เราอยากรู้ความคิดเห็นของเพื่อนที่มีต่อคำว่า "น้ำใจ" ว่ามันมีความหมายอย่างไร เราเรียนรู้มาตลอดว่า "น้ำใจ" "การมีน้ำใจ" "การให้น้ำใจ" เป็นสิ่งดี แต่ทุกวันนี้เราสงสัยว่ามันใช่หรือเปล่า หรือความหมายของคำว่า "น้ำใจ" ในความเข้าใจพื้นฐานของคนถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว?
ขอเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เราสงสัยคำคำนี้นะคะ
เรามีบ้านอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง เป็นบ้านเดี่ยวที่ภายในรั้วบ้านสามารถจอดรถได้ 1 คันสบายๆ และถนนหน้าบ้านก้อเป็นถนนส่วนบุคคลของหมู่บ้าน ที่แต่ละบ้านสามารถจอดรถได้อีก 2 คันโดยไม่ขวางหน้าบ้านตัวเอง เราซื้อบ้านหลังนี้ตั้งแต่เริ่มโครงการ บ้านยังก่อสร้างไม่เสร็จ พอสร้างเสร็จเราอยู่ได้ ไม่ถึง 3 เดือนเราก้อมีเหตุต้องไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาเกือบ 5 ปี กลับมาเราก้อมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ตอนช่วงแรกเรามาอยู่เรามีรถหนึ่งคันก้อจอดในบ้านตามปกติ มีจอดหน้าบ้านตัวเองบ้าง ส่วนบ้านอื่นส่วนใหญ่เค้ามีรถกันมากกว่าหนึ่งคัน และเค้าก็จอดในบ้านตัวเองและหน้าบ้านตัวเอง จะมีบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านเรา 2 หลัง ที่เหมือนว่า บ้านเค้าจะมีคนเข้าออกมากกว่าบ้านอื่น ทำให้มีรถมากกว่า 2 คัน และเค้าก้อจะมาจอดหน้าบ้านเราประจำ บ้านตรงข้ามเรา1หลังเข้ามาบอกเราว่าถ้ามีรถญาติเค้ามา เค้าขอจอดหน่อยนะ และบ้านนี้ลูกชายเค้าเคยช่วยเหลือเราหลายครั้ง เราบอกเค้าว่า "ได้เลยค่ะ บ้านเรามีรถคันเดียว ถ้าไม่จอดปิดรั้วบ้านเราจอดได้ค่ะ" ส่วนบ้านตรงข้าวอีกหนึ่งหลังที่ชอบมาจอดรถหน้าบ้านเรา (หน้าบ้านตัวเองไม่จอดค่ะ เค้าเคยบอกว่า หน้าบ้านเราร่มมีต้นไม้เค้าชอบ) ไม่เคยบอกอะไรเราเลย ยกเว้นแต่เราจะถามว่า นี่รถพี่เหรอคะ
ช่วงแรก ยังไม่ค่อยมีปัญหา มีบ้างที่เค้าจอดเลยมาปิดหน้าบ้านทำให้เราเอารถเข้าบ้านต้องเลี้ยวหลบ เราก้อเดินไปบอกเค้าให้ช่วยจอดชิดไปหน่อย เราถอยเข้าลำบาก ต่อมา มีน้องเรามาอยู่ด้วย และก้อเลยมีรถเพิ่มมาอีก 1 คัน คือ 2 คัน รถน้องเราจอดหน้าบ้าน ตอนน้องเรามาอยู่ เราก้อบอกบ้าน 2 หลังนี้เรียบร้อยว่า ต่อไปพี่จอดไม่ได้แล้วนะคะ เพราะน้องมาอยู่ ถ้าพี่จะจอดจริงๆ พี่ต้องขยับไปชิดรั้วอีกด้านเลย ถึงจะจอดได้
บ้านสองหลังเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่ใช่ ทั้งสองหลังยังเอารถมาจอดหน้าบ้านเรา แล้วน้องเราก็ต้องเดินไปบอกเค้าประจำให้ช่วยเลื่อนรถ จนกระทั่งมันเป็นอารมณ์ว่าทำไมต้องบอก บ้านหลังแรก เลื่อนให้แบบรีบเร่งตามแบบของที่เค้าเรียกว่าเกรงใจมังคะ แต่หลังที่ไม่เคยบอกอะไรเรา เลื่อนให้แบบ ลอยชายมาก ขอย้ำเลยว่า เลื่อนให้แบบ "เออ เดี๋ยวเลื่อนให้" แล้วมันก็กระทบกระทั่งจนบ้านหลังที่สองนี้เค้าไม่มาจอดบ้านเรา (ไม่มาจอดให้เห็น เพราะข้างบ้านเราบอกเราว่าเค้ามาจอดประจำตอนกลางวันเวลาเราไม่อยู่)
ตอนที่น้องเรามีเรื่องกระทบกระทั่งกับหน้าบ้าน เราเริ่มคิดแล้วว่า มันเป็นปัญหาแระ แต่จริงๆแล้ว เราก็เริ่มรู้สึกก่อนหน้านี้แล้วว่า บ้านสองหลังนี้เค้ามีคำว่าเกรงใจให้เรารึเปล่า เค้ารู้ว่า เรากับน้องกลับบ้านเวลาไหน (เรากับน้องทำงานประจำกลับถึงบ้านเป็นเวลาตลอด) แต่กลับต้องเดินไปบอกเค้าให้มาเลื่อนรถทุกครั้ง และหลายครั้ง หน้าบ้านของสองหลังนี้ ไม่มีรถจอด แต่เค้ากลับมาจอดหน้าบ้านเรา (หน้าบ้านเราร่ม มีต้นไม้ แต่บ้านเค้าตัดต้นไม้ทิ้งหมดเพราะเค้าปูกระเบื้อง) และเราก็สรุปของเราเองว่า มันเป็นเพราะเราไปยอมเค้าแต่แรกเอง หากเราเฉย ไม่บอกเค้าว่าจอดได้ หรือให้เค้าเลื่อนไปจอดบ้านตัวเอง หรือตรงกลางหมู่บ้านที่ไม่ใช่หน้าบ้านใครแทนแต่แรก คงไม่เป็นแบบนี้
ต่อมา น้องเรากลับไปอยู่ต่างจังหวัด ทำให้บ้านเรากลับมามีรถคันเดียว และตอนนี้ เราเพิ่งเลี้ยงหมาอีกตัว เพิ่งจะ 2 เดือนกำลังซนเลย เราเลยจอดรถไว้หน้าบ้านตลอดไม่เอาเข้าบ้าน เพราะกัวว่าหากเวลาไหนเราเผลอเกิดไปเหยียบน้องหมา เราเสียใจแน่
พอน้องเราไม่อยู่แล้ว (ที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน เป็นน้องเรากับหน้าบ้าน น้องเราไม่ยอม พูดแบบตรงไปตรงมาเลย) คราวนี้ เอาใหญ่เลย มาจอดกันใหญ่เลย เราต้องบอกทุกครั้ง ทุกวัน บอกให้เค้าชิดอีกฝั่ง เค้าก็ไม่เคยชิด บอกเค้าว่า เราจอดตรงนี้ทุกวัน เค้าก้อยังจอดกลางเหมือนเดิม จนเราเริ่มไม่ไหว และเดินไปพูดกับบ้านแรกตรงๆ (บ้านแรกเคยบอกเราว่า ไม่กล้าไปจอดชิดรั้วด้านนั้น เพราะเกรงใจบ้านข้างบ้านเรา) ว่า "เราจอดตรงนี้ทุกวันเวลาเรากลับบ้าน ลุงบอกว่า ลุงเกรงใจบ้านนั้นและไม่อยากไปจอดชิดรั้วด้านนั้น แต่ลุงไม่เคยเกรงใจเราเลย ทำไมเป็นแบบนี้คะ" และก็มีอีกวันที่ญาติของบ้านแรกมาแล้วมาจอดตรงกลางหน้าบ้านเรา เรากลับมาบ้านตอนเกือบเที่ยงคืน (วันนั้นเป็นวันเสาร์) เราโมโหมาก เรากดออดเลย บอกให้เค้าเลื่อนรถ หลังจากวันนั้นบ้านแรกก็ไม่มาจอดรถหน้าบ้านเราอีก ส่วนบ้านที่สอง มีญาติเค้ามาจอดรถหน้าบ้านเราบ้าง เวลาเค้าขึ้นมาจากภูเก็ต (ญาติเค้าเป็นคนอัธยาศัยดีมาก ขอจอดพูดจาดียิ้มแย้มตลอด) เราก็บอกเค้า ว่าจอดได้นะ แต่ขอให้จอดชิดรั้วอีกด้าน เพราะเราจอดตรงนี้ จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นที่มาของคำถามที่ตั้งเป็นกระทู้ ญาติบ้านที่สองมาจากภูเก็ต เอารถมาจอดหน้าบ้านเราตรงกลาง ไม่จอดชิดไปติดรั้ว เรากลับจากทำงานตอนเย็น เราถามพี่เจ้าของบ้านที่สองว่า รถใครคะ เค้าบอกรถหลานเค้าเอง เราบอกว่า ช่วยเลื่อนด้วยค่ะ แล้วเราก็รอในรถ(โดยที่รถยังสตาร์ทเครื่องอยู่ จ่อตรงท้ายรถหลานพี่เค้า) สิ่งที่เจ้าของบ้านที่สองทำคือ ยืนคุยกับคนงานสองคน ไม่สนใจ (หลานเค้าอยู่ในบ้าน เราเห็นอยู่) ประมาณเกือบ 15 นาที จนเราเปิดกระจกรถ มองพี่เค้า (อารมณ์เราโมโหแล้ว) และพี่เค้าก็เดินเข้าไปในบ้านหยิบกุญแจรถเค้าออกมา (เราก็นึกในใจ กว่าจะเลื่อนได้) ปรากฎว่าไม่ใช่ เค้าเดินไปเลื่อนรถเค้า เข้าไปจอดในบ้าน แล้วก้อออกมายืนนอกบ้านอีกรอบ เราเปิดประตูรถยืนพิงรถดูพี่เค้าเลย พี่เค้าเลยเข้าไปเรียกหลานเค้ามาเลื่อนรถ เราเลยเดินตรงเข้าไปหาพี่เค้า บอก "พี่คะ ขอคุยเรื่องที่จอดรถหน่อย" คำพูดแรกที่พี่เค้าพูด "อย่ามีปัญหาอะไรเลย เป็นเรื่องของน้ำใจ เราบ้านใกล้เรือนเคียง เรื่องจอดรถแค่นี้ น้ำใจน่ะ บ้านใกล้กันเกิดต้องช่วยเหลือกันมันมากกว่านี้อีก" เราบอก "พี่ ถ้าพี่เป็นเราพี่จะทำยังไง เราเคยบอกพี่แล้วว่า ถ้าจอดให้จอดชิดรั้วไปเลย เราจะได้จอดได้" พี่เค้าบอก "น้ำใจน่ะ อืม แต่พี่ลืมคิดไปว่า คนเรามันต่างกัน จริงๆ ถ้าเราเข้าบ้านไปก่อนก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่" เรามองหน้าพี่เค้า เราอึ้ง เรางงมาก และตอนนั้น เราเกลียด คำว่า "น้ำใจ" มาก
อยากรู้คำว่า "น้ำใจ" หมายความว่าอย่างไร
ขอเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เราสงสัยคำคำนี้นะคะ
เรามีบ้านอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง เป็นบ้านเดี่ยวที่ภายในรั้วบ้านสามารถจอดรถได้ 1 คันสบายๆ และถนนหน้าบ้านก้อเป็นถนนส่วนบุคคลของหมู่บ้าน ที่แต่ละบ้านสามารถจอดรถได้อีก 2 คันโดยไม่ขวางหน้าบ้านตัวเอง เราซื้อบ้านหลังนี้ตั้งแต่เริ่มโครงการ บ้านยังก่อสร้างไม่เสร็จ พอสร้างเสร็จเราอยู่ได้ ไม่ถึง 3 เดือนเราก้อมีเหตุต้องไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาเกือบ 5 ปี กลับมาเราก้อมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ตอนช่วงแรกเรามาอยู่เรามีรถหนึ่งคันก้อจอดในบ้านตามปกติ มีจอดหน้าบ้านตัวเองบ้าง ส่วนบ้านอื่นส่วนใหญ่เค้ามีรถกันมากกว่าหนึ่งคัน และเค้าก็จอดในบ้านตัวเองและหน้าบ้านตัวเอง จะมีบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านเรา 2 หลัง ที่เหมือนว่า บ้านเค้าจะมีคนเข้าออกมากกว่าบ้านอื่น ทำให้มีรถมากกว่า 2 คัน และเค้าก้อจะมาจอดหน้าบ้านเราประจำ บ้านตรงข้ามเรา1หลังเข้ามาบอกเราว่าถ้ามีรถญาติเค้ามา เค้าขอจอดหน่อยนะ และบ้านนี้ลูกชายเค้าเคยช่วยเหลือเราหลายครั้ง เราบอกเค้าว่า "ได้เลยค่ะ บ้านเรามีรถคันเดียว ถ้าไม่จอดปิดรั้วบ้านเราจอดได้ค่ะ" ส่วนบ้านตรงข้าวอีกหนึ่งหลังที่ชอบมาจอดรถหน้าบ้านเรา (หน้าบ้านตัวเองไม่จอดค่ะ เค้าเคยบอกว่า หน้าบ้านเราร่มมีต้นไม้เค้าชอบ) ไม่เคยบอกอะไรเราเลย ยกเว้นแต่เราจะถามว่า นี่รถพี่เหรอคะ
ช่วงแรก ยังไม่ค่อยมีปัญหา มีบ้างที่เค้าจอดเลยมาปิดหน้าบ้านทำให้เราเอารถเข้าบ้านต้องเลี้ยวหลบ เราก้อเดินไปบอกเค้าให้ช่วยจอดชิดไปหน่อย เราถอยเข้าลำบาก ต่อมา มีน้องเรามาอยู่ด้วย และก้อเลยมีรถเพิ่มมาอีก 1 คัน คือ 2 คัน รถน้องเราจอดหน้าบ้าน ตอนน้องเรามาอยู่ เราก้อบอกบ้าน 2 หลังนี้เรียบร้อยว่า ต่อไปพี่จอดไม่ได้แล้วนะคะ เพราะน้องมาอยู่ ถ้าพี่จะจอดจริงๆ พี่ต้องขยับไปชิดรั้วอีกด้านเลย ถึงจะจอดได้
บ้านสองหลังเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่ใช่ ทั้งสองหลังยังเอารถมาจอดหน้าบ้านเรา แล้วน้องเราก็ต้องเดินไปบอกเค้าประจำให้ช่วยเลื่อนรถ จนกระทั่งมันเป็นอารมณ์ว่าทำไมต้องบอก บ้านหลังแรก เลื่อนให้แบบรีบเร่งตามแบบของที่เค้าเรียกว่าเกรงใจมังคะ แต่หลังที่ไม่เคยบอกอะไรเรา เลื่อนให้แบบ ลอยชายมาก ขอย้ำเลยว่า เลื่อนให้แบบ "เออ เดี๋ยวเลื่อนให้" แล้วมันก็กระทบกระทั่งจนบ้านหลังที่สองนี้เค้าไม่มาจอดบ้านเรา (ไม่มาจอดให้เห็น เพราะข้างบ้านเราบอกเราว่าเค้ามาจอดประจำตอนกลางวันเวลาเราไม่อยู่)
ตอนที่น้องเรามีเรื่องกระทบกระทั่งกับหน้าบ้าน เราเริ่มคิดแล้วว่า มันเป็นปัญหาแระ แต่จริงๆแล้ว เราก็เริ่มรู้สึกก่อนหน้านี้แล้วว่า บ้านสองหลังนี้เค้ามีคำว่าเกรงใจให้เรารึเปล่า เค้ารู้ว่า เรากับน้องกลับบ้านเวลาไหน (เรากับน้องทำงานประจำกลับถึงบ้านเป็นเวลาตลอด) แต่กลับต้องเดินไปบอกเค้าให้มาเลื่อนรถทุกครั้ง และหลายครั้ง หน้าบ้านของสองหลังนี้ ไม่มีรถจอด แต่เค้ากลับมาจอดหน้าบ้านเรา (หน้าบ้านเราร่ม มีต้นไม้ แต่บ้านเค้าตัดต้นไม้ทิ้งหมดเพราะเค้าปูกระเบื้อง) และเราก็สรุปของเราเองว่า มันเป็นเพราะเราไปยอมเค้าแต่แรกเอง หากเราเฉย ไม่บอกเค้าว่าจอดได้ หรือให้เค้าเลื่อนไปจอดบ้านตัวเอง หรือตรงกลางหมู่บ้านที่ไม่ใช่หน้าบ้านใครแทนแต่แรก คงไม่เป็นแบบนี้
ต่อมา น้องเรากลับไปอยู่ต่างจังหวัด ทำให้บ้านเรากลับมามีรถคันเดียว และตอนนี้ เราเพิ่งเลี้ยงหมาอีกตัว เพิ่งจะ 2 เดือนกำลังซนเลย เราเลยจอดรถไว้หน้าบ้านตลอดไม่เอาเข้าบ้าน เพราะกัวว่าหากเวลาไหนเราเผลอเกิดไปเหยียบน้องหมา เราเสียใจแน่
พอน้องเราไม่อยู่แล้ว (ที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน เป็นน้องเรากับหน้าบ้าน น้องเราไม่ยอม พูดแบบตรงไปตรงมาเลย) คราวนี้ เอาใหญ่เลย มาจอดกันใหญ่เลย เราต้องบอกทุกครั้ง ทุกวัน บอกให้เค้าชิดอีกฝั่ง เค้าก็ไม่เคยชิด บอกเค้าว่า เราจอดตรงนี้ทุกวัน เค้าก้อยังจอดกลางเหมือนเดิม จนเราเริ่มไม่ไหว และเดินไปพูดกับบ้านแรกตรงๆ (บ้านแรกเคยบอกเราว่า ไม่กล้าไปจอดชิดรั้วด้านนั้น เพราะเกรงใจบ้านข้างบ้านเรา) ว่า "เราจอดตรงนี้ทุกวันเวลาเรากลับบ้าน ลุงบอกว่า ลุงเกรงใจบ้านนั้นและไม่อยากไปจอดชิดรั้วด้านนั้น แต่ลุงไม่เคยเกรงใจเราเลย ทำไมเป็นแบบนี้คะ" และก็มีอีกวันที่ญาติของบ้านแรกมาแล้วมาจอดตรงกลางหน้าบ้านเรา เรากลับมาบ้านตอนเกือบเที่ยงคืน (วันนั้นเป็นวันเสาร์) เราโมโหมาก เรากดออดเลย บอกให้เค้าเลื่อนรถ หลังจากวันนั้นบ้านแรกก็ไม่มาจอดรถหน้าบ้านเราอีก ส่วนบ้านที่สอง มีญาติเค้ามาจอดรถหน้าบ้านเราบ้าง เวลาเค้าขึ้นมาจากภูเก็ต (ญาติเค้าเป็นคนอัธยาศัยดีมาก ขอจอดพูดจาดียิ้มแย้มตลอด) เราก็บอกเค้า ว่าจอดได้นะ แต่ขอให้จอดชิดรั้วอีกด้าน เพราะเราจอดตรงนี้ จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นที่มาของคำถามที่ตั้งเป็นกระทู้ ญาติบ้านที่สองมาจากภูเก็ต เอารถมาจอดหน้าบ้านเราตรงกลาง ไม่จอดชิดไปติดรั้ว เรากลับจากทำงานตอนเย็น เราถามพี่เจ้าของบ้านที่สองว่า รถใครคะ เค้าบอกรถหลานเค้าเอง เราบอกว่า ช่วยเลื่อนด้วยค่ะ แล้วเราก็รอในรถ(โดยที่รถยังสตาร์ทเครื่องอยู่ จ่อตรงท้ายรถหลานพี่เค้า) สิ่งที่เจ้าของบ้านที่สองทำคือ ยืนคุยกับคนงานสองคน ไม่สนใจ (หลานเค้าอยู่ในบ้าน เราเห็นอยู่) ประมาณเกือบ 15 นาที จนเราเปิดกระจกรถ มองพี่เค้า (อารมณ์เราโมโหแล้ว) และพี่เค้าก็เดินเข้าไปในบ้านหยิบกุญแจรถเค้าออกมา (เราก็นึกในใจ กว่าจะเลื่อนได้) ปรากฎว่าไม่ใช่ เค้าเดินไปเลื่อนรถเค้า เข้าไปจอดในบ้าน แล้วก้อออกมายืนนอกบ้านอีกรอบ เราเปิดประตูรถยืนพิงรถดูพี่เค้าเลย พี่เค้าเลยเข้าไปเรียกหลานเค้ามาเลื่อนรถ เราเลยเดินตรงเข้าไปหาพี่เค้า บอก "พี่คะ ขอคุยเรื่องที่จอดรถหน่อย" คำพูดแรกที่พี่เค้าพูด "อย่ามีปัญหาอะไรเลย เป็นเรื่องของน้ำใจ เราบ้านใกล้เรือนเคียง เรื่องจอดรถแค่นี้ น้ำใจน่ะ บ้านใกล้กันเกิดต้องช่วยเหลือกันมันมากกว่านี้อีก" เราบอก "พี่ ถ้าพี่เป็นเราพี่จะทำยังไง เราเคยบอกพี่แล้วว่า ถ้าจอดให้จอดชิดรั้วไปเลย เราจะได้จอดได้" พี่เค้าบอก "น้ำใจน่ะ อืม แต่พี่ลืมคิดไปว่า คนเรามันต่างกัน จริงๆ ถ้าเราเข้าบ้านไปก่อนก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่" เรามองหน้าพี่เค้า เราอึ้ง เรางงมาก และตอนนั้น เราเกลียด คำว่า "น้ำใจ" มาก