รีวิว Deepwater Horizon : การพัฒนาของปีเตอร์ เบิร์ก



สร้างหนังที่เป็นเหตุการณ์จริงเป็นเรื่องที่สองติดต่อกัน สำหรับปีเตอร์ เบิร์ก ผู้กำกับเจ้าของฉายาไมเคิล เบย์คนที่สอง ที่ในคราวนี้ได้หยิบเหตุการณ์ แท่นขุดเจาะน้ำมันเคลื่อนที่นามว่า Deepwater Horizon ที่เกิดระเบิดขึ้นในวันที่ 20 เมษายน 2553 ที่เป็นการระเบิดแท่นขุดเจาะน้ำมันครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก


ปีเตอร์ เบิร์ก
หลังจากเป็นที่รู้จักด้วยหนังแอ็คชั่นอย่าง The Rundown พร้อมกับแจ้งเกิด ดเวยน์ จอห์นสัน ในเวลาเดียวกัน เราจะเห็นว่า ปีเตอร์ เบิร์ก เป็นผู้กำกับหนังแอ็คชั่นที่มีลายเซ็นละม้ายคล้ายคลึงกับผู้กำกับ ไมเคิล เบย์ อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะมุมกล้อง จังหวะเล่าเรื่อง หรือการใส่ความ”รักชาติ” ที่เชิดชูความเป็นอเมริกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ที่ทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในหนังยักษ์ล้มอย่าง Battleship แม้เขาจะเป็นผู้กำกับที่สอบผ่านในแง่หนังแอ็คชั่น ที่ถือว่าก็ทำได้ดี แต่สิ่งที่ปีเตอร์ เบิร์กไม่ได้โชคดีเหมือน ไมเคิล เบย์ คือการมีบทภาพยนตร์ที่ดีพอในหนังของตัวเอง (อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะคิ้วขมวดพลางคิดว่าแล้วบทหนังไมเคิล เบย์ มันดีตรงไหน?) อย่างน้อยก็มีเรื่องราวที่น่าดึงดูด พล็อตเรื่อง Big idea ที่น่าสนใจมากพอ อาทิ Armageddon, The Rock บวกกับวิธีการบิวด์คนดูให้อินไปกับหนัง และฉากแอ็คชั่นสโลว์มุมภาพเท่ ๆอันเป็นลายเซ็น ก็ต้องยอมรับว่าเบย์เป็นคนทำหนังแอ็คชั่นที่บทดูกลวง ๆให้ดูสนุกได้ (ขอไม่นับ Transformers 3 ภาคหลัง)  

แต่หนังของเบิร์กไม่ได้มีเรื่องที่แข็งแรงมาตั้งแต่ต้น และฝีมือการทำหนังแอ็คชั่นที่แค่คล้ายแต่ไม่ถึง ทำให้เราได้เห็นหนังแอ็คชั่นในเครดิตของเขาที่เป็นเพียงหนังแอ็คชั่นที่แค่ภายนอกเหมือนจะดูดี แต่ผ่านมาและผ่านไปอย่างง่ายดาย และไม่มีอะไรที่น่าจดจำ ไล่ตั้งแต่ The Kingdom, Hancock จนมาถึง Battleship ที่สองเรื่องหลังต้องสารภาพว่าถึงกับหลับคาโรงกันเลยทีเดียว (คนที่ชอบหนังอย่าว่ากันนะ) จนมาถึง Lone Survivor ที่เบิร์กสามารถแก้ตัวจากหนังเรือรบเอเลี่ยนได้ เมื่อตัวหนังออกมาโดยได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี รวมถึงได้เห็นอารมณ์ดราม่าของเบิร์กที่ไม่เคยได้เห็นจากหนังเรื่องก่อน ๆ ซึ่งในจุดนี้ถือว่าเบิร์กทำออกมาได้น่าพอใจอีกด้วย จนมาถึงเรื่องล่าสุดที่เขาก็ยังคงผสมผสานภาพยนตร์แอ็คชั่นเอาชีวิตรอดกับดราม่า ซึ่งเหมือนเป็นการค้นพบตัวเองหรือเปล่าถึงสไตล์การทำหนังของตัวเอง ในจุดนี้ถือว่าเบิร์กทำได้ดี และผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจกว่าหนังแอ็คชั่นที่ผ่านมาเมื่อหลายปีก่อนที่ไม่มีอะไรให้จับต้องได้เลยนอกจาก special effects


ความสมจริงของเหตุการณ์และวิธีการเล่าเรื่อง
แท่นขุดเจาะน้ำมัน ไกลตัวจากคนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้ตามปกติเหมือนทุกวันที่เราเห็น รถ เรือ เครื่องบิน ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้น เรานึกภาพไม่ออกเลยถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่กำลังเกิดเหตุการณ์นั้น ๆ เพราะเราเห็นแต่ภาพข่าว ภาพนิ่ง แต่กับเรื่องนี้เบิร์กทำได้ดีในการเล่าเรื่องผู้คน เหล่าลูกเรือที่ทำงานอยู่ในแท่นขุดเจาะ ที่เล่าแบบไม่รีบร้อนและให้เวลาให้เราทำความรู้จักเหล่าตัวละครซึ่งจุดนี้ถือว่าทำได้ดี เพราะเราเห็นวิธีการทำงาน ชีวิตการเป็นอยู่ของเหล่าลูกเรือ แต่ที่คิดว่าควรจะทำได้ดีกว่านี้ คือการเล่าในช่วงแรกที่ใช้กลวิธีเล่าเรื่องให้คนดูเข้าใจยากเกินไปหน่อย อย่างที่บอกไปว่าเรื่องราวเกี่ยวกับแท่นขุดเจาะนั้นค่อนข้างไกลตัว การที่จะระเบิดเพราะสาเหตุใดนั้น คนปกติอาจจะนึกไม่ออกและต้องการวิธีการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายกว่านี้ เพราะการเล่าในหนังมันเหมือนเล่าให้คนที่ต้องพอมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องแท่นขุดเจาะอยู่บ้างแล้ว คนปกติที่ไม่รู้อะไรเลยก็ได้แต่นั่งคิดตามว่าเพราะอะไร ข้อเสียคือทำให้คนดูที่ไม่รู้เรื่องตามหนังไม่ทัน และจะเสียสมาธิจากหนังไป

แต่หลังจากเหตุการณ์และน้ำมันรั่วได้ปะทุขึ้นมา คราวนี้เบิร์กก็ไม่ทำให้คนดูผิดหวัง เมื่อเขาเล่าเรื่องสถานการณ์นั้นได้ดี โดยใส่ความสมจริง รุนแรง น่าหวาดกลัว และกดดัน ทำให้คนที่จินตนาการไม่ออกถึงความรุนแรงของสถานการณ์ ได้ถึงบางอ้อเสียที ว่าจริง ๆมันน่ากลัวและรุนแรงขนาดไหน โดยฉากที่น้ำมันเพิ่งปะทุไปถึงฉากที่ระเบิดครั้งใหญ่ เบิร์กเล่าเรื่องได้ดีมาก โดยไต่ระดับความตื่นเต้นจากค่อย ๆ ไปจนถึงสูงสุดด้วยฉากระเบิดครั้งใหญ่ (ที่ผสม CG แต่เป็นฉากระเบิดที่ทำได้น่าตื่นตะลึงอย่างมาก เฉพาะผลในแง่ของอารมณ์ร่วม) และฉากเอาชีวิตรอดจากเพลิงนรกหลังจากนั้นที่ลากยาวไปจนจบ เบิร์กทำได้ดีตามแบบที่ควรจะเป็น


จุดที่ยังต้องพัฒนาของปีเตอร์ เบิร์ก
ยังคงเป็นปัญหาด้วยจุดเดิม คือปีเตอร์ เบิร์กทำหนังแอ็คชั่นได้ดี แต่ยังต้องพัฒนาเรื่องอารมณ์หนังดราม่าอีกมาก เพราะอารมณ์ดราม่าในตอนท้าย ที่ยังถือว่าทำได้ระดับพอใช้เท่านั้นและควรจะทำได้ดีกว่านี้ ด้วย การแสดง ดูจงใจให้เป็นแนวเมโลดราม่าเกินไปหน่อยทั้งมุมภาพ จังหวะการตัดต่อ เสียงประกอบ ดูจงใจและไม่เป็นธรรมชาติ และไม่ถึงในแบบที่ควรจะเป็น เพราะสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์อะไรแบบนั้น ความรู้สึกมันมากกว่านั้นหลายเท่านัก (ยกตัวอย่าง Captain Phillips ในฉากของทอม แฮงค์ ในตอนท้ายที่สุดแสนจะเจ็บปวดเหลือเกิน และนั้นแหละคือสิ่งที่คนรู้สึกจริง ๆ) ดังนั้นนี่คือโจทย์ที่เบิร์กยังต้องนำไปปรับปรุงแก้ไขในงานหน้า แต่สำหรับโดยรวมแล้ว นี่เป็นหนังปีเตอร์ เบิร์กที่ทำได้ดี ดูสนุก และเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากผลงานก่อนๆ ของเขาอย่างเห็นได้ชัด

ขอบคุณภาพจาก MONGKOL MAJOR

หากอ่านแล้วชอบติดตามบทความจากหนังได้ที่เพจ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่