ลุยเดี่ยวอเมริกา 14 วันกับ 7 สวนสนุกแหล่งรวมรถไฟเหาะขั้นเทพ!!!

สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ลงทะเบียนมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ อาจเขียนไม่เก่ง พิมพ์ผิดบ้างตกหล่นบ้างก็ขออภัยด้วยนะครับ รูปที่ใช้โพสและคลิปที่ลงจะเป็นรูปและคลิปที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือผมเองทั้งหมดครับ หากจำเป็นต้องมีรูปอ้างอิงจากแหล่งอื่นผมจะระบุที่มาครับ

          ผมเพิ่งกลับมาจากทริปในฝันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเลยอยากจะมารีวิวแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในการท่องเที่ยวครั้งนี้ให้ฟังกันครับ ส่วนทริปที่ว่านั้นก็ตามหัวข้อกระทู้เลยครับ



          ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักนิดนะครับ ผมเป็นคนที่คลั่งไคล้รถไฟเหาะมากๆครับ หลงรักมันตั้งแต่ได้เล่นครั้งแรกที่แดนเนรมิตเมื่อ20กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นอายุยังไม่สิบขวบดี พอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มชอบอ่านและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสวนสนุกโดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับรถไฟเหาะมาโดยตลอดครับ ส่วนเรื่องท่องเที่ยว ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เอเชีย ยุโรป อมเริกา ออสเตรเลีย ถ้ามีโอกาสแวะสวนสนุกก็จะต้องแวะไปทุกครั้งครับ ไม่ว่าจะเป็น Disney, Six Flags, Universal หรือจะสวนสนุกอื่นๆผมก็เชคอินมาแล้วพอสมควร รวมถึงงานวัดไก่กาอาแปะงานแฟร์ตลาดนัด ถ้ามีรถไฟเหาะเล็กๆมาผมก็ไม่พลาดครับ หยอดเหรียญเล่นตามห้างก็เอาครับ ถามว่าอายมั๊ย? อายสิ แต่เพื่อสนองความเนิร์ดของตัวเองก็ต้องเล่นครับ แต่ก็ไม่เคยมีทริปลุยเล่นรถไฟเหาะแบบเพียวๆมาก่อนสักที มันเป็นความฝันตั้งแต่เด็กว่าวันหนึ่งเราจะต้องมีทริปเที่ยวเล่นรถไฟเหาะแบบจริงจังอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งก่อนแก่เกินไปครับ และเมื่อวันนี้มีการมีงานพร้อม อายุยังถือว่าหนุ่มอยู่ เลยต้องรีบเก็บเงินทำตามฝันครับ และประเทศที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทริปนี้ก็เป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากสหรัฐอเมริกาครับ

          เข้าเรื่องเลยนะครับ ทริปนี้ผมใช้เวลาวางแผนอยู่ราวๆครึ่งปีโดยไม่รวมระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บเงินครับ เก็บเองเจ็บเองไม่มีตัวแสดงแทนหรือสปอนเซอร์ใดๆทั้งสิ้นครับ เมื่อศึกษางบประมาณและเวลาที่มีอยู่เรียบร้อยแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าผมจะไปได้ทั้งหมด 7 สวนสนุก! โดยจะลงจุดแรกที่เมื่องชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ (Chicago,IL)แล้วแวะลงไปเรื่อยๆจนมาสุดทางที่เมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา (Charlotte,NC)ครับ สาเหตุที่เลือกเส้นทางนี้เพราะว่าฤดูกาลที่ผ่านมา(2016 operation season)เป็นฤดูกาลที่สวนสนุกในระแวกนี้มีการเปิดตัวรถไฟเหาะใหม่ๆที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดครับ เป็นระแวกที่ผมไม่เคยไปมาก่อน และที่สำคัญ สวนสนุกซีด้าพ้อยท์ (Cedar Point)ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงรถไฟเหาะของโลกก็ตั้งอยู่ที่ระแวกนี้ครับ เป็นสวนสนุกที่แฟนๆรถไฟเหาะตัวจริงต้องมาแสวงบุญสักครั้งในชีวิตถึงจะเรียกได้ว่าบรรลุครับ  และที่ต้องเที่ยวคนเดียวก็เพราะไม่มีใครติงต๊องพอที่จะไปเที่ยวแบบนี้กับผมครับ 555


ภาพนี้ก็แผนการเดินทางคร่าวๆครับ ส่วนตารางเที่ยว ถ้าอยากได้ก็หลังไมค์มาขอผมได้เลยครับ

          เดือนที่เลือกไปเป็นเดือนกรกฎาคมครับ ช่วงนี้เป็นช่วงSpring Breakเป็นช่วงHigh Seasonปล่อยผีเช็งเม๊งของอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะโรงเรียนหยุดยาวเหมือนปิดเทอมใหญ่ของบ้านเรา สวนสนุกที่สหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ตามเมืองในเขตที่หนาวหน่อยก็จะเปิดบริการเป็นฤดูกาลครับ ฤดูกาลเที่ยวสวนสนุกจะเริ่มในช่วงเดือน เมษายน/พฤษภาคม และจะพีคสุดช่วงเดือนกรกฎาคมครับ ซึงก็จะเปิดต่อเนื่องไปจนถึงเดือนตุลาคม/พฤษจิกายน และจากนั้นก็จะปิดปรับปรุงและรอเปิดใหม่ในฤดูกาลถัดไป แต่บางสวนสนุกก็เปิดตลอดปีอย่างสวนสนุกแถบที่อุ่นตูดลงมาหน่อยเช่นแถวๆรัฐฟลอริด้า หรือแคลิฟอร์เนีย เช่น Universal Studios Orlando, Six Flags Magic Mountain, Disney Resorts เป็นต้น ผมตัดสินใจผิดนิดหน่อยที่เลือกไปเดือนกรกฎาคม เพราะร้อนและคนมหาศาลมาก ชนิดที่ต่อแถวกันยาวเหยียด2-3ชั่วโมงเลยทีเดียว ถ้าเป็นเดือนกันยา คนจะน้อยลงมากครับ ว่าแล้วก็มาดูครับว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้างสำหรับทริปนี้ บอกเลยว่าหมดตูดครับงานนี้

          สิ่งจำเป็นที่ต้องใช้สำหรับทริปครั้งนี้คือ

- หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่า จำเป็นมากครับ ไม่มีสิ่งนี้ก็ไปไม่ได้ ส่วนที่ว่าเราจะขอวีซ่ายังไง หาข้อมูลได้ที่ https://th.usembassy.gov/ หรือตามกระทู้แนะนำอื่นๆในพันทิปได้เลยครับ ของผมนั้นได้มา9ปีแล้วครับ

- ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ผมบินกับสายการบิ Emiratesชั้นประหยัด เครื่องใหม่นั่งสบายมีWiFiฟรีบนเครื่อง การบริการดีมากครับ มีพักเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบทั้งขาไปและขากลับ ทุกอย่างดีหมด เสียอย่างที่เด็กเล็กเยอะมากครับ เจี๊ยวจ๊าวงอแงรบราฆ่าฟันกันตลอดทาง และคนไทยน้ำใจดีอย่างเราก็ต้องพร้อมสำหรับการเปลี่ยนที่นั่งเมื่อคุณลุงคุณป้าข้างๆจะขอให้เราเปลี่ยนเพราะเขามักจะเดินทางมากับครอบครัวใหญ่ และทุกคนนั่งกันคนละที่หมดเลย หัวเครื่องคนนึงท้ายเครื่องคนนึง ก่อนเครื่องขึ้นจึงมีความโกลาหลกันน่าดู อีนั่นทะเลาะกัน อีเด็กนี่ร้องไห้ ยัยป้านั่นอยากนั่งกับหลาน แต่พอทุกอย่างลงตัว การเดินทางก็ราบรื่นครับ

- เงิน จำเป็นมากๆเช่นกันครับ ทริปนี้หมดไปราวๆ2แสนบาท...ยอมรับเลยว่าแพงมากๆ ขายแฟนขายควายเที่ยวกันเลยทีเดียว แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักๆคือค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเช่ารถ+ค่าน้ำมัน ค่าโรงแรมที่พัก ค่าบัตรผ่านสวนสนุก ค่าบัตรpassที่ใช้สำหรับลัดคิว ค่าอาหาร ค่าของฝากเล็กๆน้อยๆ และเงินไว้เล่นหวย Power Ball ครับ อิอิอิ เผื่อคืนทุน ถามว่าเล่นแล้วถูกไหม? ไม่  

- บัตรเครดิตและบัตรเดบิต เราไม่ควรพกเงินสดไปครับ ผมใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเกือบทั้งหมด ติดต่อธนาคารให้เพิ่มวงเงินเตรียมไว้ก่อนออกเดินทางครับ แล้วค่อยกลับมาใช้หนี้หัวบานกันภายหลัง เรื่องฟินนั้นต้องมาก่อนเรื่องผ่อนค่อยว่ากันครับ

- ใบขับขี่ ใช้สำหรับเช่าและขับรถที่อเมริกาครับ ไม่จำเป็นต้องไปทำใบขับขี่สากลให้เปลือง เพราะใบขับขี่แบบใหม่ของเรานั้นมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่เพียงพอแล้ว จะเป็นแบบ1ปีหรือแบบ5ปีก็ใช้เช่าและขับรถที่สหรัฐอเมริกาได้เลย ของผมเช่าโดยใช้ใบขับขี่ชั่วคราว1ปีก็เช่าได้ ส่วนใบขับขี่สากลใช้ไม่ได้ครับเขาไม่รับ ทำไปก็เปลืองเปล่าๆ แต่ควรทำหากใบขับขี่ยังเป็นรุ่นเก่าคือรุ่นที่ไม่มีภาษาอังกฤษกำกับครับ

-รถเช่า ผมเช่ากับAVISครับ จองล่วงหน้าจากไทยแล้วไปรับรถที่สนามบิน ไปถึงก็ยื่นเอกสารลงทะเบียนยืนยันตัวตนนิดหน่อยกุญแจก็รอเราอยู่ในรถแล้วครับ สะดวกมาก แต่แพงขั้นพญาวรนุชเลยครับ ผมเช่าFord Fiestaเลือกรุ่นที่ถูกที่สุดแล้วก็ยังต้องจ่ายประมาณ7หมื่นบาทครับ เช่าทั้งหมด2สัปดาห์  (ปาดเหงื่อ พร้อมกวาดขนหน้าแข็ง เพื่อเก็บไว้เป็นอาหารประทังชีวิตต่อไป)  ระบบเช่าของเขาจะบังคับเช่าพร้อมแพคเกจประกันโจรกรรมและประกันอุบัติเหตุ หากยืนยันการเช่าล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ตเราจะประหยัดได้ราวๆ15-20%เลยทีเดียว ข้อดีคือขับรถอุ่นใจไม่ต้องกลัวเฉี่ยวชนหรือรถโดนขโมยหรือโดนทำลาย ในจุดๆนี้ถ้าไปกันหลายคนก็จะประหยัดลงเยอะครับ ที่อเมริกาแย่อยู่อย่างหนึ่งตรงที่การเดินทางค่อนข้างลำบากหากไม่มีรถยนต์ส่วนตัวหรือรถเช่า ซึ่งทริปนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยครับ ในเวลาเพียงเท่านี้

- ประกันการดินทาง ซื้อไว้อุ่นใจครับ ตกรถไฟเหาะขึ้นมาคนที่บ้าน...ร่วย!!!

- แผนการเดินทาง จองที่พัก ทำแผนที่ จองตั๋วสวนสนุก (ซื้อออนไลน์จะราคาถูกกว่าซื้อหน้าประตูราวๆ20%ครับ ไม่ต้องต่อแถวด้วย มาถึงก็เดินหล่อๆแล้วโชว์ตั๋วจากหน้าจอโทรศัพท์ของเราก็เข้าสวนสนุกได้เลย) ปริ๊นต์ทุกอย่างออกมาไว้เผื่อแสดงให้เจ้าหน้าที่ตม.ดูที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยก็ดีครับ รวมค่าที่พักรวมค่าตั๋วและบัตรผ่านต่างๆแล้วก็เกือบ8หมื่นครับ ตอนนี้ไม่มีขนหน้าแข้งให้ร่วงแล้วครับ ขนอย่างอื่นร่วงแทน กลับมาถึงไทย เพื่อนทักเห้ย...ผิวเนียนขึ้นดูผอมลงอ่ะ

- สกิลทางด้านภาษาอังกฤษ ถ้ามีก็จะทำให้การใช้ชีวิตคนเดียวที่นั่นสะดวกขึ้นเป็นกอง

- ความรู้เรื่องกฎจราจรของที่นั่น สำคัญมากๆ ผมใช้เวลาศึกษาพอสมควร ป้ายหยุดต้องหยุดจริงๆ ป้ายให้ทาง ลิมิตความเร็วของถนนประเภทต่างๆ เส้นจราจรและสัญลักษณ์ต่างๆ เรื่องพวกนี้เขาเคร่งมากๆครับ  

- จัดกระเป๋าและสำภาระน้อยๆ ยิ่งพะรุงพะรังยิ่งไม่สะดวก พวกอะไรที่ต้องถือตลอดเวลาพวกกล้องขนาดใหญ่ กระเป๋าเป้ ไม่ควรครับ หาที่เก็บยากและแพง

- เสื้อผ้าเบาๆ ครีมกันแดดหนักๆ หมวกและแว่นตากันแดด เดือนกรกฎาคมแถวนั้นแดดแรงและร้อนมากจริงๆ หลายครั้งต้องยืนต่อแถวกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ผิวไทยๆควายเรียกพ่ออย่างผมยังไหม้เลยครับ เตรียมรองเท้าผ้าใบสบายๆไปสัก1คู่ด้วย เพราะวันหนึ่งๆเราจะเดินเป็นระยะทางร่วม 10 กิโลได้เลยทีเดียว แต่เนื่องจากขนของเราร่วงหมดแล้วจากการใช้จ่ายก่อนหน้านี้ บวกกับการที่ไม่มีจะกินแล้ว น้ำหนักตัวเราก็เบาขึ้นครับ เดินตัวลอยเลย

- SIM พร้อม Data 4G เผื่อฉุกเฉิน ผมสั่งของ ZIP SIM ราคาหลักร้อย ใช้dataได้1GBในเวลา 2 สัปดาห์  สั่งได้ที่เวปไซต์ของ ZipSim ส่งให้ถึงที่กทม.ครับ พอไปถึงอเมริกาก็ activate แล้วใช้งานได้เลย  ผมใช้เพื่อเป็นระบบนำทางตอนขับรถซะเป็นส่วนใหญ่ครับ แต่ใครมีเงินหน่อยก็เปิดโรมมิ่งได้เลยครับ

เมื่อผมเดินทางถึงชิคาโก้จัดการเช่ารถเสร็จสรรพ ผมก็ขับตรงดิ่งไปที่พักแล้วนอนเลยครับเพราะเหนื่อยมาก

นี่คือรถเช่า และกระเป๋าที่แพคไปทั้งหมดครับ มีเท่านี้จริงๆ

วันรุ่งขึ้นพร้อมแล้วก็ลุยสิครับ!!! จุดหมายแรก Six Flags Great America! ไฮไลท์ของที่นี่คือรถไฟเหาะรางไม้ที่มีดรอปที่ยาวที่สุดในโลก!

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่