ผมควรทำยังไงต่อไปกับอาการของแม่ผม.....ใจนึงก็อยากให้เค้าไปสบาย.....อีกใจก็กลัวว่าจะดูเป็นเรื่องไม่ดี

กระทู้คำถาม
ขออนุญาต...เล่าถึงรายละเอียดอาการของแม่เป็นแบบไทม์ไลน์นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วันที่ 18 กันยายน 2559
เวลา 05:00 น. แม่ของผมได้หน้ามืดหมดสติไป จากนั้นผมจึงได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นและเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉนทันที ด้วยเพราะแม่ไม่ได้มีโรคประจำตัวใดๆ ผมก็นึกว่าแม่แค่หน้ามืดเป็นลมปกติเพราะแม่ยังมีสติปกติดี จากนั้นเมื่อขึ้นรถหน่วยกู้ชีพแล้วได้สักพักแม่ก็หมดสติลง
พอถึงรพ.ในเวลาประมาณ 06:00 น. แพทย์ฉุกเฉินได้ให้รับการรักษาและยื้อให้แม่กลับมาเพราะหัวใจหยุดเต้น หลังจากทำการปั๊มหัวใจไปสามรอบ จนอาการของแม่คงที่ แพทย์ก็ออกมาระบุว่า "แม่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ขั้วปอด ส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจก่อนมาถึงรพ.ประมาณสามสิบนาที มีภาวะสมองขาดเลือดและออกซิเจน" จากนั้นก็ย้ายแม่เข้าห้องผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) โดยใช้เครื่องช่วยหายใจและยาสลายลิ่มเลือด

วันที่ 20 กันยายน 2559 (วันที่สาม)
แพทย์ผู้รักษาแม่ (มีสองคน) ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับอาการของแม่และผลของลิ่มเลือดว่ายังสลายไม่หมด และมีสภาวะเสี่ยงที่จะเกิดอาการสมองตายสูงมาก หากหายเป็นปกติแม่จะสามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนเดิม โดยแผนการรักษาแพทย์ได้วางไว้ว่าในสัปดาห์แรกจะสังเกตอาการการตอบสนองของสมอง และพยายามทำทุกทางที่จะให้คนไข้ฟื้นกลับมา และหากสัปดาห์ที่สองแม่ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ (ไม่สามารถหายใจเองได้) แพทย์จะทำการเจาะคอเพื่อให้ผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจทางคอหรือให้ผู้ป่วยหายใจเอง(ในข้อนี้ผมขอปฏิเสธทันที ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ) และมีอาการชักกระตุกถี่มาก และแพทย์ได้ในยาระงับอาการ และมีหัวใจหยุดเต้นหนึ่งครั้งในคืนที่ผ่านมา

วันที่ 21 กันยายน 2559 (วันที่สี่)
ทางแพทย์แจ้งมาว่าแม่เริ่มมีภาวะสมองบวม และได้ให้ยาลดอาการบวมของสมอง และตามร่างกายบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีอาการชักกระตุกถี่ต่อเนื่อง

วันที่ 22 กันยายน 2559 (วันที่ห้า)
แม่มีไข้และเริ่มติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ (น่าจะไซนัส เพราะเริ่มมีกลิ่นทางจมูก) และอาการบวมของสมองยังไม่ลดลงแม้จะให้ยาระงับอาการบวมแล้ว อาการชักกระตุกลดลงแต่ยังพอมี

วันที่ 24 กันยายน 2559 (วันที่เจ็ด)
วันนี้แพทย์ระบบประสาทและสมองเข้ามาตรวจการตอบสนองของสมอง และแพทย์ประจำเคสเรียกผมเข้ามาคุยเป็นการส่วนตัว เพราะตอนนี้ส่วนสมองที่ยังบวมก็ยังบวมขึ้นเรื่อยๆ ลิ่มเลือดที่ค้างอยู่เริ่มมีน้อยลง แต่หมอยังให้คำตอบไม่ได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และยังไม่ทราบว่าจะฟื้นเมื่อไหร่ และกำลังรอผลก้านสมอง (การตอบสนองรับรู้ หากส่วนนี้หายไปเท่ากับว่าคนไข้เสียชีวิตแล้วแต่ยังหายใจ) มีความเสี่ยงที่ก้านสมองจะตายสูงมากจากการที่สมองขาดเลือดเป็นเวลานานและเนื้อสมองที่บวม

วันที่ 26 กันยายน 2559 (วันที่เก้า)
อาการโดยรวมถือว่าทรงตัว ผลของก้านสมองตอนนี้การรับรู้ความรู้สึกไม่ถึง 30% แพทย์วินิจฉัยว่ามีโอกาสแค่ 1% เท่านั้นที่แม่จะฟื้น และยังยื้ออยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ จากนั้นแพทย์ก็ได้พูดเกี่ยวกับการช่วยกระตุ้นชีพฉุกเฉินโดยผมขอให้หยุดการใช้ยาเพิ่มความดันและการปั๊มหัวใจ (เซ็นเอกสารให้หยุดการยื้อชีวิตกรณีฉุกเฉิน)

วันที่ 27 กันยายน 2559 (วันที่สิบ)
เริ่มมีของเสีย (เสลดกับเลือด) ไหลออกมาตามท่อและเครื่องช่วยหายใจ รูจมูกและปาก และเริ่มมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

วันที่ 28 กันยายน 2559 (วันที่สิบเอ็ด)
อาการการตอบสนองของสมองลดลง ยังมีเสลดเลือด และเหงื่อออกตามตัวมาก

วันที่ 29 กันยายน 2559 (วันที่สิบสอง)
ไม่มีการตอบสนองของรูม่านตา และการตอบสนองของระบบประสาทและสมองลดลง กล้ามเนื้อเกร็งเพิ่มขึ้น อาการตอบสนองทั่วไปลดลงและอาการแย่ลงเรื่อยๆ แต่อัตราการเต้นของหัวใจและความดันปกติ(ไม่ได้ให้ยา) และยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่

วันที่ 2 ตุลาคม 2559 (วันที่สิบห้า)
ผมปฏิเสธการเจาะคอเพื่อให้แม่หายใจเอง (ดังที่กล่าวข้างต้น) เริ่มมีแผลกดทับ (บวมม่วง ยังไม่เกิดแผล)บริเวณต้นแขนทั้งสองข้าง คอ และสะโพก อาการทั่วไปยังทรงตัว ใช้เครื่องช่วยหายใจทางปากปกติ ความดันและการเต้นของชีพปกติดี การตอบสนองของสมองลดลงและยังไม่รู้สึกตัว

ทั้งหมดนี้ จากการดูอาการตั้งแต่แรกๆ แล้วและผมพอจะทำใจได้ และรู้ว่ายังไงก็ไม่ดีขึ้น ผมจึงอยากให้แพทย์ให้แม่ไปสู่สุคติ แต่ก็เข้าใจในจรรยาบรรณแพทย์ที่ไม่สามารถทำได้ ผมอยากทราบว่าพอจะมีวิธีไหนที่แบบจะทำได้ เพราะผมมองว่ามันดูทรมานมากทั้งแม่และผม เพราะแพทย์ได้วินิจฉัยและคุยกับผมแล้วว่าอาการจะค่อยๆ แย่ลง โอกาสมีน้อยมากที่แม่จะฟื้น พอจะมีวิธีที่จะให้ผมตัดสินใจหรืออย่างไร.....

ถ้าผมอยากให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ จะทำได้หรือเปล่าครับ?
หรือมีวิธีใดที่จะไม่ให้แม่ทรมานมากไปกว่านี้ และให้แพทย์ยินยอมการตัดสินใจของผม

ปล.จริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากให้แม่ตาย เพราะเหลือกันแค่สองคน แต่ในเมื่อมันถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้จะว่าต้องทำยังไงต่อไป และมันมีวิธีเดียวคือปล่อยแม่ไปและผมเข้าใจและทำใจได้

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ความคิดเห็นที่ 17
ประสบการณ์ตรง แม่สามีสำลักอาหารทางสายยาง ขณะรักษาตัวที่ ร.พ.ของรัฐ หมอต้องกู้ชีพให้หัวใจเต้นมาอีกครั้ง แต่แม่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาพูดคุยได้อีก ย้ายแม่มาอยู่เอกชน แม่ได้แต่นอนโดยมีเครื่องช่วยหายใจ เป็นเวลา 3 เดือน  คือแม่อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น สรุป ถ้าแม่จะอยู่แบบนั้นคงอยู่ไปอีกนาน คชจ.ก็มากตามไปด้วย เมื่อทุกคน เริ่มทำใจได้ ไม่อยากรั้งแม่ให้ทรมานอีกต่อไป ปรึกษาคุณหมอขอถอดเครื่องช่วยหายใจ  โดยที่ลูกๆ ขอมาถอดที่บ้านด้วยตัวอง ทางโรงพยาบาลอนุญาติ โดยมีรถพยาบาลเปิดไซเรนขอทางมาตลอด ทางลูกเตรียมเสื้อผ้าให้แม่ใหม่ นิมนต์พระมาเพื่อนำทางให้แม่ไปสู่สุขคติ พอมาถึงบ้านลูกๆพาแม่ มาที่เตียงที่แม่เคยนอน ลูกๆเข้าไปกอดลาแม่ แล้วลูกคนโตของแม่ เป็นผู้ถอดสายออกซิเจนออก วินาทีนั้น ลูกๆใจแทบสลาย สีหน้าของแม่เริ่มซีด จากใบหน้า ค่อยๆ ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงปลายเท้า พยาบาลที่มาด้วยจับชีพจร แล้วพยักหน้าว่า ท่านไปสบายแล้ว นี่คือประสบการณ์ที่อยากบอกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
ผมไม่ได้อ่านข้อความทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะมันยาวเกินไป ถ้าคุณอยากทำก็แค่คุยกับหมอไปตามตรงเลย เพราะบางทีการจะให้หมอมาพูดก่อนมันก็ดูไม่ดี เพราะญาติผู้ป่วยอาจยังไม่อยากให้ผู้ป่วยตายแล้วคิดไปว่าหมอไม่เต็มใจรักษา คิดไปว่าหมอขี้เกียจรักษาแล้ว คิดไปว่าหมอจะแช่งให้ญาติของตนตาย มันเคยมีเคสแบบนี้มาแล้วที่หมอมาเริ่มพูดก่อนอะครับแล้วญาติผู้ป่วยก็ไม่พอใจ ก็น่าเห็นใจหมอนะครับ

สรุป มันเสี่ยงมากเกินไปสำหรับหมอที่จะต้องมาเริ่มพูดเรื่องแบบนี้ก่อน ควรรอให้ญาติผู้ป่วยเป็นฝ่ายมาบอกหมอเองจะดีกว่า แล้วก็เซ็นเอกสารกันไปตามระเบียบ

อาชีพแพทย์นั้นเรามักมองว่าทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ในทางเดียวกันหมอเองก็สามารถฆ่าหรือปลิดชีวิตผู้อื่นด้วยวิธีทางการแพทย์ได้เช่นเดียวกัน มันเป็นความถนัดทั้งสองด้านที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันของหมอ เพียงแต่เราจะเห็นการกระทำของหมอเพียงด้านเดียวกันซะมาก ดังนั้นถ้าอยากจะให้หมอคร่าชีวิตของใครสักคนด้วยวิธีทางการแพทย์แล้วละก็ ไม่ต้องกังวลว่าเป็นเรื่องแปลกหรือดูน่าเกลียดสำหรับหมอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่