เสพความฝัน
ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝนหนา เสียงร้องครืนๆ เป็นระยะบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานเหล่าเมฆฝนสีแดงบนนั้นจะทนต่อไปอีกไม่ไหว มันรอคอยเพียงเวลาเหมาะสมที่จะปลดปล่อยห่าฝนที่กักเก็บเอาไว้ลงมายังเบื้องล่าง
ไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของชาญชัยที่กำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่เพียงลำพังในบาร์ร้านประจำ
เขาพยายามจินตนาการบรรยากาศภายนอกร้านและแปลงมันออกมาเป็นคำบรรยายสละสลวยในหัว แต่ในช่วงเวลาที่สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนแบบนี้ ชายหนุ่มพบว่ามันยากยิ่งกว่าเวลาปกติหลายเท่านัก
“อืม จะว่ายังไงดี งานคุณก็ดูน่าสนใจดีนะ แต่ผมว่ามันยังไม่ดีพอ เหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง งานคุณถือว่าครบรส มีทุกแนว แต่ผมว่ามันไม่สุด ซึ้งไม่สุด ตลกไม่สุด โหดไม่สุด น่ากลัวไม่สุด เอาเป็นว่าคุณกลับไปแก้ไขงานของคุณมาใหม่ก็แล้วกัน ลองเอาคำพูดของผมกลับไปคิดดูนะ”
เขานึกไปถึงบทสนทนาช่วงเช้ากับบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาถูกปฏิเสธงานเขียน
“งานคุณเกือบดีแล้ว เกือบใช้ได้แล้ว เกือบสำเร็จแล้ว เกือบ เกือบ เกือบ เกือบบ้าอะไรกันนักหนาโว้ย”
อารมณ์ขุ่นมัวบวกกับอาการเมายิ่งทำให้หัวเสียหนักขึ้นไปอีก มันเป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะให้โอกาส ให้กำลังใจ แต่นัยสำคัญของคำพูดนั้นก็คือการปฏิเสธแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นเท่านั้นเอง
แม้ในบาร์แห่งนี้จะมีเพียงแสงไฟสลัว แต่มันก็ยังไม่มืดมัวเท่าแสงในใจของชาญชัยในเวลานี้ เขายกแก้วในมือส่งของเหลวสีอำพันลงคอ ความสับสนลังเลกำลังขัดแย้งกันเองในใจ
จะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ดี อดทนต่อหรือถอดใจแล้วยอมรับในความไร้พรสวรรค์ของตัวเองเสียที
ถึงแม้จะไม่ใช่วันนี้ แต่ก็คงจะเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วที่ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป บางทีอาจต้องเก็บพับความฝันทั้งหมดลงไปในซอกหลืบของจิตใจ เดินคอตกกลับไปเป็นพนักงานออฟฟิศ ถูกขังอยู่ในกล่องแคบๆ ที่ไหนสักแห่งใจกลางเมือง และรอวันสิ้นเดือนเพื่อรับเงินประทังชีวิต
ชายหนุ่มฝันอยากเป็นนักเขียนนิยาย มโนภาพในยามนั้นช่างเจิดจรัสเปล่งประกายจนเขากล้าที่จะทิ้งตำแหน่งทิ้งงานประจำที่ทำอยู่และออกตามล่าความฝันนั้น หนังสือเล่มแรกจะเป็นการเปิดตัวนักเขียนอัจฉริยะหน้าใหม่ ผลงานชิ้นต่อๆ ไปจะสร้างชื่อและส่งให้เขากลายเป็นดาวค้างฟ้าในวงการนักเขียน
แต่ทว่าเวลานี้กลับไม่มีอะไรเป็นจริงสักอย่าง ทั้งหมดที่เคยคิดเหลือเพียงแสงริบหรี่ และมันยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เสียจนน่าเหนื่อยใจ
ตั้งแต่ลาออกมา ชาญชัยมีเพียงรายจ่ายโดยปราศจากเงินรายรับที่เติมกลับเข้าไปในบัญชี เขารู้สึกสูญเสียแม้แต่กำลังใจที่เคยเก็บหอมรอมริบไว้ ตลอดระยะเวลาที่คลำทางมา เขาใช้จ่ายทั้งสองสิ่งนี้ไปอย่างฟุ่มเฟือยตามรายทางจนแทบหมดสิ้นแล้ว
ชายหนุ่มยกแก้วในมือขึ้นกระดกอีกครั้ง แต่ได้ยินเพียงเสียงกรุ๋งกริ๋งของน้ำแข็งกระทบกัน เขารู้สึกหัวเสีย แม้แต่เหล้าก็ยังไม่เป็นใจ กระแทกก้นแก้วลงกับเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินออกจากร้าน
ท้องฟ้าภายนอกแดงฉานไปด้วยเมฆฝนที่ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงเย็น ดูไม่แตกต่างจากที่จินตนาการไว้ในหัวเมื่อสักครู่เท่าใดนัก ละอองน้ำบางเบาที่โปรยตัวลงมาปกคลุมไปทั่วเมืองส่งผลให้อากาศเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว
ไฟทางติดๆ ดับๆ แทนที่จะทำให้ผู้เดินเท้าได้รู้สึกปลอดภัย มันกลับชวนให้จินตนาการไปถึงเรื่องขนหัวลุกเสียมากกว่า ตลอดเส้นทางเดินไม่มีผู้คนหรือรถราสักคันผ่านมาให้เห็น
นี่กี่โมงกี่ยามกันแล้วนะ ตีสองหรือตีสาม ช่างเถอะ ไม่มีอะไรให้ต้องรีบร้อนอยู่แล้ว
ในหัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยปล่อยให้เท้าทั้งสองทำหน้าที่อย่างสะเปะสะปะไปตามทางเท้า ผ่านร้านค้า ผ่านตรอกซอกซอย ชาญชัยคุ้นเคยเส้นทางนี้ดีจนถึงขนาดที่หลับตาก็ยังรู้ว่ามีร้านอะไรอยู่บริเวณไหน แต่ทว่าวันนี้กลับมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ซอยเล็กๆ ที่อยู่ทางซ้ายมือข้างหน้าซึ่งปกติในเวลานี้จะมืดมิด แต่คืนนี้สายตาของเขาพลันสะดุดเข้ากับแสงเรืองๆ ที่เล็ดรอดออกมาจากในนั้น แสงนั้นเป็นสีฟ้าจางๆ ที่ดูอ้อยอิ่งดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด
ความมืดและความเงียบในซอยทำให้ยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความอยากรู้อยากเห็นต่ออะไรก็ตามที่อยู่ข้างในซอยนั้นจะมีชัย เขาตัดสินใจเดินตามแสงสีฟ้าเรืองรองนั้นเข้าไป
“ร้าน...”
หลอดฟ้าสีฟ้าขดตัวกันคล้ายตัวหนังสือ มันติดอยู่บนบานประตูไม้เก่าแก่ ชาญชัยคิดว่านั่นน่าจะเป็นชื่อร้าน เขาพยายามสะกดให้เป็นคำแต่จนแล้วจดรอดก็อ่านมันไม่ออก
ชื่อร้านที่อ่านไม่ออกแบบนี้จะมีคนสนใจได้ยังไง แล้วคิดยังไงกันเนี่ยถึงมาเปิดร้านในที่แบบนี้ ขนาดเดินผ่านบ่อยๆ ยังไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย
ชายหนุ่มคิดตำหนิเจ้าของร้านที่น่าจะไม่เข้าใจหลักการตลาดเลยสักนิดอยู่ในใจ เอื้อมมือหมายจะเปิดประตูเข้าไปดูในร้านเพราะไหนๆ ก็อุตส่าห์แวะมาแล้ว
แอ๊ด...ดดด
เขากลับรู้สึกเหมือนกับว่าบานประตูตรงหน้าเปิดออกเองก่อนที่มือจะได้สัมผัสถูกเนื้อไม้เสียอีก ชาญชัยก้าวเท้าเข้าไป กวาดตามองโดยรอบเพื่อตรวจสอบบรรยากาศของร้าน ในนี้กว้างขวางกว่าที่เห็นจากภายนอก ข้าวของส่วนใหญ่อยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่
ดูเหมือนสินค้าจะถูกวางไว้อย่างสะเปะสะปะ ไม่มีการจัดหมวดหมู่ ไม่มีการจัดเรียงให้เป็นระเบียบ ถึงแม้จะไม่สะอาดตาแต่ทว่าก็ไม่รกรุงรังจนไม่อยากเดินดูสินค้า
ตัดสินใจว่าจะลองเดินหาดูอะไรเล่นๆ เพียงลำพังหลังจากที่พยายามกวาดสายตาเพื่อหาเจ้าของร้าน ข้าวของที่นี่ออกจะดูแปลกตาในความคิด หลายชิ้นชายหนุ่มเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต และอีกจำนวนมากที่เขาไม่รู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไร
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ สายตาพลันสะดุดกับสินค้าชิ้นหนึ่งจนถึงกับทำให้ต้องหยุดยืนพินิจพิเคราะห์อยู่นานสองนาน มันเป็นขวดแก้วใสขนาดพอดีมือ ภายในบรรจุสารอะไรบางอย่างที่ส่องแสงสีเทาหม่นๆ ออกมา
ไม่ได้สวยงามอะไร แต่แสงนั่นทำให้เกิดแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
เสียงทุ้มยานคางดังมาจากทางด้านหลัง ชาญชัยซึ่งกำลังเพลิดเพลินอยู่กับแสงสีเทาในขวดถึงกับสะดุ้งที่จู่ๆ ก็มีคนมาอยู่ใกล้โดยที่ไม่รู้ตัว เขาหันไปมองและพบว่าเจ้าของเสียงทักทายเป็นชายชราที่มีใบหน้าซูบผอมซึ่งอาบไปด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรไมตรี
“คุณ เอ่อ...”
“ผมเป็นผู้ดูแลที่นี่ครับ”
ชายชราตอบโดยที่ไม่ต้องรอให้ชายหนุ่มถามจนจบ หลังจากนั้นก็เริ่มทำหน้าที่ของผู้ดูแลร้านที่ดีตามที่ได้แจ้งไว้กับลูกค้าผู้มาเยือน
“คุณสนใจสินค้าชิ้นนี้อย่างนั้นหรือครับ”
น้ำเสียงทุ้มนั้นฟังดูนุ่มนวลน่าเชื่อถือ ใบหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงทักษะอันยอดเยี่ยมในการทำการค้าของชายชรา
“อืม ก็ไม่เชิงครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่า...”
“มันน่าดึงดูด มันชวนหลงใหล ใช่มั้ยครับ”
เป็นอีกครั้งที่ไม่ต้องรอให้คู่สนทนาพูดจนจบ ราวกับว่าพ่อค้าคนนี้มองทะลุไปจนถึงความคิดอ่านของลูกค้าได้
“ใช่ มันน่าดึงดูด”
ชายหนุ่มพูดแผ่วเบาคล้ายรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า สายตาไม่ยอมละออกจากแสงสีเทาในขวดแก้วตรงหน้า
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่นำมันกลับไปล่ะครับ คุณลูกค้า”
ชายชราพูดกระตุ้นด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นมิตรเช่นเดิม ในน้ำเสียงเชิญชวนนั้นแฝงความนัยอะไรบางอย่างที่ยากแก่การคาดเดา
“เอ่อ เท่าไหร่ครับ ถ้าแพงมากเกินไปผมคงสู้ราคาไม่ไหว”
ชาญชัยถามอย่างชั่งใจ สินค้าชิ้นนี้เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน อาจจะเป็นของที่ทำขึ้นมาเฉพาะและมีจำนวนไม่กี่ชิ้น และสินค้าที่เข้าข่ายตามนี้ไม่เคยมีราคาถูก แต่ว่าเจ้าของชิ้นนี้ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นถึงความงดงาม ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากจะละสายตาไปจากมันเลยแม้เพียงวินาทีเดียว
“คุณถือมันกลับไปได้เลยครับ”
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”
ชายหนุ่มคิดว่าได้ยินชัดเจน เพียงแต่ไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเท่านั้น เขาจึงถามเพื่อความแน่ใจ ผู้ดูแลร้านชรายิ้มก่อนจะทวนคำอีกครั้ง
“คุณถือมันกลับไปได้เลยครับ ที่ร้านนี้คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายด้วยเงิน”
พ่อค้าพูดพลางหยิบสินค้าส่งให้ถึงมือ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมแต่ชาญชัยก็รับมันไว้แต่โดยดี
“ที่นี่สินค้าจะเลือกผู้ที่เหมาะสมและคู่ควรกับมันด้วยตัวเองครับ และก็ดูเหมือนว่าสินค้าชิ้นนี้จะถูกใจคุณเข้าให้แล้ว ส่วนผมมีหน้าที่แค่คอยบริการเท่านั้น”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขารีบเก็บขวดแก้วที่เพิ่งรับมาใส่กระเป๋าสะพายอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าหากชักช้าเจ้าของร้านจะเปลี่ยนใจเอามันกลับไป
“ใช่แล้ว มันเลือกคุณ ขอให้มีความสุขอย่างเต็มที่กับมันนะครับ”
คำพูดของชายชราคล้ายคำอวยพรหรือไม่ก็เป็นคำพูดส่งเสริมการขายตามปกติ หากทว่าเพียงชายหนุ่มได้หันหลังกลับมามองก่อนที่จะเดินผ่านประตูร้านออกไป เขาจะพบรอยยิ้มประหลาดอันชวนขนหัวลุกปรากฏอยู่บนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้น
เมื่อกลับถึงบ้าน ชาญชัยหยิบขวดแก้วในเป้ขึ้นมาทันทีหลังจากที่แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนุ่ม สองมือช่วยกันประคองมันขึ้นในระดับสายตา หมุนไปมาในมุมต่างๆ เพ่งพิศเนิ่นนานไม่รู้จักเบื่อ
แสงสีเทานั้นค่อยๆ ขยายตัวออกกว้างใหญ่ขึ้นคล้ายหมู่ดาวในจักรวาล ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นความงามลึกล้ำ ยิ่งจ้องก็ยิ่งดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ไปสู่อีกมิติหนึ่งที่ทั้งสว่าง ผ่อนคลาย ล่องลอย ไร้น้ำหนัก
จนในที่สุดโลกทั้งใบก็ดับวูบลง
เช้าวันใหม่ ชาญชัยกลับไปยังสำนักพิมพ์เดิมพร้อมด้วยนิยายต้นฉบับชุดหนึ่ง
“เยี่ยมมาก นิยายเรื่องนี้สนุกจริงๆ เอาล่ะ เอาเป็นว่าทางเราจะซื้อเรื่องนี้ของคุณไว้ก็แล้วกันนะ”
บรรณาธิการชราคนเดิมที่ชาญชัยหมายมั่นว่าจะฝากชีวิตนักเขียนไว้ด้วยบอกเขาด้วยถ้อยคำที่ต่างออกไปจากทุกๆ ครั้ง สีหน้าและแววตาของชายชราฉายแววตื่นเต้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาเอ่ยปากชมตั้งแต่เริ่มอ่านจนจบเรื่องชนิดไม่ขาดปาก
“ขอบคุณมากครับ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณ หัวใจเต้นถี่ด้วยความตื่นเต้น ราวกับพบโอเอซิสกลางทะเลทราย มันเป็นรสชาติแห่งความสำเร็จที่ขาดหายไปนานจากชีวิต นานมากแล้วที่ไม่เคยได้รู้สึกแบบนี้
“ทำไมเมื่อวานคุณถึงไม่เอาเรื่องนี้มาเสนอผมล่ะ เขียนให้สนุกขนาดนี้ก็เขียนได้นี่นา ถ้าเขียนอย่างนี้แต่แรกก็คงมีหนังสือของตัวเองวางอยู่บนแผงไปนานแล้วล่ะ เอาอย่างนี้ ถ้ามีงานอื่นจะเสนออีก ก็ส่งมาให้ทางเราพิจารณาได้ตลอดเวลาเลยนะ หากเรื่องต่อๆ ไปดีอย่างนี้ ผมจะดูให้คุณก่อนเป็นกรณีพิเศษเลย”
“ครับ ได้ครับ ขอบคุณมากครับ”
ชาญชัยกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนเดินทางกลับด้วยสีหน้าแช่มชื่น ตอนนี้ปัญหาเรื่องเงินทองขาดมือผ่อนคลายลงแล้ว รายได้ครั้งนี้ช่วยต่อลมหายใจได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยความครึ้มใจเขาจึงแวะไปที่บาร์ประจำหลังฉลองให้กับความสำเร็จครั้งแรกของตนเอง
“คุณดูอารมณ์ดีนะครับ คงจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคุณในวันนี้”
ปกติบาร์เทนเดอร์คนนี้จะไม่ค่อยพูดจากับใคร เขามักก้มหน้าก้มตูทำหน้าที่ของตนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงทักทาย
“ใช่ มีเรื่องดีจริงๆ อย่างที่คุณว่า วันนี้งานของผมขายได้แล้ว”
ชาญชัยยิ้ม ลิ้มรสความขมของเครื่องดื่มจากแก้วในมือ เขาแกว่งแก้วเป็นวงกลมมองดูสีอำพันหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ อีกไม่นานใครๆ ก็คงรู้จักนักเขียนหนุ่มหน้าใหม่แล้วสินะครับ”
นักเขียนหน้าใหม่ยิ้มตอบ ยกแก้วในมือขึ้นตอบสนองแทนคำพูด รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับคำชมที่เพิ่งได้รับจากบาร์เทนเดอร์หนุ่ม
งานของเขา นิยายของเขาอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่หรอก อันที่จริงแล้วนิยายที่เพิ่งได้รับการตอบรับเมื่อเช้านี้เป็นงานของใครก็ไม่รู้ เมื่อเช้าที่ตื่นขึ้นมานิยายเรื่องนั้นก็วางอยู่บนโต๊ะทำงานในบ้านเรียบร้อยแล้ว
เสพความฝัน
ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝนหนา เสียงร้องครืนๆ เป็นระยะบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานเหล่าเมฆฝนสีแดงบนนั้นจะทนต่อไปอีกไม่ไหว มันรอคอยเพียงเวลาเหมาะสมที่จะปลดปล่อยห่าฝนที่กักเก็บเอาไว้ลงมายังเบื้องล่าง
ไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของชาญชัยที่กำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่เพียงลำพังในบาร์ร้านประจำ
เขาพยายามจินตนาการบรรยากาศภายนอกร้านและแปลงมันออกมาเป็นคำบรรยายสละสลวยในหัว แต่ในช่วงเวลาที่สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนแบบนี้ ชายหนุ่มพบว่ามันยากยิ่งกว่าเวลาปกติหลายเท่านัก
“อืม จะว่ายังไงดี งานคุณก็ดูน่าสนใจดีนะ แต่ผมว่ามันยังไม่ดีพอ เหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง งานคุณถือว่าครบรส มีทุกแนว แต่ผมว่ามันไม่สุด ซึ้งไม่สุด ตลกไม่สุด โหดไม่สุด น่ากลัวไม่สุด เอาเป็นว่าคุณกลับไปแก้ไขงานของคุณมาใหม่ก็แล้วกัน ลองเอาคำพูดของผมกลับไปคิดดูนะ”
เขานึกไปถึงบทสนทนาช่วงเช้ากับบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาถูกปฏิเสธงานเขียน
“งานคุณเกือบดีแล้ว เกือบใช้ได้แล้ว เกือบสำเร็จแล้ว เกือบ เกือบ เกือบ เกือบบ้าอะไรกันนักหนาโว้ย”
อารมณ์ขุ่นมัวบวกกับอาการเมายิ่งทำให้หัวเสียหนักขึ้นไปอีก มันเป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะให้โอกาส ให้กำลังใจ แต่นัยสำคัญของคำพูดนั้นก็คือการปฏิเสธแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นเท่านั้นเอง
แม้ในบาร์แห่งนี้จะมีเพียงแสงไฟสลัว แต่มันก็ยังไม่มืดมัวเท่าแสงในใจของชาญชัยในเวลานี้ เขายกแก้วในมือส่งของเหลวสีอำพันลงคอ ความสับสนลังเลกำลังขัดแย้งกันเองในใจ
จะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ดี อดทนต่อหรือถอดใจแล้วยอมรับในความไร้พรสวรรค์ของตัวเองเสียที
ถึงแม้จะไม่ใช่วันนี้ แต่ก็คงจะเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วที่ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป บางทีอาจต้องเก็บพับความฝันทั้งหมดลงไปในซอกหลืบของจิตใจ เดินคอตกกลับไปเป็นพนักงานออฟฟิศ ถูกขังอยู่ในกล่องแคบๆ ที่ไหนสักแห่งใจกลางเมือง และรอวันสิ้นเดือนเพื่อรับเงินประทังชีวิต
ชายหนุ่มฝันอยากเป็นนักเขียนนิยาย มโนภาพในยามนั้นช่างเจิดจรัสเปล่งประกายจนเขากล้าที่จะทิ้งตำแหน่งทิ้งงานประจำที่ทำอยู่และออกตามล่าความฝันนั้น หนังสือเล่มแรกจะเป็นการเปิดตัวนักเขียนอัจฉริยะหน้าใหม่ ผลงานชิ้นต่อๆ ไปจะสร้างชื่อและส่งให้เขากลายเป็นดาวค้างฟ้าในวงการนักเขียน
แต่ทว่าเวลานี้กลับไม่มีอะไรเป็นจริงสักอย่าง ทั้งหมดที่เคยคิดเหลือเพียงแสงริบหรี่ และมันยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เสียจนน่าเหนื่อยใจ
ตั้งแต่ลาออกมา ชาญชัยมีเพียงรายจ่ายโดยปราศจากเงินรายรับที่เติมกลับเข้าไปในบัญชี เขารู้สึกสูญเสียแม้แต่กำลังใจที่เคยเก็บหอมรอมริบไว้ ตลอดระยะเวลาที่คลำทางมา เขาใช้จ่ายทั้งสองสิ่งนี้ไปอย่างฟุ่มเฟือยตามรายทางจนแทบหมดสิ้นแล้ว
ชายหนุ่มยกแก้วในมือขึ้นกระดกอีกครั้ง แต่ได้ยินเพียงเสียงกรุ๋งกริ๋งของน้ำแข็งกระทบกัน เขารู้สึกหัวเสีย แม้แต่เหล้าก็ยังไม่เป็นใจ กระแทกก้นแก้วลงกับเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินออกจากร้าน
ท้องฟ้าภายนอกแดงฉานไปด้วยเมฆฝนที่ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงเย็น ดูไม่แตกต่างจากที่จินตนาการไว้ในหัวเมื่อสักครู่เท่าใดนัก ละอองน้ำบางเบาที่โปรยตัวลงมาปกคลุมไปทั่วเมืองส่งผลให้อากาศเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว
ไฟทางติดๆ ดับๆ แทนที่จะทำให้ผู้เดินเท้าได้รู้สึกปลอดภัย มันกลับชวนให้จินตนาการไปถึงเรื่องขนหัวลุกเสียมากกว่า ตลอดเส้นทางเดินไม่มีผู้คนหรือรถราสักคันผ่านมาให้เห็น
นี่กี่โมงกี่ยามกันแล้วนะ ตีสองหรือตีสาม ช่างเถอะ ไม่มีอะไรให้ต้องรีบร้อนอยู่แล้ว
ในหัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยปล่อยให้เท้าทั้งสองทำหน้าที่อย่างสะเปะสะปะไปตามทางเท้า ผ่านร้านค้า ผ่านตรอกซอกซอย ชาญชัยคุ้นเคยเส้นทางนี้ดีจนถึงขนาดที่หลับตาก็ยังรู้ว่ามีร้านอะไรอยู่บริเวณไหน แต่ทว่าวันนี้กลับมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ซอยเล็กๆ ที่อยู่ทางซ้ายมือข้างหน้าซึ่งปกติในเวลานี้จะมืดมิด แต่คืนนี้สายตาของเขาพลันสะดุดเข้ากับแสงเรืองๆ ที่เล็ดรอดออกมาจากในนั้น แสงนั้นเป็นสีฟ้าจางๆ ที่ดูอ้อยอิ่งดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด
ความมืดและความเงียบในซอยทำให้ยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความอยากรู้อยากเห็นต่ออะไรก็ตามที่อยู่ข้างในซอยนั้นจะมีชัย เขาตัดสินใจเดินตามแสงสีฟ้าเรืองรองนั้นเข้าไป
“ร้าน...”
หลอดฟ้าสีฟ้าขดตัวกันคล้ายตัวหนังสือ มันติดอยู่บนบานประตูไม้เก่าแก่ ชาญชัยคิดว่านั่นน่าจะเป็นชื่อร้าน เขาพยายามสะกดให้เป็นคำแต่จนแล้วจดรอดก็อ่านมันไม่ออก
ชื่อร้านที่อ่านไม่ออกแบบนี้จะมีคนสนใจได้ยังไง แล้วคิดยังไงกันเนี่ยถึงมาเปิดร้านในที่แบบนี้ ขนาดเดินผ่านบ่อยๆ ยังไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย
ชายหนุ่มคิดตำหนิเจ้าของร้านที่น่าจะไม่เข้าใจหลักการตลาดเลยสักนิดอยู่ในใจ เอื้อมมือหมายจะเปิดประตูเข้าไปดูในร้านเพราะไหนๆ ก็อุตส่าห์แวะมาแล้ว
แอ๊ด...ดดด
เขากลับรู้สึกเหมือนกับว่าบานประตูตรงหน้าเปิดออกเองก่อนที่มือจะได้สัมผัสถูกเนื้อไม้เสียอีก ชาญชัยก้าวเท้าเข้าไป กวาดตามองโดยรอบเพื่อตรวจสอบบรรยากาศของร้าน ในนี้กว้างขวางกว่าที่เห็นจากภายนอก ข้าวของส่วนใหญ่อยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่
ดูเหมือนสินค้าจะถูกวางไว้อย่างสะเปะสะปะ ไม่มีการจัดหมวดหมู่ ไม่มีการจัดเรียงให้เป็นระเบียบ ถึงแม้จะไม่สะอาดตาแต่ทว่าก็ไม่รกรุงรังจนไม่อยากเดินดูสินค้า
ตัดสินใจว่าจะลองเดินหาดูอะไรเล่นๆ เพียงลำพังหลังจากที่พยายามกวาดสายตาเพื่อหาเจ้าของร้าน ข้าวของที่นี่ออกจะดูแปลกตาในความคิด หลายชิ้นชายหนุ่มเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต และอีกจำนวนมากที่เขาไม่รู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไร
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ สายตาพลันสะดุดกับสินค้าชิ้นหนึ่งจนถึงกับทำให้ต้องหยุดยืนพินิจพิเคราะห์อยู่นานสองนาน มันเป็นขวดแก้วใสขนาดพอดีมือ ภายในบรรจุสารอะไรบางอย่างที่ส่องแสงสีเทาหม่นๆ ออกมา
ไม่ได้สวยงามอะไร แต่แสงนั่นทำให้เกิดแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
เสียงทุ้มยานคางดังมาจากทางด้านหลัง ชาญชัยซึ่งกำลังเพลิดเพลินอยู่กับแสงสีเทาในขวดถึงกับสะดุ้งที่จู่ๆ ก็มีคนมาอยู่ใกล้โดยที่ไม่รู้ตัว เขาหันไปมองและพบว่าเจ้าของเสียงทักทายเป็นชายชราที่มีใบหน้าซูบผอมซึ่งอาบไปด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรไมตรี
“คุณ เอ่อ...”
“ผมเป็นผู้ดูแลที่นี่ครับ”
ชายชราตอบโดยที่ไม่ต้องรอให้ชายหนุ่มถามจนจบ หลังจากนั้นก็เริ่มทำหน้าที่ของผู้ดูแลร้านที่ดีตามที่ได้แจ้งไว้กับลูกค้าผู้มาเยือน
“คุณสนใจสินค้าชิ้นนี้อย่างนั้นหรือครับ”
น้ำเสียงทุ้มนั้นฟังดูนุ่มนวลน่าเชื่อถือ ใบหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงทักษะอันยอดเยี่ยมในการทำการค้าของชายชรา
“อืม ก็ไม่เชิงครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่า...”
“มันน่าดึงดูด มันชวนหลงใหล ใช่มั้ยครับ”
เป็นอีกครั้งที่ไม่ต้องรอให้คู่สนทนาพูดจนจบ ราวกับว่าพ่อค้าคนนี้มองทะลุไปจนถึงความคิดอ่านของลูกค้าได้
“ใช่ มันน่าดึงดูด”
ชายหนุ่มพูดแผ่วเบาคล้ายรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า สายตาไม่ยอมละออกจากแสงสีเทาในขวดแก้วตรงหน้า
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่นำมันกลับไปล่ะครับ คุณลูกค้า”
ชายชราพูดกระตุ้นด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นมิตรเช่นเดิม ในน้ำเสียงเชิญชวนนั้นแฝงความนัยอะไรบางอย่างที่ยากแก่การคาดเดา
“เอ่อ เท่าไหร่ครับ ถ้าแพงมากเกินไปผมคงสู้ราคาไม่ไหว”
ชาญชัยถามอย่างชั่งใจ สินค้าชิ้นนี้เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน อาจจะเป็นของที่ทำขึ้นมาเฉพาะและมีจำนวนไม่กี่ชิ้น และสินค้าที่เข้าข่ายตามนี้ไม่เคยมีราคาถูก แต่ว่าเจ้าของชิ้นนี้ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นถึงความงดงาม ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากจะละสายตาไปจากมันเลยแม้เพียงวินาทีเดียว
“คุณถือมันกลับไปได้เลยครับ”
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”
ชายหนุ่มคิดว่าได้ยินชัดเจน เพียงแต่ไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเท่านั้น เขาจึงถามเพื่อความแน่ใจ ผู้ดูแลร้านชรายิ้มก่อนจะทวนคำอีกครั้ง
“คุณถือมันกลับไปได้เลยครับ ที่ร้านนี้คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายด้วยเงิน”
พ่อค้าพูดพลางหยิบสินค้าส่งให้ถึงมือ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมแต่ชาญชัยก็รับมันไว้แต่โดยดี
“ที่นี่สินค้าจะเลือกผู้ที่เหมาะสมและคู่ควรกับมันด้วยตัวเองครับ และก็ดูเหมือนว่าสินค้าชิ้นนี้จะถูกใจคุณเข้าให้แล้ว ส่วนผมมีหน้าที่แค่คอยบริการเท่านั้น”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขารีบเก็บขวดแก้วที่เพิ่งรับมาใส่กระเป๋าสะพายอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าหากชักช้าเจ้าของร้านจะเปลี่ยนใจเอามันกลับไป
“ใช่แล้ว มันเลือกคุณ ขอให้มีความสุขอย่างเต็มที่กับมันนะครับ”
คำพูดของชายชราคล้ายคำอวยพรหรือไม่ก็เป็นคำพูดส่งเสริมการขายตามปกติ หากทว่าเพียงชายหนุ่มได้หันหลังกลับมามองก่อนที่จะเดินผ่านประตูร้านออกไป เขาจะพบรอยยิ้มประหลาดอันชวนขนหัวลุกปรากฏอยู่บนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้น
เมื่อกลับถึงบ้าน ชาญชัยหยิบขวดแก้วในเป้ขึ้นมาทันทีหลังจากที่แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนุ่ม สองมือช่วยกันประคองมันขึ้นในระดับสายตา หมุนไปมาในมุมต่างๆ เพ่งพิศเนิ่นนานไม่รู้จักเบื่อ
แสงสีเทานั้นค่อยๆ ขยายตัวออกกว้างใหญ่ขึ้นคล้ายหมู่ดาวในจักรวาล ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นความงามลึกล้ำ ยิ่งจ้องก็ยิ่งดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ไปสู่อีกมิติหนึ่งที่ทั้งสว่าง ผ่อนคลาย ล่องลอย ไร้น้ำหนัก
จนในที่สุดโลกทั้งใบก็ดับวูบลง
เช้าวันใหม่ ชาญชัยกลับไปยังสำนักพิมพ์เดิมพร้อมด้วยนิยายต้นฉบับชุดหนึ่ง
“เยี่ยมมาก นิยายเรื่องนี้สนุกจริงๆ เอาล่ะ เอาเป็นว่าทางเราจะซื้อเรื่องนี้ของคุณไว้ก็แล้วกันนะ”
บรรณาธิการชราคนเดิมที่ชาญชัยหมายมั่นว่าจะฝากชีวิตนักเขียนไว้ด้วยบอกเขาด้วยถ้อยคำที่ต่างออกไปจากทุกๆ ครั้ง สีหน้าและแววตาของชายชราฉายแววตื่นเต้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาเอ่ยปากชมตั้งแต่เริ่มอ่านจนจบเรื่องชนิดไม่ขาดปาก
“ขอบคุณมากครับ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณ หัวใจเต้นถี่ด้วยความตื่นเต้น ราวกับพบโอเอซิสกลางทะเลทราย มันเป็นรสชาติแห่งความสำเร็จที่ขาดหายไปนานจากชีวิต นานมากแล้วที่ไม่เคยได้รู้สึกแบบนี้
“ทำไมเมื่อวานคุณถึงไม่เอาเรื่องนี้มาเสนอผมล่ะ เขียนให้สนุกขนาดนี้ก็เขียนได้นี่นา ถ้าเขียนอย่างนี้แต่แรกก็คงมีหนังสือของตัวเองวางอยู่บนแผงไปนานแล้วล่ะ เอาอย่างนี้ ถ้ามีงานอื่นจะเสนออีก ก็ส่งมาให้ทางเราพิจารณาได้ตลอดเวลาเลยนะ หากเรื่องต่อๆ ไปดีอย่างนี้ ผมจะดูให้คุณก่อนเป็นกรณีพิเศษเลย”
“ครับ ได้ครับ ขอบคุณมากครับ”
ชาญชัยกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนเดินทางกลับด้วยสีหน้าแช่มชื่น ตอนนี้ปัญหาเรื่องเงินทองขาดมือผ่อนคลายลงแล้ว รายได้ครั้งนี้ช่วยต่อลมหายใจได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยความครึ้มใจเขาจึงแวะไปที่บาร์ประจำหลังฉลองให้กับความสำเร็จครั้งแรกของตนเอง
“คุณดูอารมณ์ดีนะครับ คงจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคุณในวันนี้”
ปกติบาร์เทนเดอร์คนนี้จะไม่ค่อยพูดจากับใคร เขามักก้มหน้าก้มตูทำหน้าที่ของตนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงทักทาย
“ใช่ มีเรื่องดีจริงๆ อย่างที่คุณว่า วันนี้งานของผมขายได้แล้ว”
ชาญชัยยิ้ม ลิ้มรสความขมของเครื่องดื่มจากแก้วในมือ เขาแกว่งแก้วเป็นวงกลมมองดูสีอำพันหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ อีกไม่นานใครๆ ก็คงรู้จักนักเขียนหนุ่มหน้าใหม่แล้วสินะครับ”
นักเขียนหน้าใหม่ยิ้มตอบ ยกแก้วในมือขึ้นตอบสนองแทนคำพูด รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับคำชมที่เพิ่งได้รับจากบาร์เทนเดอร์หนุ่ม
งานของเขา นิยายของเขาอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่หรอก อันที่จริงแล้วนิยายที่เพิ่งได้รับการตอบรับเมื่อเช้านี้เป็นงานของใครก็ไม่รู้ เมื่อเช้าที่ตื่นขึ้นมานิยายเรื่องนั้นก็วางอยู่บนโต๊ะทำงานในบ้านเรียบร้อยแล้ว