ในฝั่งฝัน (บทที่ 6)

ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คณ PuPaKae, น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 3415748, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณลิ ลายลิขิต, จารย์จี GTW, คุณ ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, คุณโอ เขมปัณณ์, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทแรก - บทที่ 1  http://pantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3  http://pantip.com/topic/35648626
บทที่ 4  http://pantip.com/topic/35655325
บทที่ 5  http://pantip.com/topic/35665748


บทที่ 6



    เสียงจากวิทยุดังครืดคราดเมื่อชายหนุ่มพยายามปรับหาคลื่นจากกรมโฆษณาการ วิทยุซึ่งสั่งมาจากเยอรมันเครื่องนี้มีลักษณะเป็นกล่องไม้ยาว ด้านหน้าเป็นแผงโลหะสีดำ มีปุ่มปรับคลื่นสองปุ่มใหญ่ และปุ่มปรับเสียงซึ่งมีขนาดเล็กกว่า

หมุนกลับไปกลับมาอยู่เพียงไม่นานก็มีเสียงผู้ชายดังแทรกเข้ามา เสียงนั้นมาพร้อมกับเสียงซ่าๆ ซึ่งดังเสียยิ่งกว่า หากก็พอจับใจความคำพูดเหล่านั้นได้

    “...ให้ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติราชการในวันที่เก้า สิบ สิบเอ็ด ธันวาคม นี้ ไม่มีการหยุดราชการในวันฉลองรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนคอยฟังแถลงการณ์ของรัฐบาล และปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด”

    กริชละมือจากปุ่มปรับหาคลื่นชั่วคราว เหลียวหลังไปทางผู้เป็นเจ้าของเรือนก็เห็นมือซึ่งกำลังดึงชายผ้าปูให้เรียบตึงก่อนเหน็บไว้ใต้ฟูกชะงักค้างอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้านวลละมุนกำลังมองไปทางผู้ชายในชุดเครื่องแบบนายตำรวจ ร่างล่ำสันที่เมื่อครู่เอนพิงกรอบประตู ในเวลานี้ขยับยืนตรง

    "เร็วๆ นี้รัฐบาลคงออกประกาศให้พรางไฟกันอีก พรุ่งนี้พี่จะมาช่วยดูให้ว่าต้องทำอะไรอีกบ้าง"

    การพรางไฟนั้นมีมาตั้งแต่ต้นปี ในช่วงที่เกิด สงครามอินโดจีน ขึ้นได้ไม่นาน ประกาศคราวนั้นเป็นไปตาม ‘พระราชบัญญัติพรางไฟในยามสงคราม’ มีการซ้อมป้องกันภัยทางอากาศโดยทางการจะเปิดหวอให้เหมือนจริงในเวลาสองทุ่ม ไฟตามถนนจะถูกดับทุกดวง ประชาชนถูกฝึกให้มองหาหลุมหลบภัยไว้ล่วงหน้า

มีข้อกำหนดว่าไฟฟ้าทุกดวงในแต่ละบ้านจะพรางไฟกันอย่างไร ตะเกียงทุกดวงต้องมีกระดาษแข็งสีดำปิดตอนบน ไฟหน้าหม้อรถยนต์ จักรยานสองล้อ เรื่อยไปจนถึงจักรยานยนต์ ก็ต้องมีกระดาษดำปิดบังไว้ตอนบนเช่นกัน แม้แต่ไฟฉายก็ต้องปิดกระดาษดำซึ่งเจาะไว้เป็นรูเล็กๆ พอให้แสงไฟส่องรอดออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    "กระดาษดำยังเก็บอยู่ค่ะพี่"

    “ดีแล้ว พรุ่งนี้ก็เอาออกมาให้หมด วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว พี่เห็นจะต้องกลับบ้านก่อน” เขาว่าเมื่อประกาศสั้นๆ นั้นจบลง

    “พี่นพพรไม่อยู่รับสำรับเย็นกันก่อนหรือคะ”

    เมื่อความวุ่นวายพอสงบลงบ้างแล้ว ไอรีนจึงคิดได้ว่ายังไม่มีใครรับประทานอาหารเย็นกันเลย เธอให้นางนาบต้มข้าวต้มกุ๊ยหม้อใหญ่เพื่อเลี้ยงทุกคนในบ้าน รวมไปถึงทหารญี่ปุ่นด้วย

    “ไม่ล่ะ”

    กำลังจะบอกต่อว่าภรรยาที่บ้านคงคอยแล้ว แต่พอสบตาผู้หญิงอีกคนซึ่งเพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอนฝั่งขวา เขาก็กลืนคำพูดนั้นลงคอไปเสีย

    ประกาศจบไปแล้ว คลื่นสัญญาณจากวิทยุเปลี่ยนเป็นเพลงยอดนิยมแห่งยุคแทน


“คืนวันนี้ไม่มีพระจันทร์เจ้า
แต่มีดาวสุกสกาวพราวเต็มฟ้า
คืนข้างแรมฟ้าก็แจ่มด้วยดารา...”*



    “พรุ่งนี้พี่คงมาได้เย็นๆ ค่ำๆ อย่างนี้แหละนะ”

    ปากบอกคนหนึ่ง หากสายตายังคงจ้องจับอยู่ที่หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ หล่อนทิ้งประตูห้องนอนให้เปิดกว้างอยู่เช่นนั้นแล้วเดินเรื่อยๆ มาทางเขา

ไอรีนวางมือจากที่นอน ขยับลุก ตั้งใจจะออกไปส่ง แต่น้องสาวสามียั้งไว้เสีย

“ไม่ต้องหรอกแม่ไอรีน ฉันไปส่งนพพรเอง”

เธอจึงเพียงไหว้ลา มองตามทั้งคู่ลับหายไปจากประตูด้วยจิตใจที่ไม่ปกติสุขสักเท่าไรนัก

คุณรามรู้เรื่องของน้องสาวและญาติผู้น้องซึ่งเติบโตมาในบ้านหลังนี้ดี ไอรีนแน่ใจเช่นนั้น หากเขาไม่เคยเล่ารายละเอียดอะไรให้เธอฟัง ไม่เคยบอกว่าทำไมคุณวิไลและพี่นพพรจึงได้แคล้วคลาดกัน ทั้งๆ ที่ฝ่ายหลังนั้นปักอกปักใจกับญาติห่างๆ ของตัวมาตั้งแต่เข้าวัยหนุ่มนั่นเลย

เหตุที่คุณรามไม่เคยเล่าอะไรให้เธอฟัง ไอรีนรู้ดีว่าเพราะอะไร คุณรามไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวของใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรื่องนั้นอาจทำให้ผู้ซึ่งถูกเอ่ยถึงเสียหายได้

แต่อีกสาเหตุนี่สิที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจ แรกๆ ที่ได้ยินจากปากคุณกนก...ญาติผู้น้องทางฝ่ายคุณหญิงละออ... ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไรนักว่านั่นหมายความว่าอย่างไร

'ก็กระไรได้ละคะคุณพี่ คุณวิไลน่ะหวงพี่ชายยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีกกระมัง'

นั่นเป็นครั้งแรกที่ไอรีนได้ยินจากคุณกนกเกี่ยวกับคุณรามและน้องสาว คราวนั้นเธอเพิ่งแต่งงานและเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้เพียงไม่นาน ได้ยินคุณหญิงละออเปรยกับญาติผู้น้องว่าเคยคิด ว่าคุณรามจะอยู่เป็นหนุ่มโสดไปจนแก่เสียแล้ว

คุณกนกแม้จะมีศักดิ์เป็นน้าของคุณราม แต่ก็เป็นญาติทางฝ่ายคุณหญิงละออผู้เป็นมารดาเขา คุณวิไลเกิดกับภรรยารองของบิดาคุณราม จึงไม่มีความผูกพันทางสายเลือดใดๆ ต่อกัน ไม่เพียงเท่านั้น หล่อนยังถือเนื้อถือตัวเสียนักหนา หล่อนวางตัวห่างเหิน แม้กับคุณหญิงผู้เป็นภรรยาหลวงของบิดาเองก็ตาม
คุณกนกจึงเรียกหล่อนว่า 'คุณ' มิใช่เพื่อยกย่อง แต่เพื่อคงความห่างนั้นไว้มากกว่า

ในระยะหลังเมื่อเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และเห็นอะไรมากขึ้น ไอรีนยกเอาคำพูดของคุณกนกมาพิจารณา ภาพความรู้สึกของคุณวิไลที่มีต่อพี่ชายจึงค่อยชัดขึ้นตามลำดับ

'พระเอกของคุณวิไลมีแต่พ่อรามคนเดียวนี่คะคุณพี่' นั่นก็ประมาณเกือบปีหลังจากนั้น

คุณรามเองก็เคยบอกเธอว่าสงสารน้องสาว คุณวิไลมีชีวิตอยู่แต่เพียงในบ้าน ด้วยเหตุนั้นไม่ว่าเขาทำอะไรที่เกี่ยวพันไปถึงความรู้สึกของน้อง เขาจะระมัดระวังอย่างที่สุด และส่วนใหญ่มักจบลงตรงที่ไม่ทำอะไรเลย แม้เหตุการณ์เฉพาะหน้าจะยุ่งเหยิงเพียงไรก็ตาม

ที่สำคัญที่สุดคงเป็นคำพูดของแว่นแก้ว...ผู้หญิงซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับคุณรามก่อนหน้าเธอ ผู้หญิงซึ่งเกือบทำให้ชีวิตคู่ระหว่างเธอและคุณรามล่มสลาย คำพูดชวนฉงนของแว่นแก้วผู้ซึ่งน่าจะรู้อะไรดีกว่าใครเพราะใกล้ชิดคุณวิไลอยู่นานปี ช่วยให้เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ในภายหลัง

'คุณก็ระวังตัวด้วยนะคะ คุณวิไลไม่ได้รัก ไม่ได้หวงคุณรามอย่างน้องสาวรักพี่ชายเท่านั้นหรอกค่ะ'

คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของผู้หญิงซึ่งมองเธอเป็นศัตรูตั้งแต่ก่อนย่างเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ ทำให้ไอรีนเย็นวาบแล้วร้อนวูบตลอดสันหลังเมื่อได้ยิน หากในเวลานั้นก็ไม่ได้คิดจะถามอีกนั่นแหละว่าหล่อนหมายความว่าอย่างไร จะว่าไม่อยากรู้เพราะเกรงว่าอาจตระหนกตกใจกับความจริงอะไรบางอย่างก็คงเป็นได้

ความหวงแหนพี่ชายจนเกินขอบเขตทำให้คุณวิไลมองไม่เห็นว่าจะมีใครดีเท่าพี่ หรือน่าพึงปรารถนาเท่าพี่ ไม่เพียงแค่นั้น หล่อนยังทำร้ายคนรอบข้างที่เข้ามาเกี่ยวพันกับพี่เสียอีก รวมทั้งเกือบทำลายชีวิตสมรสของพี่ชายเองอีกด้วย

…ที่สำคัญคือหล่อนทำร้ายตัวเอง

เมื่อพี่นพพร...ผู้ชายซึ่งมีจิตปฏิพัทธ์หล่อนอย่างแท้จริง...เรียนจบและเข้าเป็นตำรวจ เขาคงคิดได้ว่าไม่มีความหวังใดๆ ในตัวผู้หญิงซึ่งใฝ่ฝันถึงมานาน ทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็มิได้กีดกัน เขาจึงดำเนินชีวิตตามแบบหนุ่มโสดทั่วไป ทำงานได้เพียงไม่นาน พี่นพพรมีคนรักและแต่งงานไปกับคนอื่นในที่สุด

คุณวิไลมาคิดได้ก็เมื่อสายเสียแล้ว ที่สำคัญ พอคิดได้ หล่อนกลับไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ เรื่องระหว่างหล่อน พี่นพพร และพี่สุดจิต ผู้เป็นภรรยา จึงคาราคาซังมาได้นานปี

คุณรามเคยเตือนน้องสาวในเรื่องนั้นสองสามครั้งแล้ว ทุกครั้งไอรีนร่วมรับรู้อยู่ด้วย แต่เธอไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆ ด้วยมองเห็นเสมอว่าตัวเองยังเด็ก เธอให้ความเคารพเขาและน้องสาวในฐานะผู้ใหญ่กว่ามาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ไอรีนคิดเสมอว่าถึงอย่างไรคุณวิไลก็เป็นน้องสาวสามี เป็นน้องซึ่งเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก เธอเองมีแม่ก็เหมือนไม่มี นับแต่จำความได้ไม่เคยมีใครพูดถึงแม่ให้ฟัง เธอไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าการมีแม่นั้นเป็นเช่นไร จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ ‘ขาด’ และต้องการหลักยึดในลักษณะนั้นอยู่บ้างหรอก ยิ่งคุณรามไม่ต่างอะไรกับร่มไม้ใหญ่ ทั้งหนักแน่น ทั้งมั่นคงออกอย่างนั้น เธอเองยังมีความรู้สึกเช่นนั้นนับแต่เห็นเขาครั้งแรกเลยทีเดียว แล้วทำไมคุณวิไลจะไม่รู้สึกอย่างเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เจ้าคุณพลศรีภูมิปรีชาผู้เป็นบิดาสิ้น หล่อนก็เหมือนไม่มีใครอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่