คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ประวัติศาสตร์มักเขียนโดยผู้ชนะครับ
เรื่องราวในสมัยก่อน มันมีเหตุมีผลมากกว่าในสมัยนี้
ประวัติศาสตร์ก็มักจะทับถมผู้ที่พ่ายแพ้
ความจริงความคิดเห็นนี้ อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในกระทู้นี้
เพียงแต่ขอแยกเกร็ดประวัติศาสตร์ออกมานิดหนึ่ง
อยากให้หลายๆ คนได้พิจารณาเป็นกรณีศึกษา
บทวิเคราะห์จากพงศาวดาร "คำให้การชาวกรุงเก่า".....
แม่หยัวศรีสุดาจันทร์นั้น เป็นพระราชธิดาที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อู่ทอง
พันบุตรศรีเทพ หรือขุนเชียรราช ตามภาษาเก่า ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สืบเชื่อสายมาจากราชวงศ์อู่ทองเช่นกัน
ในชั้นแรก แม่หยัวศรีสุดาจันทร์เพียงแค่มีจิตเสน่หาด้วยความเหงา ที่สวามีออกศึกเป็นแรมเดือน
(ตามคำให้การนั้น ไม่ได้กล่าวถึงการมีสัมพันธ์ชู้สาว และไม่ได้กล่าวว่าพระนางทรงครรภ์กับพันบุตรศรีเทพก่อนราชาภิเษก)
แต่หลังจากสืบสาวราวเรื่อง จึงรู้ว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์อู่ทองเช่นเดียวกับพระนาง
ซึ่งเชื่อสายราชวงศ์อู่ทองนั้น ใกล้จะสิ้นสูญเต็มทีแล้ว
อีกทั้งพระนางยังได้แรงยุ ที่ให้สำนึกต่อการสืบสายราชวงศ์
นั่นคือเหตุผลที่พระนางต้องยกพันบุตรศรีเทพเป็นกษัตริย์ให้ได้
อุปราชจัน ซึ่งเป็นน้องชายของขุนวรวงศาธิราช ก็เช่นกัน
ในภาวะที่ไม่อาจไว้วางใจใครได้ ก็จำเป็นที่สุด ที่จะต้องตั้งคนใกล้ชิดที่สุด เข้ามาร่วมงาน แม้จะไม่เหมาะสมก็ตาม
(อ่านดูแล้ว ต่างจากประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านทั่วๆ ไปอย่างสิ้นเชิง)
ผิดจากสมัยนี้ ความเหมาะสมของสมัยนี้คือ ใครมีทรัพย์มาก ก็มีเส้นสายมาก
เพราะเส้นสายเหล่านั้น ผูกมัดกลมเกลียวกันก็ด้วยทรัพย์
เรื่องราวในสมัยก่อน มันมีเหตุมีผลมากกว่าในสมัยนี้
ประวัติศาสตร์ก็มักจะทับถมผู้ที่พ่ายแพ้
ความจริงความคิดเห็นนี้ อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในกระทู้นี้
เพียงแต่ขอแยกเกร็ดประวัติศาสตร์ออกมานิดหนึ่ง
อยากให้หลายๆ คนได้พิจารณาเป็นกรณีศึกษา
บทวิเคราะห์จากพงศาวดาร "คำให้การชาวกรุงเก่า".....
แม่หยัวศรีสุดาจันทร์นั้น เป็นพระราชธิดาที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อู่ทอง
พันบุตรศรีเทพ หรือขุนเชียรราช ตามภาษาเก่า ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สืบเชื่อสายมาจากราชวงศ์อู่ทองเช่นกัน
ในชั้นแรก แม่หยัวศรีสุดาจันทร์เพียงแค่มีจิตเสน่หาด้วยความเหงา ที่สวามีออกศึกเป็นแรมเดือน
(ตามคำให้การนั้น ไม่ได้กล่าวถึงการมีสัมพันธ์ชู้สาว และไม่ได้กล่าวว่าพระนางทรงครรภ์กับพันบุตรศรีเทพก่อนราชาภิเษก)
แต่หลังจากสืบสาวราวเรื่อง จึงรู้ว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์อู่ทองเช่นเดียวกับพระนาง
ซึ่งเชื่อสายราชวงศ์อู่ทองนั้น ใกล้จะสิ้นสูญเต็มทีแล้ว
อีกทั้งพระนางยังได้แรงยุ ที่ให้สำนึกต่อการสืบสายราชวงศ์
นั่นคือเหตุผลที่พระนางต้องยกพันบุตรศรีเทพเป็นกษัตริย์ให้ได้
อุปราชจัน ซึ่งเป็นน้องชายของขุนวรวงศาธิราช ก็เช่นกัน
ในภาวะที่ไม่อาจไว้วางใจใครได้ ก็จำเป็นที่สุด ที่จะต้องตั้งคนใกล้ชิดที่สุด เข้ามาร่วมงาน แม้จะไม่เหมาะสมก็ตาม
(อ่านดูแล้ว ต่างจากประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านทั่วๆ ไปอย่างสิ้นเชิง)
ผิดจากสมัยนี้ ความเหมาะสมของสมัยนี้คือ ใครมีทรัพย์มาก ก็มีเส้นสายมาก
เพราะเส้นสายเหล่านั้น ผูกมัดกลมเกลียวกันก็ด้วยทรัพย์
แสดงความคิดเห็น
....คือสนิมที่เกิดแต่เนื้อในตน....
ย้อนกลับไปที่อดีตกาล.....ใครเลยจะเชื่อว่าระบบอุปถัมภ์ “เด็กเส้น แอนด์ เด็กฝาก” นี้ได้เคยอุปการะและส่งเสริมสามัญชนคนหนึ่งได้ก้าวขึ้นเป็นถึงกษัติริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เขาเคยมีตำแหน่งเป็น “คนเฝ้าหอพระ” (ตำแหน่งยาม?) ต่อมาได้กลายเป็นเด็กเส้นของนางพระยาแม่อยู่หัวท้าวศรีสุดาจันท์ ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า พระนางถึงกับลอบปลงพระชนม์พระสวามี(สมเด็จพระไชยราชาธิราช) และปลงพระโอรส(พระยอดฟ้า)ที่ยังเด็กอยู่เพื่อปูทางให้อดีตคนเฝ้าหอพระคนนี้ได้ก้าวขึ้นสู่ราชบรรลังก์เป็น ขุนวรวงศาธิราช แม้นักประวัติศาสตร์บางสำนักไม่นับเอาพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์อยุธยา แต่ข้อเท็จจริงตามพงศาวดารก็คือ พระองค์ทรงผ่านการราชาภิเษกเป็นกษัตริย์อยุธยามาแล้ว .....
ระบบเด็กเส้นยังไม่หยุดเพียงแค่นี้....หลังจากก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์อยุธยาแล้ว บุญยังหล่นทับน้องชายของพระองค์ที่เป็นช่างตีเหล็กในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งอีกด้วย ขุนวรงศาธิราชนำพี่ชายมาชุบตัวในพระบรมราชวังแล้วสถานปนาจากนายช่างตีเหล็กธรรมดาๆ คนหนึ่งขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพรวดเดียว นั่นก็คือตำแหน่งอุปราชที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากกษัตริย์....นั่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ยุคหนึ่งของบรรดาเด็กเส้นก็ว่าได้ คือเรียกได้ว่าทำกันแบบเอิกเริกและโฉ่งฉ่างที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
ว่าไปทำไมมี?......เรื่องอย่างนี้ประวัติศาสตร์ใกล้ๆ ตัวเราช่วงก่อนเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ก็ยังพอมีให้เห็น หรือใกล้เข้ามามากๆ ก็อย่างเรื่องของลูกเหลิม และล่าสุดก็บางคนที่เลื่อนตำแหน่งราชการเร็วผิดปรกติจากร้อยตรีขึ้นเป็นพันตรีเป็นต้น เรื่องทำนองนี้จะไม่มีวันหยุดหรือถูกทำลายลงไปได้หากเรายังมีท่าทีต่อเรื่องอย่างนี้ในทำนองว่า "เอร็งทำได้ ขร้าก็ทำได้" พูดง่ายๆ ก็คือ.....หากยึดเอาธรรมะของพระพุทธองค์ว่าด้วย หิริและโอตัปปะมานำทาง กระแสเด็กเด็กเส้นแอนด์เด็กฝากน่าจะลดความเชี่ยวกรากได้ระดับหนึ่ง แต่ก็อย่างว่าละครับ....คนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธกันแต่ในนาม เห็นบางคนไปนั่งพนมมือแต้ยิ้มแฉ่งให้ "สมี" แถวๆ นครปฐมเจิมหน้าผากให้ก็มี
สุดท้าย...ที่สะเทือนใจที่สุดเห็นจะเป็น ความแตกต่างของสองข่าวนี้....คือข่าวเจ้าชายแฮรี่แห่งอังกฤษโดนตำรวจจับปรับฐานเมาแล้วขับกับข่าวลูกไฮโซจากตระกูลคนหนึ่งขับรถและเป็นเหตุทำให้คนตายหลายคน...แต่เธอคนนั้นยังคงอยู่ได้ในสังคม(ที่มีระบบอุปถัมภ์เป็นแบ๊คอัพให้)....เฮ้อ