เคยรู้สึกอยากแต่งงาน..แต่พอจะได้แต่งจริงๆเริ่มไม่แน่ใจแล้วบ้างไหมคะTT

..ขอคำปรึกษาทุกๆคนด้วยค่ะ..
เรื่องก็คือเรากับแฟนคบกันมา 3 ปี ก่อนหน้านี้เราก็อยากให้เขามาขอเรากับพ่อแม่ให้เป็นทางการเสียที เพราะทั้งเราและเขาก็อายุไม่ใช่น้อยๆกันแล้ว
จนวันนึงทางบ้านเขาก็มาสู่ขอเราเป็นเรื่องเป็นราวค่ะ..ทางบ้านเราก็ดีใจที่เขาทำถูกต้องตามธรรมเนียมค่ะ
เราเองก็ดีใจนะ แต่อีกใจมันก็ไม่แน่ใจเลยค่ะ..ยิ่งนานวันก็ยิ่งต้องถามตัวเองซ้ำๆ ว่าเราจะไปกันรอดจริงๆหรอ..
# เพราะนิสัยเราต่างกันทุกอย่างเลยค่ะ # เราขอยกตัวอย่างเป็นข้อๆนะคะ
   1. แฟนเราใจร้อน ขี้โวยวาย หงุดหงิดง่าย  อารมณ์ร้อนมากๆ..แต่เราใจเย็น ไม่ชอบมีเรื่องมีราวกับใคร ถ้าเลี่ยงได้หรือยอมได้เราก็จะยอมตลอด เพราะเราคิดว่าหากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันมันก็จะทำให้เรื่องราวมันบานปลายค่ะ..แต่ในขณะที่แฟนเราไม่ยอมใคร แตกเป็นแตก หักเป็นหัก คือสมัยเรียนเขาค่อนข้างเป็นนักเลงค่ะ ยกพวกตีกันอะไรประมาณนั้นค่ะ..ยิ่งการรอคิวหรือรอคอยอะไรนานหน่อย เขาก็จะต้องแสดงอาการไม่พอใจ และบ่นเสียงดังตลอด มีครั้งนึงพาเขาไปหาหมอคลินิคแถวบ้าน พอดีคนเยอะมาก แล้วเครื่องปริ้นใบสั่งยาเสียพอดี เลยทำให้ล่าช้า แฟนหงุดหงิดมากบ่นตลอดเวลา จนพยาบาลมองหน้าหลายรอบค่ะ เราก็พยายามว่าให้เขาใจเย็นๆบ้าง คนอื่นเขาก็รอเหมือนกัน แต่แฟนก็ยังไม่เลิกแสดงท่าทางหงุดหงิด เราเลยนิ่งไม่คุยด้วย ปล่อยให้เขาบ่นไปคนเดียว สักพักก็เงียบไปเอง..และพอหาหมอเสร็จ ต้องรอรับยาเราเลยไล่ให้กลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวเรารอยาเอง เพราะรำคาญที่นั่งบ่นอยู่นั่นแหละ..# กลับมาเราเลยว่าเขาไปยกใหญ่และบอกว่าถ้าจะเป็นแบบนี้อีก คราวหน้าเราจะไม่ไปด้วยแล้ว เพราะเราอายคนอื่นเขา และอีกเรื่องคือ เวลาขับรถแฟนจะบ่นทุกอย่างบนท้องถนน ทั้งรถติด จักรยานปั่นเต็มถนน คนหัดขับรถอยู่ข้างหน้า รถซาเล้งขับไปหลบ มอไซด์ขี่อยู่ข้างหน้า ขับช้า แซงไม่ได้...และอีกอื่นๆอีกมากมายที่จะหามาบ่นขณะขับรถ..ซึ่งเรามักจะว่าเขาประจำ และทำให้ทะเลาะกันบ่อยมาก เวลาออกไปไหนด้วยกันค่ะ
   2. แฟนเราไม่ชอบเข้าวัดเลย ( ไม่ชอบเลยจริงๆค่ะ) แต่เราชอบมาก เราชอบไปเที่ยวตามวัดต่างๆ ไหว้พระ ปิดทอง ถวายสังฆทาน บางครั้งไปคนเดียวก็จะไปนั่งสมาธิค่ะ
แต่แฟนจะค่อนข้างมีอคติกับพระสงฆ์สมัยนี้ โดยเฉพาะเวลาดูข่าว พระที่ทำผิดวินัยสงฆ์ เลยทำให้แฟนไม่ชอบเข้าวัด ทำบุญ หรือแม้กระทั่งใส่บาตรพระ เขามักจะพูดกับเราว่า การทำบุญไม่จำเป็นต้องทำที่วัดหรือต้องทำกับพระสงฆ์ เพราะพระสมัยนี้ไม่น่านับถือ..ซึ่งเราก็พยายามพูดว่า อย่าเหมารวมหมดสิ เพราะพระดีๆก็ยังมี ที่สำคัญการทำบุญคือการทำแล้วเราสบายใจ ใจเราเป็นสุข ไม่ได้เดือดร้อนแค่นั้นก็เป็นบุญแล้ว ถ้าเราใส่บาตรไปแล้วปรากฏว่าพระรูปนั้น ไม่ใช่พระจริง เอาของที่เราใส่ด้วยความบริสุทธิ์ใจไปทำอย่างอื่น เขาก็จะได้รับกรรมเอง..แต่แฟนก็ไม่ฟังค่ะ ก็ยืนยันว่าไม่ทำอยู่ดี..เราเลยตัดปัญหาคือ ไม่ชวนเขาเข้าวัดอีกเลย ถ้าเราจะไปก็จะไปกับพ่อแม่ของเราค่ะ
   3. แฟนเรารีบทุกอย่างค่ะ เช่นไปเที่ยวหรือไปซื้อของที่ห้าง เขาก็จะรีบไปรีบกลับ ไปซื้อของก็จะซื้ออะไร ก็จะเดินไปแค่ตรงนั้น หยิบมา จ่ายเงิน เสร็จ..ไม่เคยเดินดูของอื่นๆเลย อย่างมากก็แค่ถามเรานิดหน่อยว่าจะซื้ออะไรอีกไหม ถ้าเราบอกไม่ คือเขาก็จะเดินไปช่องจ่ายเงินทันที...บางครั้งเราก็ว่าเขานะคะ ว่าจะไม่คิดเดินดูอย่างอีนเลยหรอ ขับรถมาตั้งไกล ซื้อของไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสร็จ..ถ้าครั้งไหนเราบ่นก็จะเดินดูบ้างค่ะ..แต่ส่วนใหญ่ถึงเดินก็ไม่เกิน 15 นาที...ไปเที่ยวก็เดินฉับๆอยู่คนเดียว นำหน้าริ่วๆ ไม่เคยจะเดินจูงมือ หรือเดินคู่กันไปเรื่อยๆแบบคู่อื่นเลยค่ะ บางทีเราเบื่อๆก็แกล้งหยุดดูนั่นดูนี่ โดยไม่เรียกเขา อยากรู้ว่าจะหันมามองเราไหม..แต่พอหันมาเขาก็จะเดินย้อนมาหาเราเองค่ะ..ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ตลอดค่ะ เพราะเขาเป็นคนเดินไว แต่เราเดินช้า
   4. แฟนเราพูดไม่เพราะเลย ออกแนวด่าเลยค่ะ แต่เขาไม่เคยด่าเรานะ...เพียงแต่ชอบใช้คำด่าสอดแทรกเข้ามาในประโยคลงท้าย หรือเริ่มต้น เวลาพูดหรือเล่าอะไรให้ฟังค่ะ เช่น เ_ี้ย / _ัตว์ ..อะไรประมาณนี้ค่ะ..ซึ่งเราเป็นคนไม่ด่าเลยค่ะ เราไม่ชอบด่าใครและไม่ชอบให้ใครด่าด้วย..เคยทะเลาะกับแฟนหลายครั้งเรื่องนี้ แต่เขาก็จะกลับมาพูดเหมือนเดิมตลอด แบบว่าเขาคงเคยปากไปแล้วค่ะ...เราก็ได้แต่พยายามทำใจยอมรับ ว่าเขาคงเปลี่ยนไม่ได้เราคงต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นให้ได้เอง...เพียงแต่จะบอกว่าเขาตลอดว่าห้ามมาหลุดพูดต่อหน้าพ่อแม่เราแล้วกัน
   5. แฟนเราใช้เงินฟุ้มเฟือยมากค่ะ ยิ่งมีมากยิ่งใช้มาก...แต่เราประหยัดสุดๆ จนพ่อแม่ต้องบอกเราว่าให้ไปหาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ใหม่ๆใส่บ้าง เพราะเห็นเราใส่ไปทำงานก็ซ้ำไปซ้ำมาเป็นปี สองปีก็ไม่ยอมซื้อชุดสวยๆแบบคนอื่นใส่บ้าง...พ่อจะชอบบอกเราประจำเลยค่ะ เราก็ได้แต่บอกว่ายังดีกว่า ขี้เกียจออกไปหาซื้อ อะไรประมาณนั้นค่ะ..ส่วนแฟนเราก็ชอบหมดเงินไปกับเรื่องกิน ทั้งๆที่ทำงานใกล้บ้านกว่าเราแต่ใช้เงินพอๆกับเราที่ต้องขึ้นรถประจำทางไปทำงานอีกค่ะ เราเสียทั้งค่ารถ ค่ากินข้าวกลางวันค่ะ แต่ะขาเสียเเค่ค่ากิน ซึ่งไม่รู้ว่ากินอะไรมากมายขนาดนั้น...พอถามหรือว่าเขามากๆเข้า เขาก็จะบอกว่า ทีหลังก็จ่ายวันละ 20 บาทเลยสิ..หรือไม่ก็บอกว่าเขาก็ต้องอยากกินขนมกินน้ำบ้างปะ...ซึ่งขณะที่เราจะตั้งเป้าการใช้เงินในทุกวันค่ะ และจะไม่ใช้เกินนี้ นอกจากบางวันจะมีซื้อขนมเข้ามากินที่บ้านตอนเย็นบ้าง
   6.แฟนไม่เคยมีมุมหวานๆ หรือเซอร์ไพร์อะไรเลยสักครั้ง ในขณะที่เรามักทำโน่นทำนี่ให้เวลาถึงวันสำคัญ แต่เขามักว่าเราไร้สาระ ส่วนเขาแม้แต่ของขวัญสักชิ้น หรือกุหลาบสักดอก เรายังต้องงอลก่อนถึงจะได้มาค่ะ
   7.แฟนเราคุยเก่ง พูดมาก อวดฉลาดทุกเรื่อง จนบางครั้งแม่เราก็ไม่ค่อยพอใจกับคำพูดแฟนเท่าไรนักค่ะ...แต่เราพูดน้อย เวลาคุยกับคนอื่นบางเรื่องก็รู้แหละแต่ทำเป็นไม่รู้ เพื่อให้อีกคนได้พูดไป..ประมาณว่าเราไม่อยากหักหน้าคนที่กำลังพูดน่ะค่ะ..ส่วนใหญ่เราจะเป็นผู้ฟังมากกว่า บางทีก็จะชอบมีคนมาเล่าปัญหาให้เราฟัง แบบระบายความทุกข์และขอคำปรึกษาอะไรประมาณนั้นค่ะ
   8. ฐานะทางบ้านแฟนจะค่อนข้างแย่กว่าเราค่ะ เราอยู่กรุงเทพ ส่วนแฟนอยู่ต่างจังหวัด..เวลาว่าอะไรเขามากๆ เขาก็จะชอบตัดพ้อว่าก็เขามันคนบ้านนอกบ้างล่ะ..ก็เขามันจนบ้างล่ะ..ก็เขาไม่เคยกินบ้างล่ะ..อะไรแบบนี้เสมอค่ะ
มันเลยทำให้เราไม่อยากจะว่าอะไรเขามากเกินไป กลัวจะเป็นการซ้ำเติม หรือรังเกียจที่เขาจนน่ะค่ะ  แต่จริงๆแล้วเราไม่เคยคิดรังเกียจหรือซ้ำเติมเขาเลยสักครั้งนะ ถึงแม้ทางบ้านเราตอนแรกจะไม่เห็นด้วยที่เราคบกัน แต่เราก็พยายามฟันฝ่ากันมาได้ ...จนใกล้ที่จะได้แต่งงานและอยู่ด้วยกันจริงๆ..

แต่เรารู้สึกว่าเราสับสนค่ะ ยิ่งใกล้วันแต่งงานเรายิ่งสับสน ไม่รู้ว่าเลือกคนถูกไหม..เคยมีคนบอกเราว่า รักกันก็ต้องยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นให้ได้ คนเรามีข้อเสียแต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะรับข้อเสียของเขาได้ไหม..เราก็คิดว่า..อืมมม..ในเมื่อรักเขา เราก็ยอมมองข้ามข้อเสีย มองข้อดีของเขาแล้วกัน...แต่ ก็ยิ่งทำให้อึดอัดค่ะ เหมือนเรากำลังพยายามทำให้ยอมรับได้แต่จริงๆทำไม่ได้..ทุกวันนี้แค่ขึ้นรถเขา เราก็อึดอัดแบบพูดไม่ถูกแล้วค่ะ..เวลาไปไหนด้วยกันมันไม่สนุกเลย ผิดกับการไปคนเดียว หรือไปกับครอบครัวเราเลยค่ะ...เรารู้สึกว่าเวลาอยู่กับเขา เราไม่มีความสุข...มันเกร็งๆ อึดอัด...ทำไมถึงเป็นแบบนี้คะ??
# หรือความรู้สึกแบบนี้ มันคือ ไม่ได้รักกันแล้วหรือเปล่า # เราเองก็ไม่เคยมีแฟนเลย คนนี้เป็นคนแรก..และคิดว่าจะเป็นคนสุดท้าย เพราะเราก็จะ 30 แล้ว เลยอยากสร้างครอบครัวจริงจังสักที...แต่มันก็เริ่มไม่เเน่ใจ จนบางครั้งอยากยกเลิกงานแต่งไปเลย...แต่ติดที่ทางผู้ใหญ่รู้เรื่องและเตรียมตัวกันแล้ว...และเราก็คิดไปต่างๆนาๆ ว่าถ้าเราเลิกกับเขา ชีวิตเขาคงกลับไปตกต่ำเหมือนเดิม เพราะเขาไม่มีใคร ต่อสู้ชีวิตเองมาตลอด พ่อแม่ก็เสียหมดแล้ว พี่น้องก็แยกไปมีครอบครัวกันหมด...เหมือนเราเป็นคนยื่นมือช่วยเขาในทุกเรื่องของชีวิตมาตลอด 3 ปีเต็มที่คบกันมา...เขาเคยพูดว่าถ้าไม่มีเราช่วยเขาไว้ ป่านนี้เขาคงไม่รู้จะอยู่มาได้แบบทุกวันนี้ไหม...เขามักพูดว่าเรามีบุญคุณ...ซึ่งมันยิ่งทำให้คิดว่าตกลงเราสองคนรักกันมาตั้งแต่ต้นไหมนะ หรือที่คบกันมาจนทุกวันนี้เพราะเราสงสารเขา...และเขาก็คิดว่าเรามีบุญคุณเลยต้องตอบแทนหรอ...

เพราะการกระทำบางครั้งมันทำให้เราคิดว่า เราเหมือนแฟนกันจริงๆหรอ...ยิ่งคบยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจกันสักเรื่อง...
ยิ่งคบยิ่งไม่สนิทใจ แต่เวลาเขากลับไป เราอยู่บ้านกับพ่อแม่ กลับสบายใจมากกว่าซะงั้น...
โอ๊ยยย ปวดหัวค่ะ..จะทำไงดี งานแต่งก็ใกล้เข้ามาแล้ว..

บางทีก็คิดว่าแล้วแต่ชะตาลิขิตค่ะ ถ้าแต่งไปแลัว แต่ไปกันไม่รอดจริงๆ ก็เลิกกันไป...
หรือใครมีคำแนะนำอะไรบ้างไหมคะ..หรือคู่ของใครเป็นแบบเราบ้าง คุณปรับกันยังไง หรือแก้ไขยังไงให้ชีวิตคู่ราบรื่นคะ
# ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ #
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
โดยรวมทั้งหมด
ให้คำจำกัดความได้วลีเดียว
ศีลไม่เสมอกันค่ะ
ความคิดเห็นที่ 23
แฟนเราคล้ายๆคุณในหลายๆอย่าง แต่สิ่งนึงคือ 3 ปีคุณผ่านมายังไง แล้วตอนแรกทำไมอยากให้เค้ามาขอแต่งละคะ
ลองทบทวนนะ ไม่ว่าแฟนคุณจะนิสัยคุณก็รับได้มา 3 ปีแล้ว ประเด็นคือแฟนคุณเปลี่ยนไปมั้ย ถ้าแฟนคุรไม่ได้เปลี่ยนคุณนะแหละเปลี่ยนไป
เรื่องแบบนี้ถ้ามาถามในนี้ หลายคนคงเชียร์ให้เลิกมั้ง แต่เค้าไม่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมากับคุณ

จะแต่งงานกันเรื่องแบบนี้ต้องเปิดอกคุยกันนะ มาคิดคนเดียวงอนคนเดียวไม่ได้
แฟนเราก็ไม่เข้าวัดนะ คิดแบบแฟนคุณเลย แต่แฟนเราก็คิดว่าคนเรา ทำตัวเองให้ดีไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอแล้ว
เราจะไปบังคับให้เค้ากราบไหว้ในสิ่งที่เค้าไม่นับถือมันก็ไม่ได้ คนมันไม่มีศรัทธา
ขอแค่อยู่ด้วยกัน เป็นคนดี พึ่งพาตัวเองไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอแล้ว ถ้ามือถือสาก ปากถือศีล มันดีกว่าจริงๆหรอ

ส่วนเรื่องใจร้อน แฟนเราโคตรใจร้อน ร้อน หิว เหนื่อย คุณพี่อารมณ์เสียได้หมด
ส่วนใหญ่เราจะเงียบ ไม่ตอบโต้ไม่พูดให้ทะเลาะกัน บางทีแฟนเราอารมณ์เสีย เราเดินไปเปิดแอร์แล้วก็ไม่พูดอะไร 5555
สักพักเด๋วก็อารมณ์เย็น แฟนตะคอกใส่หน้าก็เคย เราเงียบ แฟนบอกมีปัญหาไรพูดมาเลย
เราจับจูบเลย แล้วก็เงียบ สงบ 555555 คือของแบบเนี่ยมันมีวิธีจัดการนะ ร้อนกับเย็นอยู่กันได้
เพราะที่ผ่านมาแฟนเราก็มีมุมน่ารักๆ

ส่วนเรื่องเงินมันแล้วแต่ความชอบจะไปว่าเค้าฟุ่มเฟือยไม่ได้ ดูการจัดการของเค้าก่อน
ถ้าเค้ามีเงินเก็บ มีเงินสำรอง ไม่เป็นหนี้ก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือใครจะใช้อะไรก็ของคนนั้น
แฟนเราก็ฟุ่มเฟือยนะ เพราะเงินเค้าเค้ากันไว้เก็บส่วนเก็บ ใช้ส่วนใช้ ใช้ไม่หมดก็ต้องให้หมด
เค้าคิดเสมอว่าถ้ามัวมาอด จะตบะแตก และคนเราต้องให้รางวัลตัวเองที่เหนื่อยยาก
ดังนั้นเราไม่เคยว่าเค้าเลย ที่บ้านนี่รองเท้า กระเป๋าเยอะมากๆ แต่เอาเป็นว่าทุกครั้งที่เค้าซื้อ
เราก็จะคอยดูว่าอันนี้แพงไปมั้ย สีไม่สวย ไม่เหมาะ แค่นี้ แต่ไม่เคยห้าม บางคนชอบจ่ายกับของกิน
บางคนชอบจ่ายกับกระเป๋า บางคนจ่ายกับการลงทุน หรือไปเที่ยว ซึ่งก็ไม่มีใครผิด แค่ความชอบ
การที่คุณชอบเก็บจะไปตัดสินว่าเค้าฟุ่มเฟือยไม่ได้ เพราะคุณสุขที่เก็บ เค้าสุขที่กิน
ให้ดูที่ผลลัพธ์ ถ้ามีเงินเก็บสำรอง ไม่เป็นหนี้ ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนเรื่องขับรถ เราใจเย็น แต่เราก็ด่าตลอดทาง 55555 แฟนเราไม่ขับ
ส่วนเรื่องซื้อของเดินไวหรือช้า เรารู้กัน แยกกันเดิน ไม่ก็เรารอหน้าร้าน แฟนรอหน้าร้าน ผลัดกัน
ส่วนเรื่องพูดหยาบ แฟนเราก็มีบ้างเวลาโมโห แต่เราก็พูดดีๆของเราไปนะแหละ ค่อยๆปรับกันไป

เรากับแฟน 8 ปีแล้วคนนี้คนแรกด้วย ที่ผ่านมาแฟนเราปรับไม่มาก  แต่ขอให้เค้าเหมือนเดิม
ไม่เคยมีเรื่องมือที่ 3 มากวนใจ เราก็ค่อยๆปรับๆจูนๆกันไป แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องคุยกับเค้า
เปิดอกคุยกัน ตอนอารมณ์ดีๆ อากาศดีๆ ท้องอิ่มๆ ปรับทัศนะคติต่อกัน อะไรใครปรับได้หรือไม่ได้
หรืออะไรที่มาเจอกันตรงกลาง โดยที่ไม่ก้าวล้ำกันมากเกินไป ไม่เจ้ากี้เจ้าการเกินไป
ไม่เอาความคิดส่วนตัวไปตัดสินว่าเค้าต้องทำแบบนี้แบบนั้น แต่คุยกันว่าเค้ามีเหตุผลอะไร
ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็ปรับนะ คนละครึ่ง เรื่องบางเรื่องทัศนะคติไม่ตรงกัน คุยไปแล้วจะทะเลาะ
เราพูดเลย จบนะเรื่องนี้ไม่คุยแล้ว เพราะไม่อยากทะเลาะกัน ความเชื่อของใครของมัน
มันก็อยู่กันมาได้

ตอนนี้คุณกำลังสับสน เพราะเริ่มที่จากผูกมัด จากข้อเสียที่เคยมองข้าม มันเริ่มถาโถม
จากตอนแรกที่คบกันมา 3 ปีข้อที่ไม่ดีของเค้า ข้อที่ไม่ดีของเรา เคยเปิดอกคุยกันมั้ย
เวลาไม่พอใจอะไร เคยพูดไปตรงๆมั้ย หรืองอนโดยไม่มีสาเหตุ เวลาทะเลาะกัน เคยเอ่ยปากขอโทษก่อนมั้ย
โดยไม่สนใจว่าใครจะผิด สิ่งเหล่านี้สำคัญมากที่จะต้องคุยกันให้เคลียร์ หรือแม้กระทั่งเรื่องบนเตียง
ถ้าคุณคุยแล้ว คุยด้วยเหตุผลที่เป็นกลาง ไม่เอาความคิดตัวเองไปตัดสิน แล้วมันไม่โอเคก็ยกเลิกงานแต่งไปสะ
แต่ถ้ายังไม่เคยคุย ไม่เคยเปิดใจ แนะนำให้ลองคุยกันก่อน

แฟนเราเคยถามหลังจากเปิดอกคุยกัน(ทำบ่อยนะ คุยกันเรื่อยๆ) ถามว่าเค้าไม่ดีหลายอย่าง ไม่ perfect แล้วอยู่กับเค้าทำไม
เราบอกเค้าว่า เราเองก็ไม่ perfect แต่ของเสียของเค้าเรารับได้ ข้อเสียของเราเค้ารับได้ก็เพียงพอแล้วนี่
ต่อให้เลิกกับเค้าไป มันก็ไม่มีใคร perfect เพราะในโลกนี้ไม่มีคนที่ perfect แค่มีคนที่พอดีสำหรับใคร ก็แค่นั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่