"ทะเลจ๋า คนเล็กอย่างผมจะสู้ต่อไป ไม่ถอดใจ ไม่ยอมแพ้"
ชายร่างเล็กในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มตะโกนแข่งกับเสียงคลื่นซัดสาดของทะเลคลั่ง ประกาศความแน่วแน่ท่ามกลางความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นของมหาสมุทร ขาดคำ ก็พลันแว่วเสียงสะท้อนกลับ แต่หาใช่เสียงสะท้อนการกู่ตะโกนก้องไม่ แต่เป็นเสียงเย้ยหยันตอกกลับราวกลับไม่แยแสยินดีว่า
"เรื่องของเมิงเด้"
นี่เป็นช็อตเปิดเรื่องที่ผสมผสานอารมณ์ขันและความจริงจังไว้เป็นออร์เดิร์ฟที่ล่อคนดูให้เข้าไปติดกับ ผมชอบผลงานในช่วงหลัง ๆ ของโจวซิงฉือที่ไม่ว่าจะตลกบ้าบอแค่ไหน ก็ไม่ลืมที่จะอุทิศพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้ให้กับฉากดราม่าเคล้าน้ำตาอยู่เสมอ และก็ทำได้ลงตัวเสียด้วย ผมนับถือโจวซิงฉือยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเขากำกับเรื่องนี้เอง โดยเป็นการทำงานร่วมกับ Lee Lik-chi ซึ่งรู้แกวกันดีจากการกำกับหนังให้เขามาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ถังไป่หู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ (Flirting Scholar), โลกบอกว่าข้าต้องใหญ่ (Love on Delivery), คนเล็กใหญ่เก็กโลก (The Lucky Guy) และคนเล็กกุ๊กเทวดา (God of Cookery)
เรื่องนี้ โจวซิงฉือแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีดีแค่เล่นหนังตลกคาเฟ่ (Slapstick) เพียงอย่างเดียว แต่ยังเล่นหนังชีวิต (Tearjerker) ได้ดีไม่แพ้กันด้วย
King of Comedy เป็นหนังแนวโรแมนติกคอเมดี้ที่ฉีกไปจากผลงานหลายเรื่องของโจวซิงฉือ มันไม่ได้เอาแต่ยิงมุกแสกหน้าหรือฮาทะเล็ดเรี่ยราด แต่ให้ความรู้สึกขำปะแล่ม ๆ สอดแทรกเนื้อหาตลกร้ายที่ดูแล้วหดหู่ใช่เล่น ทั้งนี้เพราะอ้างอิงจากส่วนหนึ่งของชีวิตจริงเมื่อครั้งที่เขาเริ่มอาชีพการแสดงจากการเล่นเป็นตัวประกอบ
พล็อตเรื่องย่อคือ อี้เทียนเฉา หรือ อาเฉา (โจวซิงฉือ) ตัวประกอบอดทนที่มีฝีมือการแสดงเข้าขั้นแย่ แต่หลงคิดว่าตนเองเป็นนักแสดงที่เก่งกาจ ในขณะที่ไล่ตามความฝันที่จะเป็นดาราดังอยู่นั้น เขาก็หันมาเปิดสอนการแสดงที่ศูนย์ชุมชนไปพลาง ๆ หนึ่งในลูกศิษย์ของเขาคือ เพียวเพียว (จางป๋อจือ) สาวบาร์ผู้ผิดหวังจากรักครั้งแรก เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความรู้สึกดี ๆ ระหว่างคนทั้งสองก็ก่อตัวไปพร้อม ๆ กับหน้าที่การงานที่เริ่มจะดีขึ้นจากการผลักดันของดาราสาวชื่อดัง (คาเรน ม็อค) เขาอาจได้รับบทดี ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้
แต่...ใครจะไปรู้ล่ะ
...
เรื่องนี้ แคเรกเตอร์ของพระเอกมีลักษณะเป็น Loser/Underdog ซึ่งดูเหมือนว่าโจวซิงฉือจะชอบสวมบทบาทแบบนี้ในงานช่วงหลัง ๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็นคนเก็บขยะใน "นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่" (Shaolin Soccer) 2001, โจรกระจอกใน "คนเล็กหมัดเทวดา" (Kung Fu Hustle) 2004 และคนงานก่อสร้างใน "คนเล็กของเล่นใหญ่" (CJ7) 2008 ซึ่งมีผลทางจิตวิทยาให้คนดูรู้สึกสงสารและเอาใจช่วยพระเอกให้ประสบความสำเร็จ ตลอดทั้งเรื่องตัวละครของเขาต้องเผชิญกับความผันผวนเป็นกระแสคลื่น ระลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งการถูกปฏิเสธ > การได้งาน > ถูกปฏิเสธ > ได้งาน ขึ้นลงเช่นนี้ไม่มีหยุดหย่อน อาจพูดได้ว่าชีวิตของอาเฉาต้องผจญกับความผิดหวังและความสมหวังสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง เราจะได้เห็นความชอกช้ำทางจิตวิญญาณ ความขื่นขมที่แสดงผ่านทางแววตา และความว่างเปล่าที่ปรากฏบนใบหน้ายามส่องกระจกของตัวละครตัวนี้
...
การเปิดตัวของเพียวเพียว ทำให้ผมนึกถึงแคเรกเตอร์ "ทิฟฟานี่" ในเรื่อง Silver Lining Playbook (2012) อย่างเสียไม่ได้ การพบกันของทั้งคู่ไม่ได้เริ่มต้นอย่างสวยหรู ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนมีแผล ซึ่งสิ่งที่คนมีแผลส่วนใหญ่กระทำต่อกันถ้าไม่ใช่การสะกิดแผลก็เป็นการรักษาแผล และปฏิกิริยาแรกที่อาเฉาและเพียวเพียวมีให้กันคือ การสะกิดแผลของอีกฝ่ายให้เหวอะหวะหนักกว่าเดิม การเป็นตัวประกอบอดทนกับสถานภาพความเป็นสาวบาร์ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งคู่จะภาคภูมิใจได้เลย แม้การกดอีกฝ่ายให้ต่ำลงอาจทำให้ผู้กระทำรู้สึกสูงส่งได้บ้าง แต่ทั้งคู่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่าลึก ๆ แล้วตนเองรู้สึกไม่พอใจกับสภาวการณ์ที่เป็นอยู่เหมือนกัน แม้ภายหลังจะได้ยินคำชมเชิงล้อเล่นที่มีให้กันว่า "ต่อไปคุณต้องได้เป็นคุณตัวอันดับหนึ่ง / ตัวประกอบอันดับหนึ่งเป็นแน่" ก็ยังฟังดูน่าเศร้าพิกล
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทั้งคู่เลิกกดตัวตนของอีกฝ่าย แล้วหันกลับมามองด้วยสายตาที่เท่าเทียมกัน เพียวเพียวก็เป็นฝ่ายเปิดใจให้อาเฉาก่อน และเริ่มรักษาแผลให้กันและกัน... ตรงนี้เองที่ผมมองว่าเพียวเพียวกับทิฟฟานี่ ทำหน้าที่เดียวกัน คือ เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่พระเอกขาดหายไป
ฉากหนึ่งที่ตราตรึงใจของเรื่องนี้คือหลังจากที่ทั้งคู่ผ่านค่ำคืนบนเตียงเดียวกัน อาเฉาเข้าใจว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะต้องการเงิน หารู้ไม่ว่าเพียวเพียวทำไปเพราะความรัก จึงรวบรวมเงินที่มีอยู่น้อยนิดมากองให้ ซึ่งทำให้เธอไม่พอใจ และเมื่อเธอกำลังจะจากไป เขาก็ทนต่อเสียงเร่งเร้าในหัวใจไว้ไม่ไหว (ต่อไปนี้จะนำบทสนทนาที่อาจเป็นการสปอลย์มาลงไว้ อ่านข้ามได้หากไม่ต้องการเสียอรรถรส)
"นี่"
"ทำไมหรอ"
"จะกลับแล้วหรอ"
"ใช่"
"จะไปไหนอ่ะ"
"กลับบ้าน"
"จากนั้นล่ะ"
"ไปทำงานน่ะสิ"
...
อาเฉานิ่งไปพักหนึ่ง
...
"ไม่ทำงานได้ไหม"
"จะหาเลี้ยงฉันรึไง"
"เหอ ๆ ๆ" (อาเฉาหัวเราะกลบเกลื่อน)
เพียวเพียวส่ายหน้า
ทั้งคู่โบกมือลา
"นี่"
"อะไรอีกเล่า" เพียวเพียวจุดบุหรี่รอคำตอบ
อาเฉาก้มหน้าคิดหนัก "ผมจะหาเลี้ยงคุณเอง"
เพียวเพียวยืนหันหลังนิ่ง แล้วค่อย ๆ สะบัดผมหันกลับมาบอก "เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ ...เด็กน้อยเอ้ย"
...
ประเด็นของไดอะล็อกนี่คือ อาเฉาไม่มีแม้กระทั่งบ้านเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยศูนย์ชุมชนอยู่ เงินทองรึก็แทบจะหาไม่ได้ แต่กล้ามากที่พูดออกไปแบบนั้นโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลย ส่วนนางเอกแม้ภายนอกจะปากดี แต่ก็แอบไปดีใจร้องไห้ในรถแท็กซี่อยู่เหมือนกัน นี่เป็นฉากที่เรียบง่าย แต่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยม การแสดงของโจวซิงฉือและจางป๋อจือตรึงคนดูไว้ได้อยู่หมัด
ในช่วงท้าย อาเฉาได้รับการผลักดันจาก ตู้เจียน ดาราสาวสวยให้ได้รับบทสำคัญ ซึ่ง ณ เวลานั้น ดูเหมือนว่าเส้นชะตาชีวิตของเขาจะพุ่งสู่ความรุ่งโรจน์ แล้วเขาก็มาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างการก้าวสู่ความเป็นดาราเต็มตัว ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของตัวเอง พร้อมกันนั้นตู้เจียนก็แสดงความชมชอบในตัวเขาเป็นพิเศษ กับเพียวเพียวที่ยอมละทิ้งอาชีพสาวบาร์เพื่อมาอยู่กินกับเขา หลาย ๆ ฉากในช่วงนี้เองที่โจวซิงฉือใส่ Conflict ตลกร้ายอย่างมากจนแทบจะเป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง ถ้าไม่รวมฉากการหักเหลี่ยมในช่วงปลายเรื่องที่ให้บรรยากาศของ Reservoir Dogs ของเควนติน ทาเรนติโนอยู่กลาย ๆ ...
สิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างสีสันให้กับหนังของโจวซิงฉือแทบทุกเรื่องคือตัวประกอบที่มีบุคลิกแปลกประหลาด ซึ่งเรื่องนี้ก็จัดมาให้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจิ๊กโก๋จอมไถพร้อมลูกสมุนหน้าตาบ้องแบ๊ว อาเสี่ยตามหารักแท้ในซ่อง สาวบาร์ที่มาขอให้พระเอกสอนวิธีอ่อยผู้ชาย ตำรวจสายลับกวนบาทา เป็นต้น และยังพ่วงไปด้วยดาราคู่บุญอย่างอู๋ม่งต๊ะ ที่เล่นเข้าขากันแทบทุกเรื่อง
ดูหนังโจวซิงฉือมาก็หลายเรื่อง สังเกตได้ถึงความเอาใจใส่ในการแคสต์นักแสดงสมทบของเขาเป็นอย่างมาก เพราะเล่นดีไม่แพ้ตัวละครหลักเลย บางแคเรกเตอร์ถึงกับแย่งซีนโจวซิงฉือก็มี และที่จะขาดไม่ได้ก็คือการใส่ฉากคารวะบรูซ ลี ซึ่งเป็นอีกกิมมิคหนึ่งที่โจวซิงฉือมักใส่เข้ามาในหนังหลายเรื่องของเขา
สำหรับข้อเสีย ผมมองว่าแทบจะไม่มี เพราะตัวละครที่ใส่เข้ามามีความสำคัญกับเส้นเรื่องและเสริมความฮาระหว่างทาง อาจมีบ้างที่นอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของเรื่องโดยไม่หลุดไปไกลจนเสียภาพรวม
สรุปแล้ว แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้โดดเด่นในแง่ของเทคนิคการถ่ายทำ (Cinematography) นัก แต่ความแพรวพราวในด้านการเล่าเรื่อง (Storytelling) ก็เข้มข้นจนทำให้ผมลุ้นไปกับตัวละครจนจบ แน่ล่ะว่าสไตล์การยิงมุกของโจวซิงฉือยังคงแทรกอยู่ในทุกอณูของเนื้อเรื่อง แต่เขาได้ลดความสำคัญของมันลงและใส่ใจกับรายละเอียดของตัวละครมากขึ้น ซึ่งเขาได้พัฒนาเทคนิคการเล่าเรื่องนี้ให้เก๋าเกมยิ่งขึ้นในหนังเรื่องต่อมาจนเสริมให้เขากลับมาโด่งดังเป็นพลุแตกอีกครั้งกับ Shaolin Soccer (2001) และ Kung Fu Hustle (2004)
***คะแนนความชอบ: 8.5/10
รีวิวโดย: Mr.Blue
ที่มา: https://revieweryclub.wordpress.com/
เครดิตภาพ:
http://nachostime.net/king-of-comedy
รีวิวหนัง: ชีวิตปุถุชนและความผันผวนใน “คนเล็กไม่เกรงใจนรก” (King of Comedy) 1999
ชายร่างเล็กในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มตะโกนแข่งกับเสียงคลื่นซัดสาดของทะเลคลั่ง ประกาศความแน่วแน่ท่ามกลางความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นของมหาสมุทร ขาดคำ ก็พลันแว่วเสียงสะท้อนกลับ แต่หาใช่เสียงสะท้อนการกู่ตะโกนก้องไม่ แต่เป็นเสียงเย้ยหยันตอกกลับราวกลับไม่แยแสยินดีว่า
"เรื่องของเมิงเด้"
นี่เป็นช็อตเปิดเรื่องที่ผสมผสานอารมณ์ขันและความจริงจังไว้เป็นออร์เดิร์ฟที่ล่อคนดูให้เข้าไปติดกับ ผมชอบผลงานในช่วงหลัง ๆ ของโจวซิงฉือที่ไม่ว่าจะตลกบ้าบอแค่ไหน ก็ไม่ลืมที่จะอุทิศพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้ให้กับฉากดราม่าเคล้าน้ำตาอยู่เสมอ และก็ทำได้ลงตัวเสียด้วย ผมนับถือโจวซิงฉือยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเขากำกับเรื่องนี้เอง โดยเป็นการทำงานร่วมกับ Lee Lik-chi ซึ่งรู้แกวกันดีจากการกำกับหนังให้เขามาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ถังไป่หู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ (Flirting Scholar), โลกบอกว่าข้าต้องใหญ่ (Love on Delivery), คนเล็กใหญ่เก็กโลก (The Lucky Guy) และคนเล็กกุ๊กเทวดา (God of Cookery)
เรื่องนี้ โจวซิงฉือแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีดีแค่เล่นหนังตลกคาเฟ่ (Slapstick) เพียงอย่างเดียว แต่ยังเล่นหนังชีวิต (Tearjerker) ได้ดีไม่แพ้กันด้วย
King of Comedy เป็นหนังแนวโรแมนติกคอเมดี้ที่ฉีกไปจากผลงานหลายเรื่องของโจวซิงฉือ มันไม่ได้เอาแต่ยิงมุกแสกหน้าหรือฮาทะเล็ดเรี่ยราด แต่ให้ความรู้สึกขำปะแล่ม ๆ สอดแทรกเนื้อหาตลกร้ายที่ดูแล้วหดหู่ใช่เล่น ทั้งนี้เพราะอ้างอิงจากส่วนหนึ่งของชีวิตจริงเมื่อครั้งที่เขาเริ่มอาชีพการแสดงจากการเล่นเป็นตัวประกอบ
พล็อตเรื่องย่อคือ อี้เทียนเฉา หรือ อาเฉา (โจวซิงฉือ) ตัวประกอบอดทนที่มีฝีมือการแสดงเข้าขั้นแย่ แต่หลงคิดว่าตนเองเป็นนักแสดงที่เก่งกาจ ในขณะที่ไล่ตามความฝันที่จะเป็นดาราดังอยู่นั้น เขาก็หันมาเปิดสอนการแสดงที่ศูนย์ชุมชนไปพลาง ๆ หนึ่งในลูกศิษย์ของเขาคือ เพียวเพียว (จางป๋อจือ) สาวบาร์ผู้ผิดหวังจากรักครั้งแรก เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความรู้สึกดี ๆ ระหว่างคนทั้งสองก็ก่อตัวไปพร้อม ๆ กับหน้าที่การงานที่เริ่มจะดีขึ้นจากการผลักดันของดาราสาวชื่อดัง (คาเรน ม็อค) เขาอาจได้รับบทดี ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้
แต่...ใครจะไปรู้ล่ะ
...
เรื่องนี้ แคเรกเตอร์ของพระเอกมีลักษณะเป็น Loser/Underdog ซึ่งดูเหมือนว่าโจวซิงฉือจะชอบสวมบทบาทแบบนี้ในงานช่วงหลัง ๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็นคนเก็บขยะใน "นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่" (Shaolin Soccer) 2001, โจรกระจอกใน "คนเล็กหมัดเทวดา" (Kung Fu Hustle) 2004 และคนงานก่อสร้างใน "คนเล็กของเล่นใหญ่" (CJ7) 2008 ซึ่งมีผลทางจิตวิทยาให้คนดูรู้สึกสงสารและเอาใจช่วยพระเอกให้ประสบความสำเร็จ ตลอดทั้งเรื่องตัวละครของเขาต้องเผชิญกับความผันผวนเป็นกระแสคลื่น ระลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งการถูกปฏิเสธ > การได้งาน > ถูกปฏิเสธ > ได้งาน ขึ้นลงเช่นนี้ไม่มีหยุดหย่อน อาจพูดได้ว่าชีวิตของอาเฉาต้องผจญกับความผิดหวังและความสมหวังสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง เราจะได้เห็นความชอกช้ำทางจิตวิญญาณ ความขื่นขมที่แสดงผ่านทางแววตา และความว่างเปล่าที่ปรากฏบนใบหน้ายามส่องกระจกของตัวละครตัวนี้
...
การเปิดตัวของเพียวเพียว ทำให้ผมนึกถึงแคเรกเตอร์ "ทิฟฟานี่" ในเรื่อง Silver Lining Playbook (2012) อย่างเสียไม่ได้ การพบกันของทั้งคู่ไม่ได้เริ่มต้นอย่างสวยหรู ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนมีแผล ซึ่งสิ่งที่คนมีแผลส่วนใหญ่กระทำต่อกันถ้าไม่ใช่การสะกิดแผลก็เป็นการรักษาแผล และปฏิกิริยาแรกที่อาเฉาและเพียวเพียวมีให้กันคือ การสะกิดแผลของอีกฝ่ายให้เหวอะหวะหนักกว่าเดิม การเป็นตัวประกอบอดทนกับสถานภาพความเป็นสาวบาร์ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งคู่จะภาคภูมิใจได้เลย แม้การกดอีกฝ่ายให้ต่ำลงอาจทำให้ผู้กระทำรู้สึกสูงส่งได้บ้าง แต่ทั้งคู่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่าลึก ๆ แล้วตนเองรู้สึกไม่พอใจกับสภาวการณ์ที่เป็นอยู่เหมือนกัน แม้ภายหลังจะได้ยินคำชมเชิงล้อเล่นที่มีให้กันว่า "ต่อไปคุณต้องได้เป็นคุณตัวอันดับหนึ่ง / ตัวประกอบอันดับหนึ่งเป็นแน่" ก็ยังฟังดูน่าเศร้าพิกล
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทั้งคู่เลิกกดตัวตนของอีกฝ่าย แล้วหันกลับมามองด้วยสายตาที่เท่าเทียมกัน เพียวเพียวก็เป็นฝ่ายเปิดใจให้อาเฉาก่อน และเริ่มรักษาแผลให้กันและกัน... ตรงนี้เองที่ผมมองว่าเพียวเพียวกับทิฟฟานี่ ทำหน้าที่เดียวกัน คือ เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่พระเอกขาดหายไป
ฉากหนึ่งที่ตราตรึงใจของเรื่องนี้คือหลังจากที่ทั้งคู่ผ่านค่ำคืนบนเตียงเดียวกัน อาเฉาเข้าใจว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะต้องการเงิน หารู้ไม่ว่าเพียวเพียวทำไปเพราะความรัก จึงรวบรวมเงินที่มีอยู่น้อยนิดมากองให้ ซึ่งทำให้เธอไม่พอใจ และเมื่อเธอกำลังจะจากไป เขาก็ทนต่อเสียงเร่งเร้าในหัวใจไว้ไม่ไหว (ต่อไปนี้จะนำบทสนทนาที่อาจเป็นการสปอลย์มาลงไว้ อ่านข้ามได้หากไม่ต้องการเสียอรรถรส)
"นี่"
"ทำไมหรอ"
"จะกลับแล้วหรอ"
"ใช่"
"จะไปไหนอ่ะ"
"กลับบ้าน"
"จากนั้นล่ะ"
"ไปทำงานน่ะสิ"
...
อาเฉานิ่งไปพักหนึ่ง
...
"ไม่ทำงานได้ไหม"
"จะหาเลี้ยงฉันรึไง"
"เหอ ๆ ๆ" (อาเฉาหัวเราะกลบเกลื่อน)
เพียวเพียวส่ายหน้า
ทั้งคู่โบกมือลา
"นี่"
"อะไรอีกเล่า" เพียวเพียวจุดบุหรี่รอคำตอบ
อาเฉาก้มหน้าคิดหนัก "ผมจะหาเลี้ยงคุณเอง"
เพียวเพียวยืนหันหลังนิ่ง แล้วค่อย ๆ สะบัดผมหันกลับมาบอก "เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ ...เด็กน้อยเอ้ย"
...
ประเด็นของไดอะล็อกนี่คือ อาเฉาไม่มีแม้กระทั่งบ้านเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยศูนย์ชุมชนอยู่ เงินทองรึก็แทบจะหาไม่ได้ แต่กล้ามากที่พูดออกไปแบบนั้นโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลย ส่วนนางเอกแม้ภายนอกจะปากดี แต่ก็แอบไปดีใจร้องไห้ในรถแท็กซี่อยู่เหมือนกัน นี่เป็นฉากที่เรียบง่าย แต่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยม การแสดงของโจวซิงฉือและจางป๋อจือตรึงคนดูไว้ได้อยู่หมัด
ในช่วงท้าย อาเฉาได้รับการผลักดันจาก ตู้เจียน ดาราสาวสวยให้ได้รับบทสำคัญ ซึ่ง ณ เวลานั้น ดูเหมือนว่าเส้นชะตาชีวิตของเขาจะพุ่งสู่ความรุ่งโรจน์ แล้วเขาก็มาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างการก้าวสู่ความเป็นดาราเต็มตัว ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของตัวเอง พร้อมกันนั้นตู้เจียนก็แสดงความชมชอบในตัวเขาเป็นพิเศษ กับเพียวเพียวที่ยอมละทิ้งอาชีพสาวบาร์เพื่อมาอยู่กินกับเขา หลาย ๆ ฉากในช่วงนี้เองที่โจวซิงฉือใส่ Conflict ตลกร้ายอย่างมากจนแทบจะเป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง ถ้าไม่รวมฉากการหักเหลี่ยมในช่วงปลายเรื่องที่ให้บรรยากาศของ Reservoir Dogs ของเควนติน ทาเรนติโนอยู่กลาย ๆ ...
สิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างสีสันให้กับหนังของโจวซิงฉือแทบทุกเรื่องคือตัวประกอบที่มีบุคลิกแปลกประหลาด ซึ่งเรื่องนี้ก็จัดมาให้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจิ๊กโก๋จอมไถพร้อมลูกสมุนหน้าตาบ้องแบ๊ว อาเสี่ยตามหารักแท้ในซ่อง สาวบาร์ที่มาขอให้พระเอกสอนวิธีอ่อยผู้ชาย ตำรวจสายลับกวนบาทา เป็นต้น และยังพ่วงไปด้วยดาราคู่บุญอย่างอู๋ม่งต๊ะ ที่เล่นเข้าขากันแทบทุกเรื่อง
ดูหนังโจวซิงฉือมาก็หลายเรื่อง สังเกตได้ถึงความเอาใจใส่ในการแคสต์นักแสดงสมทบของเขาเป็นอย่างมาก เพราะเล่นดีไม่แพ้ตัวละครหลักเลย บางแคเรกเตอร์ถึงกับแย่งซีนโจวซิงฉือก็มี และที่จะขาดไม่ได้ก็คือการใส่ฉากคารวะบรูซ ลี ซึ่งเป็นอีกกิมมิคหนึ่งที่โจวซิงฉือมักใส่เข้ามาในหนังหลายเรื่องของเขา
สำหรับข้อเสีย ผมมองว่าแทบจะไม่มี เพราะตัวละครที่ใส่เข้ามามีความสำคัญกับเส้นเรื่องและเสริมความฮาระหว่างทาง อาจมีบ้างที่นอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของเรื่องโดยไม่หลุดไปไกลจนเสียภาพรวม
สรุปแล้ว แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้โดดเด่นในแง่ของเทคนิคการถ่ายทำ (Cinematography) นัก แต่ความแพรวพราวในด้านการเล่าเรื่อง (Storytelling) ก็เข้มข้นจนทำให้ผมลุ้นไปกับตัวละครจนจบ แน่ล่ะว่าสไตล์การยิงมุกของโจวซิงฉือยังคงแทรกอยู่ในทุกอณูของเนื้อเรื่อง แต่เขาได้ลดความสำคัญของมันลงและใส่ใจกับรายละเอียดของตัวละครมากขึ้น ซึ่งเขาได้พัฒนาเทคนิคการเล่าเรื่องนี้ให้เก๋าเกมยิ่งขึ้นในหนังเรื่องต่อมาจนเสริมให้เขากลับมาโด่งดังเป็นพลุแตกอีกครั้งกับ Shaolin Soccer (2001) และ Kung Fu Hustle (2004)
***คะแนนความชอบ: 8.5/10
รีวิวโดย: Mr.Blue
ที่มา: https://revieweryclub.wordpress.com/
เครดิตภาพ: http://nachostime.net/king-of-comedy