่ะ ปรับสภาพแวดล้อมกับการเลี้ยงดูก็ช่วยได้เยอะ เพราะเด็กร่างกายมันปกติอยู่แล้ว
แต่ทานยาเสริมอีกนิดหน่อย แล้วค่อยปรับ และพอดีขึ้นค่อยลดยาลง อันนั้นก็จะไม่ต้องทานตลอดชีวิต
แต่ประเภทแท้ ยาแก้ระดับพันธุกรรมไม่ได้ค่ะ แต่คุมการทำงานให้เป็นปกติได้ค่ะ ครอบครัวก็ต้องยอมรับว่า พันธุกรรมเขาผิดพลาด
ถ้าไม่ทานยาคุมอาการไว้ ไม่รักษาทางกายเลย ทำมองไม่เห็นว่า สมองลูกผิดปกติ คนที่จะได้รับผลกระทบมากสุดก็เด็กนี่ล่ะ
ความคิดเห็นที่ 43
คุณแม่ก็เอาไปอ่านด้วยละกันเนอะ? : โอเค คุณ 1609985 คุณบอกว่าคุณแม่ไม่เหวี่ยงนะ ผมจะตอบแทนทุกคนให้ละกัน ว่าทำไมเค้ามองว่าคุณแม่เหวี่ยง แต่ผมก็บอกไว้ก่อนว่า ผมไม่รู้คุณแม่เหวี่ยงรึเปล่า แต่การแสดงออกมันเหวี่ยง(เข้าใจตรงนี้นะ?) มาเริ่มกัน ยกตัวอย่างนะ
1. พอมีคนมาพูดว่าคุณหมอสามารถเก็บเงินได้ตามกฎหมาย คุณแม่ก็ไล่เที่ยวพูดประมาณว่า "คุณหมอเรียนมา 6 ปี ก็ต้องชาร์ตให้เต็มที่" คือ ต้องการสื่ออะไร? เป็นการบอกทางอ้อมว่าหมอมันหน้าเลือด? แล้วไอ้ที่มาถามว่าหมอสามารถเรียกเก็บเงินได้มั้ยจะถามมาทำไม?
2. ความเห็นของคุณละเหี่ยศักดิ์นะ ต้นเรื่องคุณแม่ถามมาว่า หมอมีสิทธิ์ในการปฎิเสธคนไข้มั้ย? คนเค้าก็เข้ามาตอบให้ แต่พอแบบนั้นคุณแม่ก็ยังจะเรื่องเยอะถามต่อว่า "ทัตะที่เรียนเฉพาะทางมา 1-3 ปี นั่นคือสุดความสามารถแล้ว?" เฮ้ย!!! คือ เค้าก็เข้ามาตอบป่าวล่ะว่ามันเป็นกฏของหมอเค้าอ่ะ แต่ก็ยังพยายามหาเรื่องต่อ นี่คือยังไง? สงสัยจริงหรือหาเรื่อง?
3. คุณอะไรซักอย่าง จำชื่อไม่ได้ ขอเรียกว่าคุณ A คุณแม่ก็มาเม้นท์กลับด้วยการลงท้ายว่า "คุณ A นี่เป็นแพทย์รึเปล่าคะ เห็นเข้าข้างแพทย์มาหลายกระทู้แล้ว"... ผมบอกแล้วนะ ไม่รู้เหวี่ยงจริงมั้ย แต่ใครเข้ามาอ่านเค้าก็ไม่ชอบใจคำพูดแบบนี้ คงไม่ต้องบอกว่าทำไม
4. มีคนเข้ามาอธิบายเรื่องว่าที่หมอคนก่อนหน้าๆทำให้ได้ ก็เพราะเค้าไม่รู้ว่าเป็นโรค แล้วคุณแม่ว่าไง? "ใช่ โชคดีจังที่เจอคุณหมอดีๆมาตั้งหลายคน(ยกเว้นคนสุดท้าย)... คือ ทุกคนเข้ามาพยายามตอบเหตุผลที่คุณหมอทำแบบนี้ แต่คุณแม่ก็ยัง "ไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด"ใดๆเลย? แล้วจะเข้ามาถามถึงสิทธิในการกระทำคุณหมอทำไม ในเมื่อไม่คิดจะลดอคติ เออ คิดเองนะ
5. มีคนอธิบายว่าหมอต้องคำนึงความปลอดภัยเด็ก แล้วคุณแม่ตอบว่าไงนะ เอ... อ่อ "นั่นซิเนอะ หมอก็ต้องหาแต่งานง่ายๆ รายได้ดีๆ"... อืมๆๆ ถ้าคิดจะมีอคติก็ไม่ต้องมาถามความเห็นใครตั้งแต่แรกจะดีกว่ามั้ย? ไม่งั้นคนก็จะมองแค่เหวี่ยงใส่ ไม่ก็ไร้หัวคิดกันทั้งนั้น
6. ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร เป็นคนเดียวกับคุณแม่มั้ย? ผมไม่สนตรงนั้น แต่กลับไปไล่อ่านทั้งหมดใหม่ซะ อย่าปกป้องคนที่เค้าสมควรจะปรับปรุงตัว จะได้รู้ว่าคุณแม่ที่เราพูดถึงกันอยู่เนี่ยนะ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ก็จะเม้นท์ขัด ให้ตัวเองถูกเสมอ นี่คือ? มันก็เห็นกันชัดๆมั้ย ว่าทุกคนพยายามอธิบายสิทธิของหมอ ตามที่ จขกท ถาม แต่คุณแม่ก็มาขัดเองทั้งหมดและพยายามใส่ไฟหมอในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิทธิหรือเรื่องที่ถามเลย เช่น "เฉพาะทางได้แค่นี้" "เสียความรู้สึก" "งานง่าย เงินเยอะ" เออ อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าคุณไม่เห็นหรือยังไง? หรือแค่อยากปกป้องคุณแม่จนหน้ามืดตามัว?
7. มีคนมาอธิบายว่าเราควรบอกทุกอย่างที่เราพอจะบอกได้กับหมอ เพราะเค้าไม่สามารถถามเราได้หมด คุณแม่พูดว่า "แต่ต่างประเทศมีให้เขียนเลยนะว่าเป็นโรคอะไรบ้าง(มาดูความขัดกันนะ คุณแม่รู้ว่าต่างประเทศมีให้เขียน แต่กลับบอกว่า ไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะโรงพยาบาลไม่ได้ถาม หืม??? แล้วก็โบ้ยไปเลยว่า สงสารคนไข้เมืองไทยจริงๆ หา!!! แล้วคนเค้าอุตส่าห์มาบอกว่าควรบอกหมอก่อน ก็โดนตอกกลับแค่ว่า ต่างประเทศไม่ทำแบบนี้? คุณ คุณอยู่ประเทศไหน คุณเถียงประเด็นอะไรอยู่? งั้นผมก็บอกได้เหมือนกันนะ หลายๆคนเค้าไม่เห็นมีปัญหา บอกหมอได้ว่าเด็กเป็นโรค ผมพูดได้ใช่มั้ยว่า "สงสารหมอจริงๆ ที่เจอคนไข้แบบคุณ" หือ? ผมพูดได้มั้ย? คุณยังยกเรื่องภายนอกมาเกี่ยวได้เลยนี่เนอะ?
8. คุณแม่ถามว่าคุณหมอมี "สิทธิ" ในการเรียกเก็บเงินมั้ย มีคนมาตอบเยอะอยู่นะ ว่ามีสิทธิ แล้วคุณแม่ก็บอกว่า "ถ้างั้นแค่คำปรึกษา ดิฉันไปถามอากู๋ก็ได้มั้ย?" กร๊ากกกกกกก!!!!! คือมาถามเองว่าหมอมีสิทธิในการเก็บเงินมั้ย พอมีคนตอบ กลับหาเรื่องมาตอกว่าหมอไม่น่ามีสิทธิเก็บ เฮ้ยยยยย!!! ปัญญาอ่อนมาก แล้วจะถามหาพระตรีผีสางนางชโลมอะไรวะครับ? ก็มันเป็นสิทธิของเค้าไง สิทธิของคุณคือ จะยอมจ่ายหรือจะชิ่งเงิน ไม่ใช่หาการอ้างชอบธรรมมาทำให้ตัวเองถูก
โอเค ผมยกตัวอย่างแค่นี้นะ ถ้ามีอะไรจะขัด คุณก็ขัดมา ถ้ายังคิดว่าคุณแม่ไม่ได้เหวี่ยงใส่ใคร อ๊ะๆๆๆ!!! ผมไม่ได้บอกนะว่าคุณแม่เหวี่ยง บางทีคุณแม่อาจจะแค่ขี้สงสัยไปหน่อย เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือโรคชอบเอาชนะ อันนี้ก็สุดจะรู้เนอะ? หรือถ้าคุณแม่แค่อารมณ์เสีย งั้นก็ไม่ควรมาคุยตั้งแต่แรก ไปสงบสติอารมณ์ก่อนจะดีมั้ย?(มาดูกันต่อนะครับ ว่าคุณแม่จะหาอะไรมาอ้างเม้นท์ผมอีก ผมค่อนข้างสมาธิสั้น อดใจรออ่านแทบไม่ไหวแล้ว)
1. พอมีคนมาพูดว่าคุณหมอสามารถเก็บเงินได้ตามกฎหมาย คุณแม่ก็ไล่เที่ยวพูดประมาณว่า "คุณหมอเรียนมา 6 ปี ก็ต้องชาร์ตให้เต็มที่" คือ ต้องการสื่ออะไร? เป็นการบอกทางอ้อมว่าหมอมันหน้าเลือด? แล้วไอ้ที่มาถามว่าหมอสามารถเรียกเก็บเงินได้มั้ยจะถามมาทำไม?
2. ความเห็นของคุณละเหี่ยศักดิ์นะ ต้นเรื่องคุณแม่ถามมาว่า หมอมีสิทธิ์ในการปฎิเสธคนไข้มั้ย? คนเค้าก็เข้ามาตอบให้ แต่พอแบบนั้นคุณแม่ก็ยังจะเรื่องเยอะถามต่อว่า "ทัตะที่เรียนเฉพาะทางมา 1-3 ปี นั่นคือสุดความสามารถแล้ว?" เฮ้ย!!! คือ เค้าก็เข้ามาตอบป่าวล่ะว่ามันเป็นกฏของหมอเค้าอ่ะ แต่ก็ยังพยายามหาเรื่องต่อ นี่คือยังไง? สงสัยจริงหรือหาเรื่อง?
3. คุณอะไรซักอย่าง จำชื่อไม่ได้ ขอเรียกว่าคุณ A คุณแม่ก็มาเม้นท์กลับด้วยการลงท้ายว่า "คุณ A นี่เป็นแพทย์รึเปล่าคะ เห็นเข้าข้างแพทย์มาหลายกระทู้แล้ว"... ผมบอกแล้วนะ ไม่รู้เหวี่ยงจริงมั้ย แต่ใครเข้ามาอ่านเค้าก็ไม่ชอบใจคำพูดแบบนี้ คงไม่ต้องบอกว่าทำไม
4. มีคนเข้ามาอธิบายเรื่องว่าที่หมอคนก่อนหน้าๆทำให้ได้ ก็เพราะเค้าไม่รู้ว่าเป็นโรค แล้วคุณแม่ว่าไง? "ใช่ โชคดีจังที่เจอคุณหมอดีๆมาตั้งหลายคน(ยกเว้นคนสุดท้าย)... คือ ทุกคนเข้ามาพยายามตอบเหตุผลที่คุณหมอทำแบบนี้ แต่คุณแม่ก็ยัง "ไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด"ใดๆเลย? แล้วจะเข้ามาถามถึงสิทธิในการกระทำคุณหมอทำไม ในเมื่อไม่คิดจะลดอคติ เออ คิดเองนะ
5. มีคนอธิบายว่าหมอต้องคำนึงความปลอดภัยเด็ก แล้วคุณแม่ตอบว่าไงนะ เอ... อ่อ "นั่นซิเนอะ หมอก็ต้องหาแต่งานง่ายๆ รายได้ดีๆ"... อืมๆๆ ถ้าคิดจะมีอคติก็ไม่ต้องมาถามความเห็นใครตั้งแต่แรกจะดีกว่ามั้ย? ไม่งั้นคนก็จะมองแค่เหวี่ยงใส่ ไม่ก็ไร้หัวคิดกันทั้งนั้น
6. ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร เป็นคนเดียวกับคุณแม่มั้ย? ผมไม่สนตรงนั้น แต่กลับไปไล่อ่านทั้งหมดใหม่ซะ อย่าปกป้องคนที่เค้าสมควรจะปรับปรุงตัว จะได้รู้ว่าคุณแม่ที่เราพูดถึงกันอยู่เนี่ยนะ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ก็จะเม้นท์ขัด ให้ตัวเองถูกเสมอ นี่คือ? มันก็เห็นกันชัดๆมั้ย ว่าทุกคนพยายามอธิบายสิทธิของหมอ ตามที่ จขกท ถาม แต่คุณแม่ก็มาขัดเองทั้งหมดและพยายามใส่ไฟหมอในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิทธิหรือเรื่องที่ถามเลย เช่น "เฉพาะทางได้แค่นี้" "เสียความรู้สึก" "งานง่าย เงินเยอะ" เออ อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าคุณไม่เห็นหรือยังไง? หรือแค่อยากปกป้องคุณแม่จนหน้ามืดตามัว?
7. มีคนมาอธิบายว่าเราควรบอกทุกอย่างที่เราพอจะบอกได้กับหมอ เพราะเค้าไม่สามารถถามเราได้หมด คุณแม่พูดว่า "แต่ต่างประเทศมีให้เขียนเลยนะว่าเป็นโรคอะไรบ้าง(มาดูความขัดกันนะ คุณแม่รู้ว่าต่างประเทศมีให้เขียน แต่กลับบอกว่า ไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะโรงพยาบาลไม่ได้ถาม หืม??? แล้วก็โบ้ยไปเลยว่า สงสารคนไข้เมืองไทยจริงๆ หา!!! แล้วคนเค้าอุตส่าห์มาบอกว่าควรบอกหมอก่อน ก็โดนตอกกลับแค่ว่า ต่างประเทศไม่ทำแบบนี้? คุณ คุณอยู่ประเทศไหน คุณเถียงประเด็นอะไรอยู่? งั้นผมก็บอกได้เหมือนกันนะ หลายๆคนเค้าไม่เห็นมีปัญหา บอกหมอได้ว่าเด็กเป็นโรค ผมพูดได้ใช่มั้ยว่า "สงสารหมอจริงๆ ที่เจอคนไข้แบบคุณ" หือ? ผมพูดได้มั้ย? คุณยังยกเรื่องภายนอกมาเกี่ยวได้เลยนี่เนอะ?
8. คุณแม่ถามว่าคุณหมอมี "สิทธิ" ในการเรียกเก็บเงินมั้ย มีคนมาตอบเยอะอยู่นะ ว่ามีสิทธิ แล้วคุณแม่ก็บอกว่า "ถ้างั้นแค่คำปรึกษา ดิฉันไปถามอากู๋ก็ได้มั้ย?" กร๊ากกกกกกก!!!!! คือมาถามเองว่าหมอมีสิทธิในการเก็บเงินมั้ย พอมีคนตอบ กลับหาเรื่องมาตอกว่าหมอไม่น่ามีสิทธิเก็บ เฮ้ยยยยย!!! ปัญญาอ่อนมาก แล้วจะถามหาพระตรีผีสางนางชโลมอะไรวะครับ? ก็มันเป็นสิทธิของเค้าไง สิทธิของคุณคือ จะยอมจ่ายหรือจะชิ่งเงิน ไม่ใช่หาการอ้างชอบธรรมมาทำให้ตัวเองถูก
โอเค ผมยกตัวอย่างแค่นี้นะ ถ้ามีอะไรจะขัด คุณก็ขัดมา ถ้ายังคิดว่าคุณแม่ไม่ได้เหวี่ยงใส่ใคร อ๊ะๆๆๆ!!! ผมไม่ได้บอกนะว่าคุณแม่เหวี่ยง บางทีคุณแม่อาจจะแค่ขี้สงสัยไปหน่อย เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือโรคชอบเอาชนะ อันนี้ก็สุดจะรู้เนอะ? หรือถ้าคุณแม่แค่อารมณ์เสีย งั้นก็ไม่ควรมาคุยตั้งแต่แรก ไปสงบสติอารมณ์ก่อนจะดีมั้ย?(มาดูกันต่อนะครับ ว่าคุณแม่จะหาอะไรมาอ้างเม้นท์ผมอีก ผมค่อนข้างสมาธิสั้น อดใจรออ่านแทบไม่ไหวแล้ว)
ความคิดเห็นที่ 48
ตอบในฐานะทันตแพทย์ทั่วไปที่ไม่ใช่ทันตแพทย์เฉพาะ างเด็กนะครับ
ปกติแล้วก่อนให้การรักษาทางทันตกรรม ทันตแพทย์ควรจะถามโรคประจำตัว ยาที่คนไข้ทานประจำและประวัติการแพ้ยาของคนไข้เสมอ แต่ถ้าเกิดทันตแพทย์ลืมถาม เราสามารถแจ้งทันตแพทย์ให้ทราบก่อนได้เพื่อประโยชน์ของตนเอง ในการรักษาคนไข้เด็กทั่วๆไป คุณหมอมักจะประเมินความยากง่ายของงานที่ต้องทำ และประเมินความร่วมมือของเด็ก
กรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือ เด็กดื้อทั่วๆไป มักเกิดจากนิสัยเด็ก การเลี้ยงดูของพ่อแม่ ซึ่งคุณหมอมักมีวิธีการต่างๆ(ที่จะกล่าวต่อไป)ในการควบคุมพฤติกรรมเด็ก แต่กรณีนี่ที่น้องเป็นสมาธิสั้น น่าจะมีปัญหาการทำงานของสมองที่ทำให้อยู่นอกเหนือการควบคุมคุณหมอ ทำให้เด็กกลุ่มนี้อาจจะต้องเผื่อเวลาในการที่จะควบคุมพฤติกรรมให้มากหน่อย คุณหมอจึงเลื่อนนัดไปก่อน ซึ่งแกติการเลื่อนนัดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการควบคุมพฤติกรรมเด็กเช่นกัน โดยคุณหมอมักเลือกทำงานง่ายๆที่ไม่มีการเจ็บตัว เช่นขัดฟัน เคลือบฟลูออไรด์ เพื่อให้เด็กคุ้นชินกับการทำฟัน คุ้นชินกับคุณหมอ และจะให้ความร่วมมือมากขึ้นในครั้งต่อไป แต่ในทางตรงข้าม การให้เด็กกลับไปโดยไม่ได้ทำอะไรให้เด็กเลย จะเป็นการทำให้ควบคุมพฤติกรรมเด็กยากขึ้น คือเด็กเกิดการเรียนรู้ว่าถ้าร้องและดิ้นคุณหมอจะไม่ทำฟันให้ เพราะฉะนั้นเด็กก็จะร้องและดิ้นมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่มาทำฟัน
สำหรับวิธีการคุมพฤติกรรมเด็กก็จะมีตั้งแต่ พูดให้กำลังใจ พูดจาหลอกล่อเด็ก แนะนำอุปกรณ์ทำฟันและสาธิตวิธีการใช้(tell show do),แต่ถ้าน้องยังไม่ให้ความร่วมมือ ทันตแพทย์จะเริ่มใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น เช่นการพูดด้วยเสียงดัง(voice control),ปิดปากเด็กแล้วกระซิบข้างหู(hand over mouth exercise:HOME)หรือการใช้แผ่นมัดตัวเด็กเป็นต้น ซึ่งมาตรการที่รุนแรง2อันท้ายนี้จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนลงมือทำเสมอ
เรื่องทานยา คุณหมอน่าจะต้องการให้ฤทธิยาช่วยคุมพฤติกรรมเด็กมากขึ้น เพื่อง่ายต่อการรักษาถ้าคุณแม่สะดวกหรือไม่สะดวกให้น้องทานยังไง จำเป็นต้องอธิบายให้คุณหมอฟันเข้าใจเช่นกัน
ส่วนตัว ถ้าสมมตว่าเกิดได้รับการรักษาลูกของจขกท ก็มีความเป็นไปได้ที่จะนัดมาทำเวลาอื่นเช่นกัน เพราะผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าวิธีที่ใช้คุมพฤติกรรมเด็กดื้อทั่วๆไป อาจใช้ได้ผลหรือไม่ได้ผล หรือต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการคุมพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น แต่ผมจะอธิบายให้จขกททราบถึงเหตุผลและทำความเข้าใจไปพร้อมกับคุณหมอ ปัญหาส่วนใหญ่ที่เคยเจอระหว่างตัวหมอฟันกับคนไข้มักจะมาจากเรื่องการสื่อสารที่ตัวคุณหมอมักจะไม่สามารถสื่อสารให้คนไข้หรือผู้ปกครองเข้าใจถึงเหตุผลได้ ทำให้เกิดการเข้าใจผิด แต่อยากให้คนไข้เข้าใจการทำงานของหมอฟันด้วยว่างานเราเป็นงานหัตถการที่ต้องลงมือทำ เพราะฉะนั้นปัจจัยความสำเร็จขึ้นอยู่กับหลายอย่างมาก ไม่ใช่แค่หมอเก่งแล้วจะทำได้สำเร็จ หรือคนไข้ให้ความร่วมมือแล้วจะทำได้สำเร็จเสมอไป มันมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่ส่งผลค่อความสำเร็จในการทำงาน
ขอแก้คำตอบบางคอมเม้นนะครับ
1.ทันตแพทย์มีสิทธิปฏิเสธการรักษาที่ประเมิณแล้วว่าอยู่นอกเหนือความสามารถของตน แต่ในกรณีของจขกท ไม่ถือว่าเป็นการปฏิเสธนะครับ
2.วิธีการมัดตัวเด็กขณะทำฟัน ยังมีการใช้กันอยู่ปกตินะครับ แต่ต้องได้รับความนินยอมจากทางผู้ปกครองก่อน
3.ทันตแพทย์ต้องรู้ว่าต้องถามอะไรคนไข้บ้าง
-ถ้าทันตแพทย์เกิดไม่ได้ถามโรคประจำตัวคนไข้ แล้วคนไข้ก็ไม่ได้บอก หากเกิดปัญหาขึ้นทีหลัง ทันตแพทย์ก็ถือว่าผิดนะครับ แต่คงไม่มีใครอยากเอาขีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง ถึงแม้ทันตแพทย์จะไม่ได้ถาม แต่เราก็ควรบอกเพื่อปกป้องตัวเองนะครับ แล้วทันตแพทย์เขาจะประเมินว่ามีผลกับการรักษาหรือไม่เอง
-แต่ในทางกลับกันถ้าเกิดทันตแพทย์ถาม แล้วคนไข้ไม่บอกความจริง หากเกิดอะไรขึ้นมา ทันตแพทย์ไม่ผิดครับ
4.เครื่องมือทำฟันหลายๆเครื่องมือมีความแหลมคมและเป็นอันตรายต่อเด็ก เพราะฉะนั้นการที่เด็กดิ้น ไม่ให้ความร่วมมือก็สามารถทำให้เกิดอันตรายแก่เด็กได้ ..แต่..ก่อนทันตแพทย์จะนำเครื่องมือเหล่านั้นเข้าปากเด็ก จำเป็นต้องประเมินแล้วว่าสามารถควบคุมพฤติกรรมเด็กได้ ไม่ใช่เห็นว่าเด็กดิ้น เอามือขึ้นมาปัด แล้วยังจะเอาเครื่องมือเหล่านั้นเข้าปากเด็กอยู่อีก ก็ไม่ถูกต้อง
5.การที่คุณหมอจะปฏิเสธคนไข้มักมีหลายสาเหตุ ซึ่งหลักๆเลยก็คือ หมอไม่พร้อม กับ คนไข้ไม่พร้อม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามถ้าเกิดคุณหมอปฏิเสธการรักษา ให้คิดว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ครับ เพราะคงไม่มีคนไข้คนไหนอยากได้หมอที่ไม่ทีความรู้ หรือความพร้อมรักษาตนเอง
ขอสรุปรวบอีกทีหนึ่งนะครับ
ทันตแพทย์คนหนึ่งควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ในบางครั้งอาจมีตกหล่นไปบ้าง ถ้าเป็นสิ่งที่คนไข้สามารถช่วยเหลือได้ ก็ขอให้ช่วย เช่น แจ้งโรคประจำตัว แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็ขอให้เข้าใจว่านั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทันตแพทย์มอบให้แก่ทัน เช่นการเลื่อนนัด
ส่วนเรืองค่าใช้จ่าย ทางรพ.น่าจะมีนโยบายของแต่ละรพ.ซึ่งน่าจะมีความแตกต่างกัน จึงไม่ขอตอบ
สุดท้าย อ่านบางคอมเม้นแล้วรู้สึกเสียความรู้สึกเล็กน้อยที่ไปต่อว่าจขกท.อย่างนู้น อย่างนี้ อย่างนั้น คุณอยากเจอหมอฟันที่คอยแต่ตำหนิ เหวี่ยงคุณว่าทำไมไม่แปรงฟันให้ดี ทำไมไม่ใข้ไหมขัดฟัน ฟันผุขนาดนี้ทำไมพึ่งมา หรืออยากเจอหมอฟันที่พยายามพูดให้คนไข้เข้าใจความสำคัญของการดูแลช่องปาก เข้าใจคุณมากกว่า คำตอบบางคอมเม้นก็ดูโหดร้ายเกินไปนะครับผมว่า อยากให้คุณลองอ่านแล้วใช้ใจฟังดู รับรู้ว่าจขกท.มีความทุกข์ มีความไม่พอใจ ถึงแม้สิ่งที่จขกท.ทำจะไม่ได้สมควรทั้งหมดแต่ การพูดจาเหน็บกันไปเหน็บกันมาไม่ดีมีอะไรดีขึ้น ส่วนตัวจขกทเองก็ต้องใช้ใจฟัง ยอมรับความเห็นที่ต่างไปและเข้าใจเจตนาของคนที่มาตอบนะครับ บางคนเขาตอบไปตามสิ่งที่เขาเข้าใจ ไม่มีถูกไม่มีผิด อยากให้คุณคิดว่า เขาพยายามช่วยเราแล้ว บางคำตอบอาจไม่ได้ถูกใจเราซะหมด แต่ก็ต้องรู้จักรับฟังไว้เช่นกันครับ
ปกติแล้วก่อนให้การรักษาทางทันตกรรม ทันตแพทย์ควรจะถามโรคประจำตัว ยาที่คนไข้ทานประจำและประวัติการแพ้ยาของคนไข้เสมอ แต่ถ้าเกิดทันตแพทย์ลืมถาม เราสามารถแจ้งทันตแพทย์ให้ทราบก่อนได้เพื่อประโยชน์ของตนเอง ในการรักษาคนไข้เด็กทั่วๆไป คุณหมอมักจะประเมินความยากง่ายของงานที่ต้องทำ และประเมินความร่วมมือของเด็ก
กรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือ เด็กดื้อทั่วๆไป มักเกิดจากนิสัยเด็ก การเลี้ยงดูของพ่อแม่ ซึ่งคุณหมอมักมีวิธีการต่างๆ(ที่จะกล่าวต่อไป)ในการควบคุมพฤติกรรมเด็ก แต่กรณีนี่ที่น้องเป็นสมาธิสั้น น่าจะมีปัญหาการทำงานของสมองที่ทำให้อยู่นอกเหนือการควบคุมคุณหมอ ทำให้เด็กกลุ่มนี้อาจจะต้องเผื่อเวลาในการที่จะควบคุมพฤติกรรมให้มากหน่อย คุณหมอจึงเลื่อนนัดไปก่อน ซึ่งแกติการเลื่อนนัดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการควบคุมพฤติกรรมเด็กเช่นกัน โดยคุณหมอมักเลือกทำงานง่ายๆที่ไม่มีการเจ็บตัว เช่นขัดฟัน เคลือบฟลูออไรด์ เพื่อให้เด็กคุ้นชินกับการทำฟัน คุ้นชินกับคุณหมอ และจะให้ความร่วมมือมากขึ้นในครั้งต่อไป แต่ในทางตรงข้าม การให้เด็กกลับไปโดยไม่ได้ทำอะไรให้เด็กเลย จะเป็นการทำให้ควบคุมพฤติกรรมเด็กยากขึ้น คือเด็กเกิดการเรียนรู้ว่าถ้าร้องและดิ้นคุณหมอจะไม่ทำฟันให้ เพราะฉะนั้นเด็กก็จะร้องและดิ้นมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่มาทำฟัน
สำหรับวิธีการคุมพฤติกรรมเด็กก็จะมีตั้งแต่ พูดให้กำลังใจ พูดจาหลอกล่อเด็ก แนะนำอุปกรณ์ทำฟันและสาธิตวิธีการใช้(tell show do),แต่ถ้าน้องยังไม่ให้ความร่วมมือ ทันตแพทย์จะเริ่มใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น เช่นการพูดด้วยเสียงดัง(voice control),ปิดปากเด็กแล้วกระซิบข้างหู(hand over mouth exercise:HOME)หรือการใช้แผ่นมัดตัวเด็กเป็นต้น ซึ่งมาตรการที่รุนแรง2อันท้ายนี้จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนลงมือทำเสมอ
เรื่องทานยา คุณหมอน่าจะต้องการให้ฤทธิยาช่วยคุมพฤติกรรมเด็กมากขึ้น เพื่อง่ายต่อการรักษาถ้าคุณแม่สะดวกหรือไม่สะดวกให้น้องทานยังไง จำเป็นต้องอธิบายให้คุณหมอฟันเข้าใจเช่นกัน
ส่วนตัว ถ้าสมมตว่าเกิดได้รับการรักษาลูกของจขกท ก็มีความเป็นไปได้ที่จะนัดมาทำเวลาอื่นเช่นกัน เพราะผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าวิธีที่ใช้คุมพฤติกรรมเด็กดื้อทั่วๆไป อาจใช้ได้ผลหรือไม่ได้ผล หรือต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการคุมพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น แต่ผมจะอธิบายให้จขกททราบถึงเหตุผลและทำความเข้าใจไปพร้อมกับคุณหมอ ปัญหาส่วนใหญ่ที่เคยเจอระหว่างตัวหมอฟันกับคนไข้มักจะมาจากเรื่องการสื่อสารที่ตัวคุณหมอมักจะไม่สามารถสื่อสารให้คนไข้หรือผู้ปกครองเข้าใจถึงเหตุผลได้ ทำให้เกิดการเข้าใจผิด แต่อยากให้คนไข้เข้าใจการทำงานของหมอฟันด้วยว่างานเราเป็นงานหัตถการที่ต้องลงมือทำ เพราะฉะนั้นปัจจัยความสำเร็จขึ้นอยู่กับหลายอย่างมาก ไม่ใช่แค่หมอเก่งแล้วจะทำได้สำเร็จ หรือคนไข้ให้ความร่วมมือแล้วจะทำได้สำเร็จเสมอไป มันมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่ส่งผลค่อความสำเร็จในการทำงาน
ขอแก้คำตอบบางคอมเม้นนะครับ
1.ทันตแพทย์มีสิทธิปฏิเสธการรักษาที่ประเมิณแล้วว่าอยู่นอกเหนือความสามารถของตน แต่ในกรณีของจขกท ไม่ถือว่าเป็นการปฏิเสธนะครับ
2.วิธีการมัดตัวเด็กขณะทำฟัน ยังมีการใช้กันอยู่ปกตินะครับ แต่ต้องได้รับความนินยอมจากทางผู้ปกครองก่อน
3.ทันตแพทย์ต้องรู้ว่าต้องถามอะไรคนไข้บ้าง
-ถ้าทันตแพทย์เกิดไม่ได้ถามโรคประจำตัวคนไข้ แล้วคนไข้ก็ไม่ได้บอก หากเกิดปัญหาขึ้นทีหลัง ทันตแพทย์ก็ถือว่าผิดนะครับ แต่คงไม่มีใครอยากเอาขีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง ถึงแม้ทันตแพทย์จะไม่ได้ถาม แต่เราก็ควรบอกเพื่อปกป้องตัวเองนะครับ แล้วทันตแพทย์เขาจะประเมินว่ามีผลกับการรักษาหรือไม่เอง
-แต่ในทางกลับกันถ้าเกิดทันตแพทย์ถาม แล้วคนไข้ไม่บอกความจริง หากเกิดอะไรขึ้นมา ทันตแพทย์ไม่ผิดครับ
4.เครื่องมือทำฟันหลายๆเครื่องมือมีความแหลมคมและเป็นอันตรายต่อเด็ก เพราะฉะนั้นการที่เด็กดิ้น ไม่ให้ความร่วมมือก็สามารถทำให้เกิดอันตรายแก่เด็กได้ ..แต่..ก่อนทันตแพทย์จะนำเครื่องมือเหล่านั้นเข้าปากเด็ก จำเป็นต้องประเมินแล้วว่าสามารถควบคุมพฤติกรรมเด็กได้ ไม่ใช่เห็นว่าเด็กดิ้น เอามือขึ้นมาปัด แล้วยังจะเอาเครื่องมือเหล่านั้นเข้าปากเด็กอยู่อีก ก็ไม่ถูกต้อง
5.การที่คุณหมอจะปฏิเสธคนไข้มักมีหลายสาเหตุ ซึ่งหลักๆเลยก็คือ หมอไม่พร้อม กับ คนไข้ไม่พร้อม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามถ้าเกิดคุณหมอปฏิเสธการรักษา ให้คิดว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ครับ เพราะคงไม่มีคนไข้คนไหนอยากได้หมอที่ไม่ทีความรู้ หรือความพร้อมรักษาตนเอง
ขอสรุปรวบอีกทีหนึ่งนะครับ
ทันตแพทย์คนหนึ่งควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แต่ในบางครั้งอาจมีตกหล่นไปบ้าง ถ้าเป็นสิ่งที่คนไข้สามารถช่วยเหลือได้ ก็ขอให้ช่วย เช่น แจ้งโรคประจำตัว แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็ขอให้เข้าใจว่านั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทันตแพทย์มอบให้แก่ทัน เช่นการเลื่อนนัด
ส่วนเรืองค่าใช้จ่าย ทางรพ.น่าจะมีนโยบายของแต่ละรพ.ซึ่งน่าจะมีความแตกต่างกัน จึงไม่ขอตอบ
สุดท้าย อ่านบางคอมเม้นแล้วรู้สึกเสียความรู้สึกเล็กน้อยที่ไปต่อว่าจขกท.อย่างนู้น อย่างนี้ อย่างนั้น คุณอยากเจอหมอฟันที่คอยแต่ตำหนิ เหวี่ยงคุณว่าทำไมไม่แปรงฟันให้ดี ทำไมไม่ใข้ไหมขัดฟัน ฟันผุขนาดนี้ทำไมพึ่งมา หรืออยากเจอหมอฟันที่พยายามพูดให้คนไข้เข้าใจความสำคัญของการดูแลช่องปาก เข้าใจคุณมากกว่า คำตอบบางคอมเม้นก็ดูโหดร้ายเกินไปนะครับผมว่า อยากให้คุณลองอ่านแล้วใช้ใจฟังดู รับรู้ว่าจขกท.มีความทุกข์ มีความไม่พอใจ ถึงแม้สิ่งที่จขกท.ทำจะไม่ได้สมควรทั้งหมดแต่ การพูดจาเหน็บกันไปเหน็บกันมาไม่ดีมีอะไรดีขึ้น ส่วนตัวจขกทเองก็ต้องใช้ใจฟัง ยอมรับความเห็นที่ต่างไปและเข้าใจเจตนาของคนที่มาตอบนะครับ บางคนเขาตอบไปตามสิ่งที่เขาเข้าใจ ไม่มีถูกไม่มีผิด อยากให้คุณคิดว่า เขาพยายามช่วยเราแล้ว บางคำตอบอาจไม่ได้ถูกใจเราซะหมด แต่ก็ต้องรู้จักรับฟังไว้เช่นกันครับ
แสดงความคิดเห็น
หมอฟันเด็ก โรงพยาบาล P พหลโยธิน มีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ทำฟันให้เด็กสมาธิสั้น และคิดค่าบริการด้วยหรือคะ
เมื่อเข้าไปในห้องตรวจ น้องก็ให้ความร่วมมือกับหมอฟันดี ยอมนอนลงและอ้าปาก แต่พอหมอเริ่มทำความสะอาดฟันซี่แรก น้องก็เริ่มบอกว่าไม่เอา ปัดมือหมอออกจากปากและยันเท้าขึ้นจากเตียงนอน แต่ยังไม่ได้ร้องไห้อะไร หมอก็หยุดทำ ด้วยความเกรงใจหมอและอยากให้หมอเข้าใจ ดิฉันจึงบอกหมอไปว่า น้องมีอาการสมาธิสั้นค่ะ
หมอฟัน: ตอนนัดทำไมไม่แจ้งว่าน้องสมาธิสั้น
ดิฉัน: เพิ่งทราบเมื่อไม่กี่วันเองค่ะ แต่นัดทำฟันมาเป็นเดือนแล้ว
หมอฟัน: น้องไปรับการรักษาสมาธิสั้นที่ไหน ทำไมไม่ไปทำฟันที่นั่นล่ะ
ดิฉัน: ?!?!
หมอฟัน: แล้ววันนี้ได้กินยา (เพื่อทำให้นิ่ง) มารึเปล่า
ดิฉัน: ไม่ได้กินมาค่ะ
ดิฉันไม่ทราบเลยว่าจำเป็นต้องกินยามาจึงจะทำฟันให้ เพราะดิฉันเคยพาลูกมาทำฟันที่โรงพยาบาลแห่งนี้ก่อนหน้านี้หลายครั้งกับหมอฟันเด็กคนอื่นอีก 2 คน ก็ทำฟันให้จนเสร็จ ตอนนั้นน้องยังอายุน้อยกว่าและซนกว่าตอนนี้เสียอีก แล้วก็ไม่ได้กินยาอะไรทั้งสิ้นด้วย
สรุป หมอให้ทางเลือก 2 ทางคือ ทางแรก กลับมาใหม่โดยต้องกินยามาเท่านั้นจึงจะทำฟันให้ และทางที่สอง ให้ไปทำฟันกับโรงพยาบาลที่รักษาสมาธิสั้นของน้องอยู่ ดิฉันเลือกทางเลือกที่ 2 และเดินออกจากห้องหมอไป พยาบาลเดินตามมาออกมา
พยาบาล: คุณแม่จะใช้คูปองส่วนลดไหมคะ (ดิฉันได้คูปองส่วนลดค่าทำฟันจากการไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลนี้)
ดิฉัน: ?!?!
พยาบาล: ถ้าคุณแม่จะใช้คูปองคุณหมอให้คิด 690 บาท
ดิฉัน: 690 บาทเนี่ยเป็นค่าอะไรบ้างคะ
พยาบาล: ค่าตรวจฟัน 3xx บาท (ดิฉันจำไม่ได้ มัวแต่อึ้ง) ที่เหลือเป็นค่าทำความสะอาดฟัน
ดิฉัน: แต่หมอเพิ่งเริ่มทำความสะอาดฟันซี่แรกไปนิดเดียวเองนะคะ (เฉพาะด้านหน้า)
แล้วหลังจากนั้นดิฉันก็เดินกลับไปคุยกับหมอ หมอเลยบอกว่าจะคิดแค่ค่าตรวจฟันเท่านั้น เบ็ดเสร็จดิฉันจ่ายไป 420 บาท ด้วยความงง เพิ่งมาคิดได้เมื่อกลับถึงบ้านว่า ปกติที่ดิฉันไปตรวจฟัน หมอต้องขูดหินปูนออกก่อน (ในกรณีของเด็กคือการทำความสะอาดฟัน) จึงจะสามารถตรวจฟันได้ว่าฟันผุไหม ผุตรงตำแหน่งไหน เพราะส่วนใหญ่ฟันก็มักจะผุตรงซอกฟันที่มีหินปูนไปเกาะอยู่ และหมอก็ยังไม่ทันได้ดูฟันครบทุกซี่ด้วยซ้ำ น้องอ้าปากได้ไม่ถึงนาทีเอง แล้วที่ดิฉันเสียไป 420 บาทนี่เป็นค่าอะไร
ดิฉันจึงโทรไปสอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากโรงพยาบาลทางโทรศัพท์ ได้รับการชี้แจงว่า เป็นค่าแพทย์ 200 บาท (ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที?!?!?) ซึ่งถ้าดิฉันพาลูกกลับไปทำฟันกับหมอฟันเด็กคนอื่นก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่มในส่วนนี้ (แต่ไม่ยอมคืนให้ แล้วถามหน่อยว่าใครจะอยากกลับไปทำอีก) ที่เหลือคือค่าอุปกรณ์ทำฟัน ซึ่งได้เปิดใช้ไปแล้วดังนั้นจำเป็นต้องเรียกเก็บ
ดิฉันอยากรบกวนสอบถามความเห็นจากผู้รู้เรื่องการแพทย์ และกฎหมายในกรณีของดิฉันดังนี้
1. การที่หมอฟันเด็กปฏิเสธไม่ทำฟันให้เมื่อรู้ว่าลูกดิฉันสมาธิสั้น ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อเด็กพิเศษหรือไม่ ถ้าใช่ ดิฉันสามารถร้องเรียนที่ไหนได้บ้าง
2. โรงพยาบาลมีสิทธิ์เรียกเก็บค่าทำฟันหรือไม่ ในเมื่อหมอฟันเด็กเป็นฝ่ายปฏิเสธไม่ทำฟันให้ โดยไม่แจ้งให้ทราบก่อนว่าถ้าเป็นเด็กสมาธิสั้นต้องกินยามาเท่านั้นจึงจะทำฟันให้
3. ดิฉันมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายได้ไหม เนื่องจากโรงพยาบาลก็ไม่ได้ถามข้อมูลก่อนและบอกเงื่อนไขว่าต้องกินยามาก่อนในตอนที่ดิฉันโทรไปนัด ดิฉันเสียเวลา รอนัดทำฟันเป็นเดือน และเสียค่าเดินทางมายังโรงพยาบาล แต่กลับถูกปฏิเสธไม่ทำฟันให้
4. ไม่ทราบว่ามีโรงพยาบาลและคลีนิคทำฟันที่ใดบ้าง ที่มีหมอฟันเด็กที่เต็มใจทำฟันให้เด็กสมาธิสั้นแม้ว่าจะกินยาหรือไม่ได้กินยาไปก็ตาม