กระทู้นี้โคตรอยากจะบอก อึดอัดใจมากกับระบบการรักษาของประกันสังคม เลี้ยงไข้ตลอด คุณภาพรักษาลดลงจากในอดีตมาก โคตรเหนื่อยใจ โคตรเบื่อ และโคตรไม่ปลอดภัย รู้สึกมันเสี่ยงมากเกินกว่าปกติ ไม่ได้หมายถึงว่าหมอต้องรักษาหาย แต่หมายถึงโรคที่มีแนวทางรักษาอยู่แล้ว กลับไม่หายขาด รู้สึกเหมือนถูกเลี้ยงไข้ รู้สึกตัวเองมีความเสี่ยงไม่ปลอดภัย อะไรเลย เราไม่ได้ปฏิเสธการดูแลสุขภาพ แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้สามารถสุขภาพดีตลอดเวลาเป็นประจำการไปหาหมอเเพื่อรักษาก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น จริงปะ
เราต้องขอบอกก่อนว่า เราคือคนที่ไปใช้บริการร.พ.ประกันสังคมตามสิทธิ์ตลอดในระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา การรักษาของประกันสังคมที่ต้องเข้า OPD อย่างน้อย 1 เดือน/ครั้ง หรือ 2 เดือน/ครั้ง หรือบางทีก็ 6 เดือน/ครั้ง(ถ้าสุขภาพดี)เพราะเรามีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง และเราก็ไปหาหมอตลอดเพียงเพื่อรับยามารักษาให้หาย แต่ไม่ได้รับการดูแลให้หายขาดหรอกนะ อย่างมากก็หายไปพักหนึ่งก็กลับมาเป็นใหม่ ทีนี้ ที่เราข้องใจมากเลย คือ ในอดีตการจ่ายยาของประกันสังคมเป็นยาที่ดี และหมอสั่งจ่ายให้ในระดับที่พอเหมาะสม และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่มาบัดนี้ หมอร.พ.กับงดการจ่ายยาที่เคยได้รับ และจำกัดการเข้าถึงยาตามหมอสั่งจ่าย จากได้รับมาทานในระยะยาว ต้องมารับทุก 2 เดือน สำหรับยาอันตราย และรับทุกเดือนสำหรับยาทั่วไป
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29/9/59 เรามีอาการแพ้อาหาร หน้ามืด วิงเวียน บ้านหมุน หายใจไม่ออก เรากินยาแก้แพ้ไปอาการหน้ามืดวิงเวียนหาย แต่ยังหายใจไม่ออก ซึ่งเรายังไม่เอะใจว่าตนเองแพ้อาหารอะไร เพราะอาหารที่เราทานเข้าไปเรากินประจำ นั้นคือ ไอศครีมรสช็อคโกแลต ต่อมาเช้ามาวันที่ 30/9/59 เรากินขนมรสช็อคโกแลตเข้าไป เรามีอาการหน้ามืดวิงเวียน บ้านหมุนจะเป็นลม และหายใจไม่ออก และพาตัวเองไปร.พ.ลาดพร้าว(ขอบอกชื่อเลยเพื่ออถรรรสและสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้น ร.พ.อื่นเราไม่รู้แต่การจ่ายยาคงคล้ายๆกัน) ณ ขณะนั้น เรากินยาแก้แพ้ไปแล้ว และอาการหน้ามืดจะเป็นลมหาย แต่ที่ไม่หายคืออาการหายใจไม่ออก หายใจฝืดๆ ต้องหายใจทางปาก เพราะใช้จมูกหายใจไม่ได้ เราพาตัวเองไปหาหมอฉุกเฉินเพราะเราหายใจไม่ออก บอกหมอว่า เราทานอาหารแล้วแพ้ กินยาแก้แพ้ไปแล้ว แต่หายใจไม่ออก หมอฉุกเฉินคนที่ 1 ให้ฉีดยาแก้แพ้มาอีกรอบ และเราก็ขอให้หมอพ่นยา หรือขอยาพ่นกลับบ้าน เพราะเราหายใจไม่ออก หลอดลมตีบ รู้สึกเหมือนมีเสมหะหรืออะไรไปอุดปอดตลอดเวลา แต่หมอไม่ให้ ให้เหตุผลเราว่า อาการเรายังไม่หนัก พอที่จะพ่นยาหรือรับยาพ่น และเราได้ยามาแค่ ยาลดอาการคัดแน่นจมูก
เรารู้สึกแย่ เพราะเราหายใจลำบาก หายใจหนัก เฮือกๆ ก็แบกตัวเองขึ้นไปหาหมอประกันสังคม OPD หมอคนที่ 2 คนนี้เป็นหมอจ้างเวรมาแน่นอน เพราะยังใส่เสื้อชอร์ปขาวตราพระเกี้ยวอยู่เลย ที่พึงพอใจคือ หมอรับฟังอาการที่เล่าโดยละเอียด และให้เราพ่นยา ซึ่งเราพอใจมาก แต่ระหว่างที่กำลังรอพบหมอคนที่ 2 เราลงไปหาข้าวทาน แล้วแพ้อาหารอีกรอบ ซึ่งที่ทานคือ ต้มยำกุ้ง ก็ถ่อสังขารกลับมาหาหมอด้วยอาการ หน้ามืดวิงเวียรคล้ายจะเป็นลม และหายใจไม่ออก เช่นเดิม หมอก็รับฟังเราเล่าเรื่องละเอียดยิบมาก และให้เราพ่นยา แต่เราไม่มั่นใจว่า ให้ยาพ่นมาโดสเยอะ หรือ ยาพ่นผิดประเภทหรือเปล่าเราไม่รู้ พอเรารับยาพ่นไปในช่วงแรกๆ สัก 5 นาที อาการหายใจฝืดๆ หายทันที อาการหายใจไม่ออกหายทันที แล้วรู้สึกเหมือนมีเสมหะ หรืออะไรสักอย่างหลุดออกจากปอด ทำให้หายใจสะดวกคล่อง และหายใจทางจมูกได้สบายๆ แต่ไม่รู้ว่า หมอให้โดสยาเยอะไหม พ่นไปสักพักก็เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน ตัวชาไปทั้งตัวเลย จะเป็นลม อาการหนักกว่าเดิมอีก แต่เราไม่ได้ให้การกระทำนี้เป็นความผิดของหมอคนที่ 2 นี้ เพราะเราให้เหตุผลว่า หมอคนนี้ยังใหม่ และอาจจะยังไม่เชี่ยวชาญในการจ่ายยามากนัก และไม่รู้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงอะไร เพราะเคสแต่ละคนมีการแพ้ มีอาการ การรับยาที่แตกต่างกันหมด (ตัวเราเคยได้รับการพ่นยาในกรณีหายใจไม่ออก หายใจฝืดๆแบบนี้มาก่อน อย่างน้อยปีละครั้งละ เพราะเป็นหลอดลมอักเสบ แต่คราวนี้เราเป็นภูมิแพ้อาหารไง)
แล้วหมอคนที่ 2 ก็พาเราส่งหมอฉุกเฉิน เพราะเรามีอาการช็อค หายใจเร็วแรง และใจสั่น หน้ามืดวิงเวียน บ้านหมุนจะเป็นลม พาส่งหมอฉุกเฉินคนที่ 3 ซึ่งไม่ใช่คนเดียวกับหมอคนที่ 1 เพราะมีการเปลี่ยนเวรกันไปแล้ว ตอนนั้น ตัวชาไปทั้งตัว วิงเวียนบ้านหมุน หายใจเร็วแรงมาก หมอก็เจาะเลือด ตรวจน้ำตาล วัดระดับออกซิเจน และความดันเรื่อยๆ ให้เราพักผ่อน และก็สังเกตอาการเรา ซึ่ง หมอก็ฟังเราเล่าละเอียดยิบถึงอาการที่ผ่านมา เราค่อนข้างพอใจมาก และหมอก็ให้วิตามินบีรวม และฉีดแก้วิงเวียน 1 เข็ม
จากที่เล่ามาเนี่ยะ หมอคนที่ 2 ให้ยาแก้ปวดอักเสบซึ่งเป็นกลุ่มสเตียรอยด์ หมอคนที่ 3 ให้วิตามินบีรวม หมอคนที่ 1 ให้ยาลดอาการคัดแน่นจมูก แต่ไม่มีรายใดให้ยาพ่น มาพกติดตัวเลย ทั้งที่เราบอกหมอแต่ละคนทุกครั้งว่า ในช่วงนี้หนูกินอะไรก็แพ้อาหารตลอด แพ้อาหาร 4 รอบใน 2 วัน แต่หมอแต่ละคนก็ไม่ได้ให้ยาพ่นมาพกติดตัวไว้ ซึ่งเรามองว่า ถ้าหากเราเกิดอาการหายใจไม่ออกเพราะแพ้อาหาร เราจะทำอย่างไร เราเป็นกังวลมากที่สุด ทั้งที่ในอดีตก็เคยได้รับยาพ่นมาพกตัวตัวเอาไว้ เพราะเป็นภูมิแพ้มีอาการแนวนี้มาก่อนแล้ว แต่พอไปรักษาอีกหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ได้รับยาพ่นพกติดตัว จะไปซื้อร้านขายยาก็จำชื่อยี่ห้อที่เคยใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราอยากได้ยาอันตรายมาพกติดตัวไว้แล้วใช้จนเสี่ยงอันตราย แต่เราอยากได้ยาพ่นพกไว้ในช่วงฉุกเฉินที่ร่างกายเรามีอาการแพ้ติดต่อกันตลอดเวลา โดยปกติเรารู้สภาพตนเองว่า ถ้าแข็งแรงแล้วเราก็ไม่ต้องใช้หรอกยาพ่นขยายหลอดลมอะไรเนี่ยะ เพราะเราไม่ชอบพ่นยา แต่ในช่วงนี้เรากังวลกับอาการของตนเองที่มาแบบเฉียบพลัน ถ้าต้องนั่งฝ่ารถติดเพื่อไปฉีดยาแก้แพ้ และพ่นยา ติดๆกัน เราว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร เลย
อย่างตอนที่นั่งรถฝ่าการจราจรไปหาหมอร.พ.ลาดพร้าว เราหายใจไม่ออก เหนื่อยและลำบากมากกับการพูดแต่ละครั้ง หมอก็ไม่ให้ยาพ่นเพื่อขยายหลอดลมเราเลย เรารู้ตัวเสมอว่า เวลามีอาการแพ้ นอกจากยาแก้แพ้แล้ว สิ่งจำเป็นคือนยาพ่นขยายหลอดลม (ผลข้างเคียงคือใช้แล้วใจสั่น ซึ่งควรใช้แค่ 1 ครั้งที่มีอาการและหยุดใช้) แล้วสิ่งที่เราเจอคือ เราไม่ได้ยาพ่นในแต่แรก พอไปแพ้มามาพ่น ไม่รู้ยาพ่นโดสเยอะ หรือยังไง สุดท้ายก็ได้ผลข้างเคียงของการรับยามาอยู่ดี
เรากลัวที่สุดคือผลข้างเคียงของยา เพราะแต่ละคนมีอาการแตกต่างกัน ยิ่งกับยาพ่นด้วยแล้วการรักษาก็ต้องปลอดภัย และให้ถูกวิธีด้วย ถ้าเราได้ยาพ่นจากหมอฉุกเฉินคนที่ 1 มาแต่แรก เราค่อนข้างมั่นใจว่า เราจะอาการดีขึ้น หรือได้ยาพ่นมาพกติดตัวไว้ เราจะหายใจดีขึ้น เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ได้มีเหตุเกินเลยที่จะอยากได้ยามาดองเอาไว้เสียหน่อย แล้วการเหนียวยา หรือการไม่ให้ยาพ่นพกติดตัวไว้ป้องกันสำหรับคนที่มีปัญหาเรื้อรัง และแพ้ติดกัน 4 รอบใน 2 วันไว้สำหรับฉุกเฉินมันมีความนัยอะไรหรือไม่ เพราะการมียาพ่นติดตัวไว้ในกรณีที่เกิดเหตุเฉียบพลันบ่อยๆ ก็สมควรมีเพื่อให้การรักษาในขั้นตอนต่อไปดีขึ้น และไม่เสี่ยงต่ออันตราย (คิดดู แพ้มา 2 รอบ หายใจไม่ออกนั่งรถติดเป็นชั่วโมงเพื่อไปร.พ.ลาดพร้าวจากสุขุมวิท คิดดูว่าต้องทรมานแค่ไหน)
การรักษาของสิทธิ์ประกันสังคมในเรื่องของการจำกัดยา การรับยามันเป็นการเบียดบังคุณภาพการรักษาหรือไม่ มีความจำเป็นมากแค่ไหนที่เราต้องไปให้หมอพ่นยา หรือ ฉีดยาแก้แพ้ทุกครั้งที่มีอาการแพ้เฉียบพลัน นี่คือสิ่งที่อึดอัดใจมาตลอด สำหรับคนที่มีปัญหาโรคเรื้อรังนี้ จนทุกวันนี้เมื่อมีอาการแพ้ ก็กินแค่ยาที่หมอสั่งมา แต่ก็ไม่ได้ลดอาการแพ้อะไรมากนัก แนวทางรักษาคืออะไร สำหรับคนที่เป็นแบบเรา และทำไมนับว่า ประกันสังคมถึงไม่ให้ยาเพื่อรักษาให้เป็นไปตามมาตรฐานการรักษา จะเหนียวยาที่สมควรป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรงได้อย่างไร
หลังจากพบหมอผ่านไป 2 วันอาหารที่เราแพ้ ซึ่งเป็นอาหารที่มีทั่วไป (อย่าบอกว่าให้เราเลี่ยงของที่แพ้ เพราะเราแพ้อาหารที่ทานเป็นประจำที่ในอดีตเคยทานได้ ทั้งไอศครีม ต้มยำกุ้ง ราเมนญี่ปุ่น ตามสั่ง) และเรารับประทานอะไรไม่ได้เลย ยิ่งอาหารตามสั่งที่เคยทานได้ก็ทานไม่ได้ เพราะทานแล้วมีอาการวิงเวียน หน้ามืดตลอดเลย ก็กินยาแก้แพ้ ไป และอาการหายใจไม่ออกก็มีในระดับฝืดๆ คัดแน่นจมูกไปหมด ตอนนี้ก็กินแค่ยาแก้แพ้ แต่ไม่มียาพ่นนะ เราควรบอกหมอว่า หมอคะ หมอจะรักษาหรือหาสาเหตุให้หน่อยไหม จะส่งไปหาหมอเฉพาะทางได้ไหม หรือทุกคนคิดว่า เราควรอดทนกับปัญหาอาการแพ้อาหารของเราในทุกวันนี้ที่ผิดปกติ วันไหนหายใจไม่ออกเป็นลมค่อยหามส่งร.พ. อย่างนั้นใช่ไหม
ประเด็นใจความสำคัญที่อยากสื่อคือ
1. เราบอกหมอ 3 คนทุกรอบว่า เราแพ้ติดต่อกันใน 2 วัน ซึ่งผิดปกติมาก เพราะเราไม่เคยแพ้อาหารจนหนักแบบนี้ทั้งที่ทานประจำ (อยากถามว่าจะลองช่วยส่งไปหาหมอเฉพาะทางดูแลเป็นการละเอียดได้ไหม)
2. หมอจะรักษาอาการแพ้ของเราไปตามอาการหรือยังไง เมื่อแพ้ก็ให้ยา ฉีดยา และต้องมาพบหมอเพื่อให้สั่งจ่ายยาให้เองหรือไง
3. แนวทางหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมา หายใจไม่ออกเฉียบพลัน หายใจลำบาก ต้องหายใจทางปาก นี่ มีวิธีแก้ไขอย่างไรไหม ก่อนมาพบหมอ หรือจะรอให้หายใจไม่ออกทนลำบากแบบนี้ไปก่อน
4. ทำไมประกันสังคมถึงต้องจำกัดการรับยา และเหนียวยาในการรักษาแบบนี้ หน่วยงานใดคิดระบบการรับยาอันตรายทุก 2 เดือน สำหรับโรคเรื้อรังที่ต้องมาพบหมอประจำ หรือจำกัดการรับยาในโดสที่ไม่เพียงพอต่อการรักษาให้หายต้องมารับยาต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ ทำไมถึงทำเช่นนี้ในเมื่ออดีตประกันสังคมมีการให้ยาที่เป็นไปตามมาตรฐานการรักษาที่ดีตลอด ยาถูกไม่เคยบ่น แต่การไม่ให้ยาให้เพียงพอต่อการรักษาที่สมควร มันคือการเลี้ยงไข้ไหมอย่างไร หรือต้องรอให้เรามารักษาตัวเรื้อรังแบบนี้เรื้อยๆ
แบบว่ามันคาใจมากๆ หลายคนอาจไม่เจอปัญหาแบบนี้ก็อยากเล่าไว้เป็นอุทธาหรณ์ และอยากระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้น เราอยากให้ระบบการรักษากลับเป็นเหมือนในอดีตที่อย่างน้อยหมอทุกรายก้รักษาเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ จะหายไม่หายขึ้นอยู่กับหมอแต่ละคนเราไม่ได้ว่า แต่รักษาไม่เพียงพอ หรือเลี้ยงไข้ รึ ไม่ป้องกันเหตุอันสมควรที่อาจจะเกิด เราไม่พึงพอใจคะ
หวังว่า ก.สาธารณสุขจะลองคิดทบทวนถึงต้นทุนการรักษาของยา และจะลองนำไปคุยกันถึงระบบจำกัดยาหน่อยนะ ว่าหน่วยงานใดคิดขึ้นมาแล้วในทางวิชาชีพแล้วมันผิดเพี้ยนไปไหม รักษาเพื่อสุขภาพประชาชน หรือรักษาเพื่อเอากำไร
(เคยได้ยินข่าวลือมาว่ามีการนำเงินของประกันสังคมไปใช้กับบัตรทองทำให้กองทุนประกันสังคมไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่ายา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นจริงไหม หวังว่าจะไม่เป็นจริงเพราะเงินกองทุนประกันสังคมเราจ่ายด้วยค่าแรงของเราเองไม่ได้ขอให้รัฐจ่ายให้เลย ไม่อยากให้ประกันสังคมถูกเบียดเบียนสิทธิ ถูกเอาเปรียบไปมากกว่านี้ ทุกวันนี้คุณภาพก็ด้อยลงกว่าสิทธิอื่นอยู่แล้ว)
*** คนจ่ายเงินไม่ได้ดี คนรับของฟรีได้ดีไปทุกราย ***
ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน หากมีอะไรก็แสดงความคิดเห็นได้เลย แต่ขออย่างเดียว อย่าต่อว่าเราเพราะเราอึดอัดใจมาก รู้สึกว่า ในชีวิตไม่มีความปลอดภัยไม่มีอะไรที่คุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยได้ ป่วยไปหาหมอไม่มีเงินรักษาก็ว่าหนักแล้ว แต่ป่วยแล้วไปเสี่ยงตายก็หนักขึ้นไปอีก อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยากให้ตนเป็นเหยื่อรายใหม่ที่จะเกิดจากการรักษาผิดพลาดของหมอดังตามข่าวที่ลงหน้า 1 ทุกวันนี้นะคะ
สงสัยและอึดอัดใจ ทำไมประกันสังคมจำกัดการรับยา ไม่ให้ยาที่จำเป็น คุณภาพลดลง
เราต้องขอบอกก่อนว่า เราคือคนที่ไปใช้บริการร.พ.ประกันสังคมตามสิทธิ์ตลอดในระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา การรักษาของประกันสังคมที่ต้องเข้า OPD อย่างน้อย 1 เดือน/ครั้ง หรือ 2 เดือน/ครั้ง หรือบางทีก็ 6 เดือน/ครั้ง(ถ้าสุขภาพดี)เพราะเรามีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง และเราก็ไปหาหมอตลอดเพียงเพื่อรับยามารักษาให้หาย แต่ไม่ได้รับการดูแลให้หายขาดหรอกนะ อย่างมากก็หายไปพักหนึ่งก็กลับมาเป็นใหม่ ทีนี้ ที่เราข้องใจมากเลย คือ ในอดีตการจ่ายยาของประกันสังคมเป็นยาที่ดี และหมอสั่งจ่ายให้ในระดับที่พอเหมาะสม และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่มาบัดนี้ หมอร.พ.กับงดการจ่ายยาที่เคยได้รับ และจำกัดการเข้าถึงยาตามหมอสั่งจ่าย จากได้รับมาทานในระยะยาว ต้องมารับทุก 2 เดือน สำหรับยาอันตราย และรับทุกเดือนสำหรับยาทั่วไป
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29/9/59 เรามีอาการแพ้อาหาร หน้ามืด วิงเวียน บ้านหมุน หายใจไม่ออก เรากินยาแก้แพ้ไปอาการหน้ามืดวิงเวียนหาย แต่ยังหายใจไม่ออก ซึ่งเรายังไม่เอะใจว่าตนเองแพ้อาหารอะไร เพราะอาหารที่เราทานเข้าไปเรากินประจำ นั้นคือ ไอศครีมรสช็อคโกแลต ต่อมาเช้ามาวันที่ 30/9/59 เรากินขนมรสช็อคโกแลตเข้าไป เรามีอาการหน้ามืดวิงเวียน บ้านหมุนจะเป็นลม และหายใจไม่ออก และพาตัวเองไปร.พ.ลาดพร้าว(ขอบอกชื่อเลยเพื่ออถรรรสและสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้น ร.พ.อื่นเราไม่รู้แต่การจ่ายยาคงคล้ายๆกัน) ณ ขณะนั้น เรากินยาแก้แพ้ไปแล้ว และอาการหน้ามืดจะเป็นลมหาย แต่ที่ไม่หายคืออาการหายใจไม่ออก หายใจฝืดๆ ต้องหายใจทางปาก เพราะใช้จมูกหายใจไม่ได้ เราพาตัวเองไปหาหมอฉุกเฉินเพราะเราหายใจไม่ออก บอกหมอว่า เราทานอาหารแล้วแพ้ กินยาแก้แพ้ไปแล้ว แต่หายใจไม่ออก หมอฉุกเฉินคนที่ 1 ให้ฉีดยาแก้แพ้มาอีกรอบ และเราก็ขอให้หมอพ่นยา หรือขอยาพ่นกลับบ้าน เพราะเราหายใจไม่ออก หลอดลมตีบ รู้สึกเหมือนมีเสมหะหรืออะไรไปอุดปอดตลอดเวลา แต่หมอไม่ให้ ให้เหตุผลเราว่า อาการเรายังไม่หนัก พอที่จะพ่นยาหรือรับยาพ่น และเราได้ยามาแค่ ยาลดอาการคัดแน่นจมูก
เรารู้สึกแย่ เพราะเราหายใจลำบาก หายใจหนัก เฮือกๆ ก็แบกตัวเองขึ้นไปหาหมอประกันสังคม OPD หมอคนที่ 2 คนนี้เป็นหมอจ้างเวรมาแน่นอน เพราะยังใส่เสื้อชอร์ปขาวตราพระเกี้ยวอยู่เลย ที่พึงพอใจคือ หมอรับฟังอาการที่เล่าโดยละเอียด และให้เราพ่นยา ซึ่งเราพอใจมาก แต่ระหว่างที่กำลังรอพบหมอคนที่ 2 เราลงไปหาข้าวทาน แล้วแพ้อาหารอีกรอบ ซึ่งที่ทานคือ ต้มยำกุ้ง ก็ถ่อสังขารกลับมาหาหมอด้วยอาการ หน้ามืดวิงเวียรคล้ายจะเป็นลม และหายใจไม่ออก เช่นเดิม หมอก็รับฟังเราเล่าเรื่องละเอียดยิบมาก และให้เราพ่นยา แต่เราไม่มั่นใจว่า ให้ยาพ่นมาโดสเยอะ หรือ ยาพ่นผิดประเภทหรือเปล่าเราไม่รู้ พอเรารับยาพ่นไปในช่วงแรกๆ สัก 5 นาที อาการหายใจฝืดๆ หายทันที อาการหายใจไม่ออกหายทันที แล้วรู้สึกเหมือนมีเสมหะ หรืออะไรสักอย่างหลุดออกจากปอด ทำให้หายใจสะดวกคล่อง และหายใจทางจมูกได้สบายๆ แต่ไม่รู้ว่า หมอให้โดสยาเยอะไหม พ่นไปสักพักก็เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน ตัวชาไปทั้งตัวเลย จะเป็นลม อาการหนักกว่าเดิมอีก แต่เราไม่ได้ให้การกระทำนี้เป็นความผิดของหมอคนที่ 2 นี้ เพราะเราให้เหตุผลว่า หมอคนนี้ยังใหม่ และอาจจะยังไม่เชี่ยวชาญในการจ่ายยามากนัก และไม่รู้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงอะไร เพราะเคสแต่ละคนมีการแพ้ มีอาการ การรับยาที่แตกต่างกันหมด (ตัวเราเคยได้รับการพ่นยาในกรณีหายใจไม่ออก หายใจฝืดๆแบบนี้มาก่อน อย่างน้อยปีละครั้งละ เพราะเป็นหลอดลมอักเสบ แต่คราวนี้เราเป็นภูมิแพ้อาหารไง)
แล้วหมอคนที่ 2 ก็พาเราส่งหมอฉุกเฉิน เพราะเรามีอาการช็อค หายใจเร็วแรง และใจสั่น หน้ามืดวิงเวียน บ้านหมุนจะเป็นลม พาส่งหมอฉุกเฉินคนที่ 3 ซึ่งไม่ใช่คนเดียวกับหมอคนที่ 1 เพราะมีการเปลี่ยนเวรกันไปแล้ว ตอนนั้น ตัวชาไปทั้งตัว วิงเวียนบ้านหมุน หายใจเร็วแรงมาก หมอก็เจาะเลือด ตรวจน้ำตาล วัดระดับออกซิเจน และความดันเรื่อยๆ ให้เราพักผ่อน และก็สังเกตอาการเรา ซึ่ง หมอก็ฟังเราเล่าละเอียดยิบถึงอาการที่ผ่านมา เราค่อนข้างพอใจมาก และหมอก็ให้วิตามินบีรวม และฉีดแก้วิงเวียน 1 เข็ม
จากที่เล่ามาเนี่ยะ หมอคนที่ 2 ให้ยาแก้ปวดอักเสบซึ่งเป็นกลุ่มสเตียรอยด์ หมอคนที่ 3 ให้วิตามินบีรวม หมอคนที่ 1 ให้ยาลดอาการคัดแน่นจมูก แต่ไม่มีรายใดให้ยาพ่น มาพกติดตัวเลย ทั้งที่เราบอกหมอแต่ละคนทุกครั้งว่า ในช่วงนี้หนูกินอะไรก็แพ้อาหารตลอด แพ้อาหาร 4 รอบใน 2 วัน แต่หมอแต่ละคนก็ไม่ได้ให้ยาพ่นมาพกติดตัวไว้ ซึ่งเรามองว่า ถ้าหากเราเกิดอาการหายใจไม่ออกเพราะแพ้อาหาร เราจะทำอย่างไร เราเป็นกังวลมากที่สุด ทั้งที่ในอดีตก็เคยได้รับยาพ่นมาพกตัวตัวเอาไว้ เพราะเป็นภูมิแพ้มีอาการแนวนี้มาก่อนแล้ว แต่พอไปรักษาอีกหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ได้รับยาพ่นพกติดตัว จะไปซื้อร้านขายยาก็จำชื่อยี่ห้อที่เคยใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราอยากได้ยาอันตรายมาพกติดตัวไว้แล้วใช้จนเสี่ยงอันตราย แต่เราอยากได้ยาพ่นพกไว้ในช่วงฉุกเฉินที่ร่างกายเรามีอาการแพ้ติดต่อกันตลอดเวลา โดยปกติเรารู้สภาพตนเองว่า ถ้าแข็งแรงแล้วเราก็ไม่ต้องใช้หรอกยาพ่นขยายหลอดลมอะไรเนี่ยะ เพราะเราไม่ชอบพ่นยา แต่ในช่วงนี้เรากังวลกับอาการของตนเองที่มาแบบเฉียบพลัน ถ้าต้องนั่งฝ่ารถติดเพื่อไปฉีดยาแก้แพ้ และพ่นยา ติดๆกัน เราว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร เลย
อย่างตอนที่นั่งรถฝ่าการจราจรไปหาหมอร.พ.ลาดพร้าว เราหายใจไม่ออก เหนื่อยและลำบากมากกับการพูดแต่ละครั้ง หมอก็ไม่ให้ยาพ่นเพื่อขยายหลอดลมเราเลย เรารู้ตัวเสมอว่า เวลามีอาการแพ้ นอกจากยาแก้แพ้แล้ว สิ่งจำเป็นคือนยาพ่นขยายหลอดลม (ผลข้างเคียงคือใช้แล้วใจสั่น ซึ่งควรใช้แค่ 1 ครั้งที่มีอาการและหยุดใช้) แล้วสิ่งที่เราเจอคือ เราไม่ได้ยาพ่นในแต่แรก พอไปแพ้มามาพ่น ไม่รู้ยาพ่นโดสเยอะ หรือยังไง สุดท้ายก็ได้ผลข้างเคียงของการรับยามาอยู่ดี
เรากลัวที่สุดคือผลข้างเคียงของยา เพราะแต่ละคนมีอาการแตกต่างกัน ยิ่งกับยาพ่นด้วยแล้วการรักษาก็ต้องปลอดภัย และให้ถูกวิธีด้วย ถ้าเราได้ยาพ่นจากหมอฉุกเฉินคนที่ 1 มาแต่แรก เราค่อนข้างมั่นใจว่า เราจะอาการดีขึ้น หรือได้ยาพ่นมาพกติดตัวไว้ เราจะหายใจดีขึ้น เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ได้มีเหตุเกินเลยที่จะอยากได้ยามาดองเอาไว้เสียหน่อย แล้วการเหนียวยา หรือการไม่ให้ยาพ่นพกติดตัวไว้ป้องกันสำหรับคนที่มีปัญหาเรื้อรัง และแพ้ติดกัน 4 รอบใน 2 วันไว้สำหรับฉุกเฉินมันมีความนัยอะไรหรือไม่ เพราะการมียาพ่นติดตัวไว้ในกรณีที่เกิดเหตุเฉียบพลันบ่อยๆ ก็สมควรมีเพื่อให้การรักษาในขั้นตอนต่อไปดีขึ้น และไม่เสี่ยงต่ออันตราย (คิดดู แพ้มา 2 รอบ หายใจไม่ออกนั่งรถติดเป็นชั่วโมงเพื่อไปร.พ.ลาดพร้าวจากสุขุมวิท คิดดูว่าต้องทรมานแค่ไหน)
การรักษาของสิทธิ์ประกันสังคมในเรื่องของการจำกัดยา การรับยามันเป็นการเบียดบังคุณภาพการรักษาหรือไม่ มีความจำเป็นมากแค่ไหนที่เราต้องไปให้หมอพ่นยา หรือ ฉีดยาแก้แพ้ทุกครั้งที่มีอาการแพ้เฉียบพลัน นี่คือสิ่งที่อึดอัดใจมาตลอด สำหรับคนที่มีปัญหาโรคเรื้อรังนี้ จนทุกวันนี้เมื่อมีอาการแพ้ ก็กินแค่ยาที่หมอสั่งมา แต่ก็ไม่ได้ลดอาการแพ้อะไรมากนัก แนวทางรักษาคืออะไร สำหรับคนที่เป็นแบบเรา และทำไมนับว่า ประกันสังคมถึงไม่ให้ยาเพื่อรักษาให้เป็นไปตามมาตรฐานการรักษา จะเหนียวยาที่สมควรป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรงได้อย่างไร
หลังจากพบหมอผ่านไป 2 วันอาหารที่เราแพ้ ซึ่งเป็นอาหารที่มีทั่วไป (อย่าบอกว่าให้เราเลี่ยงของที่แพ้ เพราะเราแพ้อาหารที่ทานเป็นประจำที่ในอดีตเคยทานได้ ทั้งไอศครีม ต้มยำกุ้ง ราเมนญี่ปุ่น ตามสั่ง) และเรารับประทานอะไรไม่ได้เลย ยิ่งอาหารตามสั่งที่เคยทานได้ก็ทานไม่ได้ เพราะทานแล้วมีอาการวิงเวียน หน้ามืดตลอดเลย ก็กินยาแก้แพ้ ไป และอาการหายใจไม่ออกก็มีในระดับฝืดๆ คัดแน่นจมูกไปหมด ตอนนี้ก็กินแค่ยาแก้แพ้ แต่ไม่มียาพ่นนะ เราควรบอกหมอว่า หมอคะ หมอจะรักษาหรือหาสาเหตุให้หน่อยไหม จะส่งไปหาหมอเฉพาะทางได้ไหม หรือทุกคนคิดว่า เราควรอดทนกับปัญหาอาการแพ้อาหารของเราในทุกวันนี้ที่ผิดปกติ วันไหนหายใจไม่ออกเป็นลมค่อยหามส่งร.พ. อย่างนั้นใช่ไหม
ประเด็นใจความสำคัญที่อยากสื่อคือ
1. เราบอกหมอ 3 คนทุกรอบว่า เราแพ้ติดต่อกันใน 2 วัน ซึ่งผิดปกติมาก เพราะเราไม่เคยแพ้อาหารจนหนักแบบนี้ทั้งที่ทานประจำ (อยากถามว่าจะลองช่วยส่งไปหาหมอเฉพาะทางดูแลเป็นการละเอียดได้ไหม)
2. หมอจะรักษาอาการแพ้ของเราไปตามอาการหรือยังไง เมื่อแพ้ก็ให้ยา ฉีดยา และต้องมาพบหมอเพื่อให้สั่งจ่ายยาให้เองหรือไง
3. แนวทางหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมา หายใจไม่ออกเฉียบพลัน หายใจลำบาก ต้องหายใจทางปาก นี่ มีวิธีแก้ไขอย่างไรไหม ก่อนมาพบหมอ หรือจะรอให้หายใจไม่ออกทนลำบากแบบนี้ไปก่อน
4. ทำไมประกันสังคมถึงต้องจำกัดการรับยา และเหนียวยาในการรักษาแบบนี้ หน่วยงานใดคิดระบบการรับยาอันตรายทุก 2 เดือน สำหรับโรคเรื้อรังที่ต้องมาพบหมอประจำ หรือจำกัดการรับยาในโดสที่ไม่เพียงพอต่อการรักษาให้หายต้องมารับยาต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ ทำไมถึงทำเช่นนี้ในเมื่ออดีตประกันสังคมมีการให้ยาที่เป็นไปตามมาตรฐานการรักษาที่ดีตลอด ยาถูกไม่เคยบ่น แต่การไม่ให้ยาให้เพียงพอต่อการรักษาที่สมควร มันคือการเลี้ยงไข้ไหมอย่างไร หรือต้องรอให้เรามารักษาตัวเรื้อรังแบบนี้เรื้อยๆ
แบบว่ามันคาใจมากๆ หลายคนอาจไม่เจอปัญหาแบบนี้ก็อยากเล่าไว้เป็นอุทธาหรณ์ และอยากระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้น เราอยากให้ระบบการรักษากลับเป็นเหมือนในอดีตที่อย่างน้อยหมอทุกรายก้รักษาเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ จะหายไม่หายขึ้นอยู่กับหมอแต่ละคนเราไม่ได้ว่า แต่รักษาไม่เพียงพอ หรือเลี้ยงไข้ รึ ไม่ป้องกันเหตุอันสมควรที่อาจจะเกิด เราไม่พึงพอใจคะ
หวังว่า ก.สาธารณสุขจะลองคิดทบทวนถึงต้นทุนการรักษาของยา และจะลองนำไปคุยกันถึงระบบจำกัดยาหน่อยนะ ว่าหน่วยงานใดคิดขึ้นมาแล้วในทางวิชาชีพแล้วมันผิดเพี้ยนไปไหม รักษาเพื่อสุขภาพประชาชน หรือรักษาเพื่อเอากำไร
(เคยได้ยินข่าวลือมาว่ามีการนำเงินของประกันสังคมไปใช้กับบัตรทองทำให้กองทุนประกันสังคมไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่ายา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นจริงไหม หวังว่าจะไม่เป็นจริงเพราะเงินกองทุนประกันสังคมเราจ่ายด้วยค่าแรงของเราเองไม่ได้ขอให้รัฐจ่ายให้เลย ไม่อยากให้ประกันสังคมถูกเบียดเบียนสิทธิ ถูกเอาเปรียบไปมากกว่านี้ ทุกวันนี้คุณภาพก็ด้อยลงกว่าสิทธิอื่นอยู่แล้ว)
*** คนจ่ายเงินไม่ได้ดี คนรับของฟรีได้ดีไปทุกราย ***
ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน หากมีอะไรก็แสดงความคิดเห็นได้เลย แต่ขออย่างเดียว อย่าต่อว่าเราเพราะเราอึดอัดใจมาก รู้สึกว่า ในชีวิตไม่มีความปลอดภัยไม่มีอะไรที่คุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยได้ ป่วยไปหาหมอไม่มีเงินรักษาก็ว่าหนักแล้ว แต่ป่วยแล้วไปเสี่ยงตายก็หนักขึ้นไปอีก อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยากให้ตนเป็นเหยื่อรายใหม่ที่จะเกิดจากการรักษาผิดพลาดของหมอดังตามข่าวที่ลงหน้า 1 ทุกวันนี้นะคะ