Trekking In Spain สามฤดู Autumn (ฤดูใบไม้ร่วง) Spring (ฤดูใบไม้ผลิ) และ Summer (ฤดูร้อน)

จำได้ว่าครั้งแรกที่ออกไปเดินเขา คือ ตอนสมัยที่อยู่ชั้น ม.ปลาย เนื่องจากว่าตอนนั้นเป็นการรวมตัวกันกับเพื่อน ๆ เกือบทั้งห้องเพื่อจัดทริปเที่ยวภูกระดึง ซึ่งตอนเดินขึ้นภูนั้นรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปช้ามาก และต้องใช้พลังมหาศาลในการพาตัวเองขึ้นไปสู่ยอดภูกระดึง  ความเหนื่อยในครั้งนั้นทำให้แรงบันดาลใจในการเดินเขาแทบจะสูญสิ้น  เพราะถ้าพูดถึงการเดินเขาแล้ว ผมจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที เหมือนใจเราไม่ยอมเปิดรับอะไรที่เกี่ยวกับการเดินเขาอีกเลย
       ในเวลาต่อมาการเดินเขากลับกลายเป็นสิ่งที่ผมชอบมาก  และผมจะชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการเล่าประสบการณ์ในการเดินเขา ผมว่ามันน่าสนใจ และเหมือนว่าเรากำลังเดินทางไปกับผู้เขียน อ่านแล้วรู้สึกมีอารมณ์ร่วม ผมพยายามหาโอกาสในการเดินเขาอยู่เรื่อย ๆ แต่ในเคสของผมนั้นเป็นแค่การเดินเขา ชมความงามของธรรมชาติ ธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นเขามหาโหดอย่างหิมาลัย มาชูปิกชู อะไรแบบนั้น จริง ๆ แล้วถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำแบบนั้นบ้าง แต่ตอนนี้แบงค์ห้าสิบยังเก็บได้ไม่กี่ใบเอง

       ผมได้มีโอกาสไปประเทศสเปนอยู่บ่อยครั้ง และในทุกครั้งที่ไปจะต้องมีทริปการเดินเขาอยู่เสมอ ผมจึงถือโอกาสนี้มาแชร์ประสบการณ์จากการเดินเขาในสามฤดูของประเทศสเปน นั่นคือ  Autumn (ฤดูใบไม้ร่วงหรือที่เราเรียกว่าใบไม้เปลี่ยนสี)  Spring (ฤดูใบไม้ผลิ) และ Summer (ฤดูร้อน) ซึ่งในแต่ละฤดูที่นั้น บรรยากาศและความรู้สึกในการเดินเขาก็จะแตกต่างกันออกไป และในแต่ละฤดูก็จะมีเสน่ห์ในตัวของมัน จริง ๆ แล้ว ความงามของธรรมชาติก็มีอยู่ในทุกฤดูนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเราจะมีโอกาสได้สัมผัสกับธรรมชาติในช่วงเวลาไหนเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกัน สำหรับผมแล้ว ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการออกเดินทาง คือ เงิน และ เวลา

Autumn (ฤดูใบไม้ร่วง)

       Ordesa  (Pineta) (ตุลาคม 2012)
       จากหมู่บ้านที่ผมพัก ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน เป็นพื้นที่ที่มีภูเขาเยอะมาก และขับรถเพียงแค่ 45 นาทีก็ถึงทางเข้าของอุทยานแห่งชาติ Ordesa ซึ่งเป็นอุทยานฯ ที่ใหญ่มาก วันนี้ผมจึงเลือกเดินทางที่สั้นที่สุด  ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที เรามาถึงจุดจอดรถบริเวณทางเข้าอุทยานฯ ซึ่งเป็นลานขนาดกว้าง ด้านหน้าทางขึ้นอุทยาณฯ มีสนามเด็กเล่นเล็ก ๆ ตั้งอยู่  วันนี้อากาศเย็นสบาย ไม่หนาว ไม่ร้อน กำลังดีเลย จุดเริ่มต้นทางเดินเป็นทางชัน  ซึ่งมีลักษณะเหมือนเดินขึ้นเขา ซึ่งผมไม่ค่อยชอบการเดินแบบเดินขึ้นเขาสักเท่าไหร่ เพราะเราต้องใช้พลังในการเดินเยอะมาก และทำให้เราเหนื่อยเร็วอีกด้วย  



       ระหว่างทางเดินช่วงแรกจะมีต้นไม้คอยให้ร่มเงา ถึงแม้ว่าแดดจะเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังยังรู้สึกเย็นสบาย พอพ้นแนวเขตต้นไม้ ก็จะเป็นทางเดินโล่ง ๆ หมายถึงไม่มีต้นไม้คอยให้ร่มเงาอีกต่อไป แถมยังมีเศษหินกระจัดกระจายอยู่ตามทางเดิน ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดิน ยิ่งบางครั้งเราต้องปีนก้อนหินเพื่อเดินขึ้นเขา ประกอบกับแดดร้อน ๆ ซึ่งต้องใช้พลังในการเดินเพิ่มมากขึ้น สักพักผมเริ่มหอบแฮ่ก ๆ พร้อมกับหยุดพักเป็นระยะ ๆ และบ่นในใจว่า เมื่อไหร่จะถึงสักที




       พอเดินผ่านช่วงทางเดินที่เป็นหินก็จะเป็นทางเดินธรรมดา ซึ่งเป็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยสนามหญ้าและมีม้าอยู่สองสามตัวกำลังเดินกินหญ้าอยู่  การเดินของบริเวณนนี้ถือว่าเป็นการเดินที่ง่ายที่สุด แต่ติดที่ตรงไม่มีร่มไม้ให้คลายร้อนแค่นั้น ถัดจากลานกว้างลักษณะทางเดินเปลี่ยนเป็นการเดินบนไหล่เขา ซึ่งเหนื่อยน้อยกว่าการเดินบนเศษหินเล็กน้อย ระหว่างทางเดินจะมองเห็นน้ำตกซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราอยู่ไกล ๆ เดินอีกอึดใจเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว




       ผมเดินสำรวจน้ำตกรอบ ๆ ซึ่งมีเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ ขึ้นไปอยู่บนยอดของน้ำตกและคุยกันอย่างสนุกสนาน ทำให้นึกถึงสมัยที่เราออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ บริเวณที่น้ำตกไหลลงมาจะมีคล้าย ๆ แอ่งน้ำรองรับอยู่ น้ำที่ตกลงมารวมตัวกันเป็นสีฟ้าใสน่าโดดลงไปว่ายเล่น แต่เมื่อผมลองจุ่มมือลงสัมผัสปรากฏว่าน้ำเย็นมาก เย็นเหมือนน้ำแข็ง ความคิดเรื่องจะลงไปว่ายน้ำหายไปกับสายลมและแสงแดด



       ผมเดินสำรวจบริเวณที่จะนั่งพักเพื่อทานมื้อกลางวันที่เตรียมมา บริเวณนั้นไม่ค่อยมีร่มไม้ให้หลบนั่ง มีเพียงต้นไม้เล็ก ๆ ให้พอหลบแดดได้นิดหน่อย ผมจัดเตรียมอาหารที่เตรียมมาแล้วทานมื้อเที่ยงท่ามกลางเสียงน้ำตก อากาศเย็นสบายใต้ร่มไม้ มีแสงแดดสาดแสงส่องผ่านเล็กน้อย หมูทอดกระเทียมกับข้าวสวย ทานคู่กับปลากระป๋องที่เตรียมมาจากเมืองไทย มีน้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่ม ช่างมีความอร่อยกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ พอทานมื้อกลางวันเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนฟังเสียงน้ำตก เป็นอะไรที่ผ่อนคลายยิ่งนัก ทำให้นึกขึ้นมาว่า ครั้งสุดท้ายที่เรารู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มันเมื่อไหร่กันนะ  นึกยังไงก็นึกไม่ออก บางทีเราควรจะพาตัวเองออกไปอยู่กับธรรมชาติบ้าง  บางครั้งสายลมและแสงแดดจากธรรมชาตินี่แหละจะเป็นตัวพัดพาและแผดเผาความเจ็บปวดหรือปัญหาต่าง ๆ ที่เราประสบมา เราพาตัวเองออกมาให้ธรรมชาติเยียวยาความเครียดเหล่านั้นให้หายกันเถอะ มันช่วยได้จริง ๆ นะ


       หลังจากที่แอบงีบไปพักใหญ่  ก็ได้เวลาต้องเดินทางกลับ ระหว่างทางกลับผมเลือกที่จะเดินกลับอีกทาง ซึ่งจะไม่ใช่ทางเดิมที่เดินขึ้นมา  ระหว่างทางกลับนี้จะเจอกับน้ำตกขนาดเล็กอยู่  ขากลับแดดไม่แรงเหมือนตอนขามา และทางเดินไม่ค่อยมีเศษหิน ทำให้การเดินกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่นัก หลังจากผ่านน้ำตกขนาดเล็กก็จะเป็นการเดินผ่านป่าที่มีต้นไม้หนาทึบ แต่ยังเห็นทางเดินชัดเจน ผมเดินทะลุต้นไม้ที่เรียงรายกันสักพักก็มาโผล่ที่ลานจอดรถ ถึงแม้ว่าการเดินเขาครั้งนี้ของผมจะเป็นการเดินแบบสั้น ๆ และเป็นการเดินเขาครั้งแรกที่สเปน กลับเป็นการเริ่มต้นการเดินเขาที่ประทับใจ และทำให้เราได้เรียนรู้กฏข้อหนึ่งว่า สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น สวยงามเสมอ



แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่