
วันนี้มากันในย่านที่รถพลุกพล่านหน่อย แต่พอเลี้ยวเข้าซอยมาเจอร้านอาหารที่ตกแต่งร้านดูสวย ๆ แบบนี้ก็นึกว่าอยู่คนละโลกเลย ร้านที่ว่านี้ชื่อว่าร้าน The Clock Out Café & Casual Cuisine ขอเรียกสั้น ๆ ว่า The Clock Out ซึ่งอยู่ระแวกถนนกรุงธนบุรี ซอยจะอยู่ใกล้ ๆ กับ BTS วงเวียนใหญ่
แน่นอนว่าช่วงหลังเลิกงานไม่ว่าจะวันศุกร์หรือวันธรรมดาอื่น ๆ คงมีหลายคนอยากหาร้านไว้นั่งกินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน หรือกลุ่มเพื่อน ๆ เพื่อพูดคุยเม้าท์มอยกัน เป็นเรื่องปกติ ซึ่งลักษณะร้านที่คิดออกในหัวก็คงจะต้องเป็นร้านที่ไม่วุ่นวาย มีโต๊ะเก้าอี้หรือมีมุมที่จะทำให้เราเม้าท์มอยกันได้อย่างสนุกสนาน อาหารต้องอร่อย เครื่องดื่มต้องเลิศ และต้องมีของหวานด้วย ซึ่งที่พูดมาผมว่าที่ The Clock Out ก็เป็นอะไรที่เข้าข่าย จะน่าสนใจยังไงเราลองไปดูกัน
ร้าน The Clock Out เป็นร้านสไตล์คาเฟ่ ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ร้านไม่ใหญ่มากนัก แต่ผมว่าเค้าตกแต่งบรรยากาศภายในร้านได้สวยดีนะ มีความกลมกลืนในเรื่องของความทันสมัยและความเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะเห็นได้จากการตกแต่งร้านแบบ Log house มีโต๊ะและเก้าอี้ไม้หุ้มเบาะสีน้ำเงินเข้ม รวมถึงโซฟายาว ๆ ดูอบอุ่น รองรับลูกค้าได้ราว 45 ที่นั่ง
มีผนังที่เอาหน้าตัดของไม้มาเรียงโชว์กันทั้งแผง และก็มีการแซมด้วยสีเขียวของความเป็นธรรมชาติอยู่ตรงหิ้งด้านบนตรงกลางร้าน กับผนังด้านข้างอยู่ด้วย เรียกได้ว่าเรื่องบรรยากาศสำหรับการนั่งกินข้าว พูดคุย พักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงาน ได้คะแนนเต็มไปเลยครับ ร้านเปิด 2 ช่วง คือ 9.00-14.00 และ 17.00-23.00 น. ครับ
เรื่องอาหารที่เสิร์ฟ ของที่ The Clock Out ก็จะเป็นอาหารแนวตะวันตก อาจจะมีต้นแบบจากทั้งทางอิตาลี อะมริกา ปน ๆ กัน ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้นอาจจะยังมีเมนูไม่เยอะมากนัก แต่เป็นเมนูที่เข้าใจง่าย และนอกเหนือจากเมนูของคาวแล้วก็ยังมีเครื่องดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และของหวาน ราคาอาหารของที่นี่จะ +10% ค่า service charge แต่ไม่มี +Vat 7% ครับ เมนูของ The Clock Out จะเป็นอย่างไรบ้างไปดูกันครับ
ซุปครีมเห็ด – 95+ บาท (แนะนำให้ลอง)

ตัวซุปมีความข้นกำลังดีจากการนำเนื้อเห็ดแชมปริยองมาปั่นกับครีม รสชาติและกลิ่นใช้ได้เลย ได้ความหวานอ่อน ๆ ของเห็ด และกลิ่นที่ได้จากการหยด Truffle oil ลงไปเล็กน้อย รสชาติไม่จัดมาก ออกแนวนุ่มละมุนมากกว่า เพราะว่าก่อนเสิร์ฟเค้าจะมีการตีฟองครีมด้วยไอน้ำ(คล้ายการทำคาปูชิโน่)ราดลงไปด้านบน ทำให้กลิ่นอบอวลอยู่ในปากได้อย่างดี

ชีสบอล – 95+ บาท (แนะนำให้ลอง)

คาดว่าน่าจะเป็นมอสซาเรลล่าชีส ที่เนื้อนุ่มนิ่มแต่นำไปชุบเกล็ดขนมปังแล้วนำไปทอดจนเหลืองกรอบ ผิวด้านนอกนี่กรอบจริง ๆ แล้วแป้งไม่หนามาก ชีสด้านในก็อร่อย เค็ม ๆ มัน ๆ ดี จิ้มกับซอส Thousand Island ที่ทางร้านทำขึ้นเอง อร่อยดีครับ

ฟัวกราส์และสลัดร็อคเก็ต – 380+ บาท (แนะนำให้ลอง)

จานนี้นอกจากหน้าตาที่สวยงามแล้ว รสชาติก็ยังอร่อยด้วย เชฟผสมผสานส่วนผสมทุกอย่างได้เข้ากันอย่างพอดีมาก ชอบตรงที่เชเลือกใช้ผักร็อคเก็ตป่าที่จะให้กลิ่นหอมที่ชัดเจนกว่าและไม่ขมเหมือนผักร็อคเก็ตปกติ

ที่สำคัญของเมนูนี้ก็คือฟัวกราส์ที่อาจจะไม่ได้เนื้อแน่นมากนัก แต่ความหอมมันของฟัวกราส์ที่ได้ในจานนี้ กับความเป็นธรรมชาติของร็อคเก็ตป่า กับซอสเบอรี่เปรี้ยว ๆ มะกอกเค็ม ๆ กินด้วยกันก็เข้ากันได้ดีมาก ๆ แต่จานนี้ผมคิดว่าราคาสูงเกินไปครับน่าจะสักราว ๆ 250 น่าจะกำลังดี

ปลาคอด อบเลม่อนและเคปเปอร์ – 360+ บาท

หน้าตาเมนูจานนี้ไม่แพ้เชฟระดับโรงแรม 5 ดาวเลย ส่วนประกอบหลักเป็นปลาคอดที่นำไป sear แล้วมาเสิร์ฟกับผักนานาชนิดพร้อมกับซอสครีมเลม่อน ความรู้สึกที่ได้คือ ปลาคอดจะดู overcook ไปหน่อย เนื้อเลยออกมากระด้างไปนิด ถ้าได้ผ่านการซูร์วี น่าจะทำให้เนื้อปลาออกมานุ่มกว่านี้

น้ำซอสที่ราดมารสชาติดีมีความหอมของผิวเลมอนด้วย ทำให้ช่วยเพิ่มความเบาและสดชื่นกับเมนูนี้ได้อย่างดี ส่วนผักที่ประกอบมาด้วย ผมโขมที่อยู่ด้านล่างนุ่มอร่อยดี แต่ส่วนผักข้าง ๆ จานถ้าปรุงให้ได้รสชาติและสุกกว่านี้จะทำให้สามารถกินคู่กับเนื้อปลาได้อย่างอร่อยเลย แต่นี่มันยังเป็นผักที่กรอบ ๆ อยู่เวลากินกับเนื้อปลาที่นุ่มกว่าผักมันเลยไปกลบความรู้สึกของปลามากเกินไป

ไก่อบหนังกรอบ – 260+ บาท (แนะนำให้ลอง)

เมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก duck confit ที่จะนำเนื้อเป็ดไปดุ๋นกับเครื่องเทศแล้วก็เอามาอบจนหนังกรอบ เนื้อล่อนออกจากกระดูก เมนูไก่อบหนังกรอบนี้ก็เช่นกัน เนื้อไก่นุ่มมาก หนังกรอบสุด ๆ กรอบบางแบบไม่มีที่ติ แต่รสชาติยังต้องเพิ่มความเข้มข้นอีกนิด เพราะว่าที่หนังกรอบเค็มกำลังดีแล้ว เพียงแต่เครื่องหมักมันดูจะยังไม่เข้าถึงเนื้อในของชิ้นไก่

ทางร้านจะเสิร์ฟชิ้นไก่มาพร้อมกับซอสที่จะคล้าย ๆ ซอสบาร์บิคิว และกินกับมันบด ซึ่งผมว่ามันดูเข้ากันดี แต่ติดที่มันบดที่ยังดูแห้งไปสักเล็กน้อย ยังไม่ฉ่ำ และยังไม่หอมเท่าไหร่ ผมจึงคิดว่าจานนี้จุดเด่นคือไก่จริง ๆ ถ้าทำให้องค์ประกอบอื่น ๆ ชูรสชาติของไก่ได้มากกว่านี้ก็เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบครับ

โพโมโดโร่ ซีฟู้ด – 180+ บาท

ผ่านจานที่เป็นโปรตีนกันมาหลายจาน มาถึงจานที่เป็นคาร์โบไฮเดรตบ้าง จานนี้ดูไม่ค่อยแปลกตาเท่าไหร่ใครที่เคยกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนก็น่าจะพอคุ้น ๆ บ้าง แต่รสชาติที่ร้านนี้เค้าทำใช้ได้เลย ไม่จัดมาก เน้นที่ความกลมกล่อม ผักดูไม่ค่อยเละเลยทำใหคิดว่าน้ำซอสน่าจะไม่เข้นข้น แต่ที่ไหนได้ รสชาติเข้มข้นเปรี้ยวหวานกำลังดีเลยครับ

กินกับซีฟู้ดตัวใหญ่ ๆ ทั้งกุ้ง หอย ปลาหมึก เข้ากันดีกับเส้นดำที่ทำจากดีหมึกมาก ๆ ครับ จานนี้จะมีข้อตินิดนึงก็คือผักมันไม่ค่อยเปื่อยและหั่นมาชิ้นใหญ่ไป จึงทำให้ไม่ค่อยได้กินผักเวลากินกับพวกเส้น ซอส และซีฟู้ด ถ้าหั่นผักให้เล็กกว่านี้แล้วเคี่ยวต่อให้ผักนุ่มกินง่ายกว่านี้จะเข้ากันมากครับ
เพสโต้และแซลมอนสไปซี่ทอดคั่วพริกเกลือ – 180+ บาท (แนะนำให้ลอง)

เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารอิตาเลียนและอาหารไทย เพราะการทำเพสโต้แน่นอนว่าคือมาจากอิตาเลียน แต่แซลมอนสไปซี่ที่วางอยู่ด้านบนเนี่ยเข้มข้นตาตำรับไทยเลย จานนี้บอกเลยว่าอร่อยครับ กลิ่นหอม ได้กลิ่นหอมของ Basil ในเพสโต้ กลิ่นพริกและกระเทียมคั่ว

นอกจากกลิ่นแล้ว เนื้อสัมผัสของจานนี้เมื่อกินร้อน ๆ ก็สุดยอดเลยครับ เพสโต้ที่นี่ข้นดี เวลากินแล้วจะนัวมาก กินกับปลาแซลมอนทอดกรอบ ที่ผิวจะเค็มนิด ๆ อร่อยดีจริง ๆ ครับ แล้วราคาไม่แพง ใครที่ไปคนเดียวก็สั่งกินได้ หรือจะหลาย ๆ คนมาแชร์กันก็ได้

[SR] The Clock out ร้านอาหารสไตล์คาเฟ่ บรรยากาศกันเอง เหมาะกับนั่งกินข้าว นั่งคุยเบา ๆ เก๋ ๆ หลังเลิกงาน
วันนี้มากันในย่านที่รถพลุกพล่านหน่อย แต่พอเลี้ยวเข้าซอยมาเจอร้านอาหารที่ตกแต่งร้านดูสวย ๆ แบบนี้ก็นึกว่าอยู่คนละโลกเลย ร้านที่ว่านี้ชื่อว่าร้าน The Clock Out Café & Casual Cuisine ขอเรียกสั้น ๆ ว่า The Clock Out ซึ่งอยู่ระแวกถนนกรุงธนบุรี ซอยจะอยู่ใกล้ ๆ กับ BTS วงเวียนใหญ่
ตัวซุปมีความข้นกำลังดีจากการนำเนื้อเห็ดแชมปริยองมาปั่นกับครีม รสชาติและกลิ่นใช้ได้เลย ได้ความหวานอ่อน ๆ ของเห็ด และกลิ่นที่ได้จากการหยด Truffle oil ลงไปเล็กน้อย รสชาติไม่จัดมาก ออกแนวนุ่มละมุนมากกว่า เพราะว่าก่อนเสิร์ฟเค้าจะมีการตีฟองครีมด้วยไอน้ำ(คล้ายการทำคาปูชิโน่)ราดลงไปด้านบน ทำให้กลิ่นอบอวลอยู่ในปากได้อย่างดี
คาดว่าน่าจะเป็นมอสซาเรลล่าชีส ที่เนื้อนุ่มนิ่มแต่นำไปชุบเกล็ดขนมปังแล้วนำไปทอดจนเหลืองกรอบ ผิวด้านนอกนี่กรอบจริง ๆ แล้วแป้งไม่หนามาก ชีสด้านในก็อร่อย เค็ม ๆ มัน ๆ ดี จิ้มกับซอส Thousand Island ที่ทางร้านทำขึ้นเอง อร่อยดีครับ
จานนี้นอกจากหน้าตาที่สวยงามแล้ว รสชาติก็ยังอร่อยด้วย เชฟผสมผสานส่วนผสมทุกอย่างได้เข้ากันอย่างพอดีมาก ชอบตรงที่เชเลือกใช้ผักร็อคเก็ตป่าที่จะให้กลิ่นหอมที่ชัดเจนกว่าและไม่ขมเหมือนผักร็อคเก็ตปกติ
ที่สำคัญของเมนูนี้ก็คือฟัวกราส์ที่อาจจะไม่ได้เนื้อแน่นมากนัก แต่ความหอมมันของฟัวกราส์ที่ได้ในจานนี้ กับความเป็นธรรมชาติของร็อคเก็ตป่า กับซอสเบอรี่เปรี้ยว ๆ มะกอกเค็ม ๆ กินด้วยกันก็เข้ากันได้ดีมาก ๆ แต่จานนี้ผมคิดว่าราคาสูงเกินไปครับน่าจะสักราว ๆ 250 น่าจะกำลังดี
หน้าตาเมนูจานนี้ไม่แพ้เชฟระดับโรงแรม 5 ดาวเลย ส่วนประกอบหลักเป็นปลาคอดที่นำไป sear แล้วมาเสิร์ฟกับผักนานาชนิดพร้อมกับซอสครีมเลม่อน ความรู้สึกที่ได้คือ ปลาคอดจะดู overcook ไปหน่อย เนื้อเลยออกมากระด้างไปนิด ถ้าได้ผ่านการซูร์วี น่าจะทำให้เนื้อปลาออกมานุ่มกว่านี้
น้ำซอสที่ราดมารสชาติดีมีความหอมของผิวเลมอนด้วย ทำให้ช่วยเพิ่มความเบาและสดชื่นกับเมนูนี้ได้อย่างดี ส่วนผักที่ประกอบมาด้วย ผมโขมที่อยู่ด้านล่างนุ่มอร่อยดี แต่ส่วนผักข้าง ๆ จานถ้าปรุงให้ได้รสชาติและสุกกว่านี้จะทำให้สามารถกินคู่กับเนื้อปลาได้อย่างอร่อยเลย แต่นี่มันยังเป็นผักที่กรอบ ๆ อยู่เวลากินกับเนื้อปลาที่นุ่มกว่าผักมันเลยไปกลบความรู้สึกของปลามากเกินไป
เมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก duck confit ที่จะนำเนื้อเป็ดไปดุ๋นกับเครื่องเทศแล้วก็เอามาอบจนหนังกรอบ เนื้อล่อนออกจากกระดูก เมนูไก่อบหนังกรอบนี้ก็เช่นกัน เนื้อไก่นุ่มมาก หนังกรอบสุด ๆ กรอบบางแบบไม่มีที่ติ แต่รสชาติยังต้องเพิ่มความเข้มข้นอีกนิด เพราะว่าที่หนังกรอบเค็มกำลังดีแล้ว เพียงแต่เครื่องหมักมันดูจะยังไม่เข้าถึงเนื้อในของชิ้นไก่
ทางร้านจะเสิร์ฟชิ้นไก่มาพร้อมกับซอสที่จะคล้าย ๆ ซอสบาร์บิคิว และกินกับมันบด ซึ่งผมว่ามันดูเข้ากันดี แต่ติดที่มันบดที่ยังดูแห้งไปสักเล็กน้อย ยังไม่ฉ่ำ และยังไม่หอมเท่าไหร่ ผมจึงคิดว่าจานนี้จุดเด่นคือไก่จริง ๆ ถ้าทำให้องค์ประกอบอื่น ๆ ชูรสชาติของไก่ได้มากกว่านี้ก็เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบครับ
ผ่านจานที่เป็นโปรตีนกันมาหลายจาน มาถึงจานที่เป็นคาร์โบไฮเดรตบ้าง จานนี้ดูไม่ค่อยแปลกตาเท่าไหร่ใครที่เคยกินร้านอาหารอิตาเลี่ยนก็น่าจะพอคุ้น ๆ บ้าง แต่รสชาติที่ร้านนี้เค้าทำใช้ได้เลย ไม่จัดมาก เน้นที่ความกลมกล่อม ผักดูไม่ค่อยเละเลยทำใหคิดว่าน้ำซอสน่าจะไม่เข้นข้น แต่ที่ไหนได้ รสชาติเข้มข้นเปรี้ยวหวานกำลังดีเลยครับ
กินกับซีฟู้ดตัวใหญ่ ๆ ทั้งกุ้ง หอย ปลาหมึก เข้ากันดีกับเส้นดำที่ทำจากดีหมึกมาก ๆ ครับ จานนี้จะมีข้อตินิดนึงก็คือผักมันไม่ค่อยเปื่อยและหั่นมาชิ้นใหญ่ไป จึงทำให้ไม่ค่อยได้กินผักเวลากินกับพวกเส้น ซอส และซีฟู้ด ถ้าหั่นผักให้เล็กกว่านี้แล้วเคี่ยวต่อให้ผักนุ่มกินง่ายกว่านี้จะเข้ากันมากครับ
เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารอิตาเลียนและอาหารไทย เพราะการทำเพสโต้แน่นอนว่าคือมาจากอิตาเลียน แต่แซลมอนสไปซี่ที่วางอยู่ด้านบนเนี่ยเข้มข้นตาตำรับไทยเลย จานนี้บอกเลยว่าอร่อยครับ กลิ่นหอม ได้กลิ่นหอมของ Basil ในเพสโต้ กลิ่นพริกและกระเทียมคั่ว
นอกจากกลิ่นแล้ว เนื้อสัมผัสของจานนี้เมื่อกินร้อน ๆ ก็สุดยอดเลยครับ เพสโต้ที่นี่ข้นดี เวลากินแล้วจะนัวมาก กินกับปลาแซลมอนทอดกรอบ ที่ผิวจะเค็มนิด ๆ อร่อยดีจริง ๆ ครับ แล้วราคาไม่แพง ใครที่ไปคนเดียวก็สั่งกินได้ หรือจะหลาย ๆ คนมาแชร์กันก็ได้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น