เน้นค่ะ กะทู้นี้ไม่ใช่ "ขายตรง!!!" หรือโฆษณาสินค้าหรือธุรกิจใด ๆ ทั้งสิ้น
เป็นกะทู้ที่ต้องการแบ่งปัน แนวทางชีวิตการทำงาน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับชีวิตคนทำงานอีกทางหนึ่ง
เป็นกะทู้แรกของชีวิตนักการตลาดที่ไม่เคยตั้งกะทู้เอง แต่รู้จักชาวพันทิปอย่างดีค่ะ
ตัวเองเริ่มทำงานตั้งแต่เรียนจบป.ตรีเลย ฐานะยากจน เด็กบ้านนอกจังหวัดใหญ่ เรียนโรงเรียนประจำจังหวัดที่ติดอันดับ Top 5 และสอบเข้ามหาวิทยาลับปิดของรัฐในจังหวัดไม่มีโอกาสเรียนพิเศษติวในกรุงเทพฯ เรียกว่า ตั้งแต่เกิด เรียนและจบในจังหวัดเลย คือ เด็กบ้านนอกของแท้ 100%
เริ่มทำงานมีโอกาสดีได้ทำในบริษัทฯใหญ่เลยคือ ซีพี (ระบุชื่อบริษัทฯ เพื่อถือโอกาสขอบคุณสำหรับรากฐานแนวคิด วิธีคิดที่ดีที่สามารถเอามาเลือกปฏิบัติต่อยอดการทำงานจนถึงปัจจุบัน) แล้วก็เปลี่ยนบริษัทอีกเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นบริษัทฯใหญ่ที่มียอดขาย ไม่ต่ำกว่า พันล้านบาทต่อปี
ทำงานไต่เต้าจนสุดท้ายตำแหน่งที่ทำก่อนลาออกจากการเป็นลูกจ้างมืออาชีพนั้นรับเงินเดือนอยู่เกือบสองแสนบาทต่อเดือนไม่รวมสวัสดิการอื่น ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบ เรื่อง การตลาดและขายยอดขายห้าพันกว่าล้านต่อปี มีทีม มีสมุนมากมายมีเจ้านายที่รายงานตรงในประเทศและต่างประเทศ เรียกว่า ทำงานแบบดูเหมือนใหญ่โต แต่ต้องทำงานทุกระดับประทับใจเลยค่ะ เบ๊ยันบิ๊ก จ่ายแล้วคุ้มว่างั้นเหอะ
ความกดดัน ความยากลำบาก ความคาดหวัง ไม่ต้องบอกก็คงประมาณกันออกว่า "สุด ๆๆ" ปกติเป็นคนเฮฮา มองโลกบวก ยอมรับความจริง และเจ้านายมักจะบอกว่าเราทำงาน ภายใต้ความกดดันได้ดี แต่จะดีแค่ไหนก็มีวัน "หลุด" พักหลัง ๆ เริ่มรู้สึกตัวเองไม่สนุกกับงาน ไม่ท้าทาย และเริ่มไม่นับถือตัวเองเพราะบ่อยครั้งต้องทำงานแบบ "จำต้องทำ" เพราะการเมืองในบริษัทฯ รุนแรงเหลือเกิน
ก็เก็บเอามาคิดต่อว่า ถ้าไม่อยากทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหน ?? จะไปทำธุรกิจเองเหรอ ก็ไม่ใช่เป้าหมายของเราหรือถ้าจะทำ เราก็เห็นกันอยู่ทุกวันตรงหน้าว่า ธุรกิจใข้เงินหมุนเวียนมากมาย เอาแล้วไง ตัวเรานี่ "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"
แต่เราก็บอกกับตัวเองว่า "ปัญหามีทางออกเสมอ" อยู่ที่เราเลือกมองและตั้งสติกับมัน
ทนฝืนทำงานบริหารอยู่อีกไม่กี่เดือน ก็ถึงวันที่เราปฏิเสธตัวตนเราไม่พ้น จู่ ๆ ก็ ลาออก แบบไม่ได้วางแผน เพราะฝืนทำงานต่อก็อึดอัดที่สุด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกละอายใจที่ต้องทำงานกินเงินเดือนแบบไม่มีใจให้อีกแล้ว ถ้าเราทำอะไรไม่นับถือตัวเองก็ยากที่จะสุขกับมัน อีกอย่าง ตัวเราเองก็บอกตัวเองว่า ถ้าสุดทนแล้วจริง ๆ ก็ออกมาเหอะ อยู่แล้วนั่งด่าบริษัทฯที่ตัวเองรับเงินเดือน มองหามุมดีไม่พบ แต่ด้านหน้าด้านทนกินเงินเดือนแบบเอาเปรียบบริษัทเหรอ สู้ออกมาตั้งหลัก ดีกว่า
ออกมา 5 ปีล้มลุกคลุกคลานทำธุรกิจเอง ก็ไปได้ดี แต่ไม่ดีถึงที่สุด เป็นหนี้เป็นสินมากมาย แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราใช้ชีวิตแบบไม่มี "เป้าหมาย"
แล้ว "เป้าหมาย" สำหรับเราคืออะไร ไหนลองบอกมาซิ (คุยกับตัวเอง)
1. ไม่ต้องการธุรกิจโรงงานใหญ่โต
2. ไม่อยากหมุนเงิน หาทุน กู้แบงค์มากมาย มาขยายกิจการ
3. ไม่ขายตรง
4. ไม่อยากคุมทีมใหญ่โตมากมาย
5. ชอบงานบริหาร วางแผนการตลาด การขาย
6. ท้าทายกับเป้าหมายยอดขายหลักร้อยหลักพัน ไม่กลัวยอด !!!
7. มนุษย์สัมพันธ์ดี ไม่อ่อนไป ไม่แข็งไป กล้าได้กล้าเสีย
8. ใช้โปรแกรม office ได้ดีมาก ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นหรือเลขา (สมัยทำงาน ทำเองทั้งหมด แล้วให้ทีมเติมรายละเอียด)
9. ไม่ยึดติดหัวโขนภาพลักษณ์ ติดดิน แต่มีบุคลิกภาพมั่นใจ เป็นมิตร และมีความเป็นผู้นำ
10. ภาษาอังกฤษ เขียน อ่าน พูดสื่อสาร ได้ดี (เกิดจากการฝึกฝนล้วน ๆ เป็นเด็กศิลป์ ภาษา Grammar เป๊ะ ฝึกพูดจากชีวิตทำงาน ไม่เคยมีโอกาสไปเรียนต่อเมืองนอก)
11. ทักษะการคำนวณ, ประเมิน,วางแผนงานขาย ตลาด และ ระบบงบประมาณ มีระดับผู้บริหารรระดับสูง (อธิบายเพิ่มเติมคือ ผู้บริหารงานการตลาดและขาย บางบริษัทฯ ดูเรื่องกลยุทธิ์และกำกับทิศทางจากสำนักงานใหญ่ แต่ที่ตัวเองได้มีโอกาสได้มีส่วนร่วมคือ ระดับ Corporate)
12. ชอบทำงานใหม่ ๆ มีโอกาสได้ทำงาน Business Development ที่ได้เห็น สินค้าใหม่ ๆ และ กลยุทธิ์ใหม่ ๆ เสมอ
แล้วทั้งหมด 12 ข้อที่ว่า เราไปทำอะไรได้ล่ะ ??
รวบรัดตัดตอนให้เข้าใจง่ายคือหา "นายทุน"
นายทุน แบบไหน ??
ต่อไปนี้คือแนวทางการทำงานที่แบ่งปันจากประสบการณ์ส่วนตัว ขอให้แต่ละท่านนำไปใช้พิจารณาด้วยวิจารณญาณของตัวเองประกอบนะคะ
เรา Walk in ไปคุยกับโรงงานที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อนพ้องที่รักกัน ว่า มีโรงงานที่ต้องการผลิต และ พัฒนาสินค้า ที่เป็นแบรนด์ของตัวเองแล้วจัดจำหน่ายเข้าห้างและช่องทางการจัดจำหน่ายอื่น ๆ แต่โรงงานเหล่านี้ หามือบริหาร ที่เป็นตัวจริงเสียงจริงไม่ได้
เพราะ ...
ตัวจริงเสียงจริง ก็ไม่กล้ากระโดดข้ามธุรกิจ
โรงงานเองก็ไม่กล้าจ้างตัวจริงเสียงจริง เพราะ ไม่มั่นใจว่าจะไปกันรอด เคมีเข้ากันได้แค่ไหน วิสัยทัศน์สอดคล้องกันหรือไม่ ต่างคนต่างอยู่กันละอุตสาหกรรม ลงทุนไปแล้วผู้บริหารอยู่ไม่ยืดเหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจ และอีกมากมายหลายปัจจัย
เมื่อรู้ปัญหาและอุปสรรคความคิดเหล่านี้แล้ว เราจึงพูดคุยและเสนอแนวคิดหลักการทำงานร่วมกันกับโรงงานที่ไปคุยด้วยโดย ...
เรายินดีร่วมพัฒนา ออกแบบ พัฒนา ให้ concept สินค้า พร้อมกำหนดกลยุทธิ์แผนการตลาด แผนการขาย และกลยุทธิ์ทั้งหมดให้ สรุปคืองานหน้าบ้านเรารับวางแผนทำงานให้หมด
โรงงานเป็นนายทุนผลิตสินค้า บริหารงาน พนักงาน office และค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ยอดขายสินค้าทั้งหมดขายเข้าในนามโรงงาน เก็บเงิน วางบิล โดยหน้าบัญชีโรงงาน
เรารับเงินตอบแทนเป็นส่วนแบ่งรายได้ หรือ ส่วนแบ่งจากกำไรสุทธิ์ (แล้วแต่จะตกลง)
ผลปรากฏว่า โรงงาน โอเคตอบตกลง โดยที่เราไม่ได้ทำสัญญาลายลักษณ์อักษรใด ๆ ทั้งสิ้น สัญญาใจล้วน ๆ พนันกันว่างั้นเหอะ
ทำไมโรงงานถึงตอบตกลง
เพราะ .....
โรงงานไม่ต้องเสี่ยงเรื่องผุ้บริหารอย่างเรา ยังไม่ต้องจ่ายเงิน จนกว่าจะมียอดขาย
โรงงานใช้กำลังการผลิต และ พนักงานเดิม
โรงงานต้องดำเนินหาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งความเสี่ยงเกิดขึ้นทุกกรณี แต่กรณีเราคือ เค้าเสี่ยงในการร่วมงานกับเรา สิ่งที่เสี่ยงที่สุดคือคือแค่ "เสียเวลา"
ส่วนเรา ที่ยอมเสี่ยง เพราะ เสี่ยงเพื่อโอกาสที่ดีกว่า หนีจากสภาพเงื่อนไขเดิม ๆ แต่ทั้งนี้ ทั้งหมดก่อนเราจะตัดสินใจ ก็ผ่านกระบวนการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด วิสัยทัศน์กัน ในวันนั้นคุยกัน 5 ชั่วโมงรวด !!!! ก็ต้องใช้ประสบการณ์, ตรวจสอบประวัติ ชื่อเสียงผ่านหลาย ๆ ช่องทาง และ สัญชาตญาณในการวิเคราะห์ร่วมด้วยเป็นสำคัญ
โชคดีคือผู้บริหารโรงงานท่านนี้มีวิสัยทัศน์ ใจกว้าง หนักแน่น ยุติธรรม มีจรรยาบรรณที่ดี รักษาคำพูด แน่วแน่ พูดจริง ทำจริง
ตัวเราเองก็มีประวัติการทำงานที่ผ่านมาดี กลับไปพบพูดคุยกับผู้บริหารต่าง ๆ ก็ไม่เคอะเขิน ตัวเราเองก็ต้องมีทัศนคติที่บวก ไม่ใจแคบ ไม่งก ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว
ช่วง 4 เดือนแรกเราไม่มีเงินเลย เพราะเงื่อนไขคือ เราขอเป็นส่วนแบ่งรายได้สุทธิ (เรื่องนี้หากมีคนสนใจ จะอธิบายในรายละเอียดให้อีกครั้งนะคะ) กว่าจะผ่านมาได้เรียกว่าแทบ "ไม่มีจะกิน" กว่าจะพัฒนาสินค้า กว่าจะเสนอขาย กว่าจะผลิต กว่าจะเข้าขาย กว่าจะเก็บเงิน ทั้งหมดคือรูปแบบ "การลงทุน" ของเราประเภทหนึ่ง
และแล้วเมื่อมียอดขายและเก็บเงินได้ เราก็จะเริ่มมีรายได้ต่อเนื่องทุกเดือน ทั้งนี้ ตัวเราเองก็ต้องสร้างยอดขายเกิดขึ้นทุกเดือนเช่นกัน
ปัจจุบันเรามีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ประมาณ 5 แสนบาท มากน้อยขึ้นกับยอดขายและยอดเก็บเงินของเดือนนั้น ๆ
เป้าหมายจ่ายหนี้สินให้หมดโดยเร็ว แล้วหลังจากนั้นก็จะทุ่มเทให้กับการดูแลครอบครัวให้มากขึ้นกว่าเดิม
ชีวิตดี๊ดีขึ้นค่ะ มีโอกาสเข้าร่วมคอร์สเรียนต่าง ๆ เข้าโครงการฝึกอบรมพัฒนาตัวเอง ท่องเที่ยวไม่แพง สมถะ มีอิสระมากขึ้น นับถือตัวเองมากขึ้น แต่ก็แบกรับความคาดหวังจากผู้บริหารโรงงานนายทุน อยู่ดี แต่ก็ดีกว่าการเป็นลูกจ้างประจำนะคะ
ปัจจุบันอายุ 48 ปีแล้ว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ลูกสาวอายุ 18 อีก 2 ปีก็คงต้องแยกย้ายกันเพราะเค้าต้องไปเรียนอเมริกา
ทุกวันนี้ตัวเองได้ใช้ชีวิตที่เป็นอิสระ ติดดิน ได้เลี้ยงดู แม่ที่แก่แล้ว และพี่ชายที่พิการ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้คน รู้จักการแบ่งปัน ใจเย็นขึ้นมาก ๆ ได้เปิดโลกทัศน์ตัวเอง ได้เห็นคนเก่งจริง รวยจริง ที่นิสัยดีแสนดี อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด เราสามารถเอามาเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต
อีกมุมหนึ่ง เราได้เห็นคนที่เห่อเหิม หลงระเริง ดูถูกผุ้อื่น มีปมในชีวิตพยายามกลบลบปมด้อย หาปมเด่นด้วยการเหยียดหยามให้คนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น ก็เยอะ
ทุกครั้งทีท้อถอย หรือ อยากยอมแพ้ ด้วยหลากหลายสาเหตุ ก็จะนึกถึง "ในหลวง" คิดถึงท่านแล้วก็พยักหน้าแล้วยิ้มกับตัวเอง เพื่อสู้ต่อไปอย่างมีเป้าหมาย
ทุกวันไม่ได้เป็นวันที่มีความสุขทุกวันหรอกค่ะ บางวันก็ทุกข์แสนทุกข์ แต่ให้คิดว่า นี่คือบททดสอบที่ยังไงเราก็ต้องสอบผ่านมันได้ เพราะ ไม่มีคำว่า "สอบตก หรือ สอบไม่ผ่านในชีวิตเรา" มีแต่แค่ว่า "เราต้องสอบใหม่" แค่นั้นเองค่ะ finally เราก็ "สอบผ่าน ผ่านพ้นมันได้" แน่นอน
เป็นกำลังใจกับผู้บริหาร พนักงานบริษัทที่กินเงินเดือนหาทางออกให้กับตัวเองอยู่นะคะ
ตัวเองก็ยังต้องหาทางต่อสู้ฝ่าฟันไปทุกวันเหมือนกันค่ะ ณ วันนี้วันที่แบ่งปันบนพันทิป ก็ยังไม่ได้เป็นบทสรุปจบว่าเราสำเร็จ แต่อย่างน้อย การที่เรา "สู้" และ "พยายาม" มันทุกวัน ก็ดีกว่าเรานั่งคิดแล้วไม่ได้ลงมืออะไรเลย
สู้ๆ ค่ะ ทุกคนชาวพันทิป
เป็นผู้บริหารมืออาชีพมาเกือบ 20 ปี ถึงวันที่อยากจะปลดแอกชีวิตออกมาใช้ชีวิตนายตัวเอง ... เมื่อความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
เป็นกะทู้ที่ต้องการแบ่งปัน แนวทางชีวิตการทำงาน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับชีวิตคนทำงานอีกทางหนึ่ง
เป็นกะทู้แรกของชีวิตนักการตลาดที่ไม่เคยตั้งกะทู้เอง แต่รู้จักชาวพันทิปอย่างดีค่ะ
ตัวเองเริ่มทำงานตั้งแต่เรียนจบป.ตรีเลย ฐานะยากจน เด็กบ้านนอกจังหวัดใหญ่ เรียนโรงเรียนประจำจังหวัดที่ติดอันดับ Top 5 และสอบเข้ามหาวิทยาลับปิดของรัฐในจังหวัดไม่มีโอกาสเรียนพิเศษติวในกรุงเทพฯ เรียกว่า ตั้งแต่เกิด เรียนและจบในจังหวัดเลย คือ เด็กบ้านนอกของแท้ 100%
เริ่มทำงานมีโอกาสดีได้ทำในบริษัทฯใหญ่เลยคือ ซีพี (ระบุชื่อบริษัทฯ เพื่อถือโอกาสขอบคุณสำหรับรากฐานแนวคิด วิธีคิดที่ดีที่สามารถเอามาเลือกปฏิบัติต่อยอดการทำงานจนถึงปัจจุบัน) แล้วก็เปลี่ยนบริษัทอีกเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นบริษัทฯใหญ่ที่มียอดขาย ไม่ต่ำกว่า พันล้านบาทต่อปี
ทำงานไต่เต้าจนสุดท้ายตำแหน่งที่ทำก่อนลาออกจากการเป็นลูกจ้างมืออาชีพนั้นรับเงินเดือนอยู่เกือบสองแสนบาทต่อเดือนไม่รวมสวัสดิการอื่น ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบ เรื่อง การตลาดและขายยอดขายห้าพันกว่าล้านต่อปี มีทีม มีสมุนมากมายมีเจ้านายที่รายงานตรงในประเทศและต่างประเทศ เรียกว่า ทำงานแบบดูเหมือนใหญ่โต แต่ต้องทำงานทุกระดับประทับใจเลยค่ะ เบ๊ยันบิ๊ก จ่ายแล้วคุ้มว่างั้นเหอะ
ความกดดัน ความยากลำบาก ความคาดหวัง ไม่ต้องบอกก็คงประมาณกันออกว่า "สุด ๆๆ" ปกติเป็นคนเฮฮา มองโลกบวก ยอมรับความจริง และเจ้านายมักจะบอกว่าเราทำงาน ภายใต้ความกดดันได้ดี แต่จะดีแค่ไหนก็มีวัน "หลุด" พักหลัง ๆ เริ่มรู้สึกตัวเองไม่สนุกกับงาน ไม่ท้าทาย และเริ่มไม่นับถือตัวเองเพราะบ่อยครั้งต้องทำงานแบบ "จำต้องทำ" เพราะการเมืองในบริษัทฯ รุนแรงเหลือเกิน
ก็เก็บเอามาคิดต่อว่า ถ้าไม่อยากทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหน ?? จะไปทำธุรกิจเองเหรอ ก็ไม่ใช่เป้าหมายของเราหรือถ้าจะทำ เราก็เห็นกันอยู่ทุกวันตรงหน้าว่า ธุรกิจใข้เงินหมุนเวียนมากมาย เอาแล้วไง ตัวเรานี่ "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"
แต่เราก็บอกกับตัวเองว่า "ปัญหามีทางออกเสมอ" อยู่ที่เราเลือกมองและตั้งสติกับมัน
ทนฝืนทำงานบริหารอยู่อีกไม่กี่เดือน ก็ถึงวันที่เราปฏิเสธตัวตนเราไม่พ้น จู่ ๆ ก็ ลาออก แบบไม่ได้วางแผน เพราะฝืนทำงานต่อก็อึดอัดที่สุด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกละอายใจที่ต้องทำงานกินเงินเดือนแบบไม่มีใจให้อีกแล้ว ถ้าเราทำอะไรไม่นับถือตัวเองก็ยากที่จะสุขกับมัน อีกอย่าง ตัวเราเองก็บอกตัวเองว่า ถ้าสุดทนแล้วจริง ๆ ก็ออกมาเหอะ อยู่แล้วนั่งด่าบริษัทฯที่ตัวเองรับเงินเดือน มองหามุมดีไม่พบ แต่ด้านหน้าด้านทนกินเงินเดือนแบบเอาเปรียบบริษัทเหรอ สู้ออกมาตั้งหลัก ดีกว่า
ออกมา 5 ปีล้มลุกคลุกคลานทำธุรกิจเอง ก็ไปได้ดี แต่ไม่ดีถึงที่สุด เป็นหนี้เป็นสินมากมาย แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราใช้ชีวิตแบบไม่มี "เป้าหมาย"
แล้ว "เป้าหมาย" สำหรับเราคืออะไร ไหนลองบอกมาซิ (คุยกับตัวเอง)
1. ไม่ต้องการธุรกิจโรงงานใหญ่โต
2. ไม่อยากหมุนเงิน หาทุน กู้แบงค์มากมาย มาขยายกิจการ
3. ไม่ขายตรง
4. ไม่อยากคุมทีมใหญ่โตมากมาย
5. ชอบงานบริหาร วางแผนการตลาด การขาย
6. ท้าทายกับเป้าหมายยอดขายหลักร้อยหลักพัน ไม่กลัวยอด !!!
7. มนุษย์สัมพันธ์ดี ไม่อ่อนไป ไม่แข็งไป กล้าได้กล้าเสีย
8. ใช้โปรแกรม office ได้ดีมาก ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นหรือเลขา (สมัยทำงาน ทำเองทั้งหมด แล้วให้ทีมเติมรายละเอียด)
9. ไม่ยึดติดหัวโขนภาพลักษณ์ ติดดิน แต่มีบุคลิกภาพมั่นใจ เป็นมิตร และมีความเป็นผู้นำ
10. ภาษาอังกฤษ เขียน อ่าน พูดสื่อสาร ได้ดี (เกิดจากการฝึกฝนล้วน ๆ เป็นเด็กศิลป์ ภาษา Grammar เป๊ะ ฝึกพูดจากชีวิตทำงาน ไม่เคยมีโอกาสไปเรียนต่อเมืองนอก)
11. ทักษะการคำนวณ, ประเมิน,วางแผนงานขาย ตลาด และ ระบบงบประมาณ มีระดับผู้บริหารรระดับสูง (อธิบายเพิ่มเติมคือ ผู้บริหารงานการตลาดและขาย บางบริษัทฯ ดูเรื่องกลยุทธิ์และกำกับทิศทางจากสำนักงานใหญ่ แต่ที่ตัวเองได้มีโอกาสได้มีส่วนร่วมคือ ระดับ Corporate)
12. ชอบทำงานใหม่ ๆ มีโอกาสได้ทำงาน Business Development ที่ได้เห็น สินค้าใหม่ ๆ และ กลยุทธิ์ใหม่ ๆ เสมอ
แล้วทั้งหมด 12 ข้อที่ว่า เราไปทำอะไรได้ล่ะ ??
รวบรัดตัดตอนให้เข้าใจง่ายคือหา "นายทุน"
นายทุน แบบไหน ??
ต่อไปนี้คือแนวทางการทำงานที่แบ่งปันจากประสบการณ์ส่วนตัว ขอให้แต่ละท่านนำไปใช้พิจารณาด้วยวิจารณญาณของตัวเองประกอบนะคะ
เรา Walk in ไปคุยกับโรงงานที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อนพ้องที่รักกัน ว่า มีโรงงานที่ต้องการผลิต และ พัฒนาสินค้า ที่เป็นแบรนด์ของตัวเองแล้วจัดจำหน่ายเข้าห้างและช่องทางการจัดจำหน่ายอื่น ๆ แต่โรงงานเหล่านี้ หามือบริหาร ที่เป็นตัวจริงเสียงจริงไม่ได้
เพราะ ...
ตัวจริงเสียงจริง ก็ไม่กล้ากระโดดข้ามธุรกิจ
โรงงานเองก็ไม่กล้าจ้างตัวจริงเสียงจริง เพราะ ไม่มั่นใจว่าจะไปกันรอด เคมีเข้ากันได้แค่ไหน วิสัยทัศน์สอดคล้องกันหรือไม่ ต่างคนต่างอยู่กันละอุตสาหกรรม ลงทุนไปแล้วผู้บริหารอยู่ไม่ยืดเหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจ และอีกมากมายหลายปัจจัย
เมื่อรู้ปัญหาและอุปสรรคความคิดเหล่านี้แล้ว เราจึงพูดคุยและเสนอแนวคิดหลักการทำงานร่วมกันกับโรงงานที่ไปคุยด้วยโดย ...
เรายินดีร่วมพัฒนา ออกแบบ พัฒนา ให้ concept สินค้า พร้อมกำหนดกลยุทธิ์แผนการตลาด แผนการขาย และกลยุทธิ์ทั้งหมดให้ สรุปคืองานหน้าบ้านเรารับวางแผนทำงานให้หมด
โรงงานเป็นนายทุนผลิตสินค้า บริหารงาน พนักงาน office และค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ยอดขายสินค้าทั้งหมดขายเข้าในนามโรงงาน เก็บเงิน วางบิล โดยหน้าบัญชีโรงงาน
เรารับเงินตอบแทนเป็นส่วนแบ่งรายได้ หรือ ส่วนแบ่งจากกำไรสุทธิ์ (แล้วแต่จะตกลง)
ผลปรากฏว่า โรงงาน โอเคตอบตกลง โดยที่เราไม่ได้ทำสัญญาลายลักษณ์อักษรใด ๆ ทั้งสิ้น สัญญาใจล้วน ๆ พนันกันว่างั้นเหอะ
ทำไมโรงงานถึงตอบตกลง
เพราะ .....
โรงงานไม่ต้องเสี่ยงเรื่องผุ้บริหารอย่างเรา ยังไม่ต้องจ่ายเงิน จนกว่าจะมียอดขาย
โรงงานใช้กำลังการผลิต และ พนักงานเดิม
โรงงานต้องดำเนินหาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งความเสี่ยงเกิดขึ้นทุกกรณี แต่กรณีเราคือ เค้าเสี่ยงในการร่วมงานกับเรา สิ่งที่เสี่ยงที่สุดคือคือแค่ "เสียเวลา"
ส่วนเรา ที่ยอมเสี่ยง เพราะ เสี่ยงเพื่อโอกาสที่ดีกว่า หนีจากสภาพเงื่อนไขเดิม ๆ แต่ทั้งนี้ ทั้งหมดก่อนเราจะตัดสินใจ ก็ผ่านกระบวนการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด วิสัยทัศน์กัน ในวันนั้นคุยกัน 5 ชั่วโมงรวด !!!! ก็ต้องใช้ประสบการณ์, ตรวจสอบประวัติ ชื่อเสียงผ่านหลาย ๆ ช่องทาง และ สัญชาตญาณในการวิเคราะห์ร่วมด้วยเป็นสำคัญ
โชคดีคือผู้บริหารโรงงานท่านนี้มีวิสัยทัศน์ ใจกว้าง หนักแน่น ยุติธรรม มีจรรยาบรรณที่ดี รักษาคำพูด แน่วแน่ พูดจริง ทำจริง
ตัวเราเองก็มีประวัติการทำงานที่ผ่านมาดี กลับไปพบพูดคุยกับผู้บริหารต่าง ๆ ก็ไม่เคอะเขิน ตัวเราเองก็ต้องมีทัศนคติที่บวก ไม่ใจแคบ ไม่งก ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว
ช่วง 4 เดือนแรกเราไม่มีเงินเลย เพราะเงื่อนไขคือ เราขอเป็นส่วนแบ่งรายได้สุทธิ (เรื่องนี้หากมีคนสนใจ จะอธิบายในรายละเอียดให้อีกครั้งนะคะ) กว่าจะผ่านมาได้เรียกว่าแทบ "ไม่มีจะกิน" กว่าจะพัฒนาสินค้า กว่าจะเสนอขาย กว่าจะผลิต กว่าจะเข้าขาย กว่าจะเก็บเงิน ทั้งหมดคือรูปแบบ "การลงทุน" ของเราประเภทหนึ่ง
และแล้วเมื่อมียอดขายและเก็บเงินได้ เราก็จะเริ่มมีรายได้ต่อเนื่องทุกเดือน ทั้งนี้ ตัวเราเองก็ต้องสร้างยอดขายเกิดขึ้นทุกเดือนเช่นกัน
ปัจจุบันเรามีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ประมาณ 5 แสนบาท มากน้อยขึ้นกับยอดขายและยอดเก็บเงินของเดือนนั้น ๆ
เป้าหมายจ่ายหนี้สินให้หมดโดยเร็ว แล้วหลังจากนั้นก็จะทุ่มเทให้กับการดูแลครอบครัวให้มากขึ้นกว่าเดิม
ชีวิตดี๊ดีขึ้นค่ะ มีโอกาสเข้าร่วมคอร์สเรียนต่าง ๆ เข้าโครงการฝึกอบรมพัฒนาตัวเอง ท่องเที่ยวไม่แพง สมถะ มีอิสระมากขึ้น นับถือตัวเองมากขึ้น แต่ก็แบกรับความคาดหวังจากผู้บริหารโรงงานนายทุน อยู่ดี แต่ก็ดีกว่าการเป็นลูกจ้างประจำนะคะ
ปัจจุบันอายุ 48 ปีแล้ว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ลูกสาวอายุ 18 อีก 2 ปีก็คงต้องแยกย้ายกันเพราะเค้าต้องไปเรียนอเมริกา
ทุกวันนี้ตัวเองได้ใช้ชีวิตที่เป็นอิสระ ติดดิน ได้เลี้ยงดู แม่ที่แก่แล้ว และพี่ชายที่พิการ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้คน รู้จักการแบ่งปัน ใจเย็นขึ้นมาก ๆ ได้เปิดโลกทัศน์ตัวเอง ได้เห็นคนเก่งจริง รวยจริง ที่นิสัยดีแสนดี อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด เราสามารถเอามาเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต
อีกมุมหนึ่ง เราได้เห็นคนที่เห่อเหิม หลงระเริง ดูถูกผุ้อื่น มีปมในชีวิตพยายามกลบลบปมด้อย หาปมเด่นด้วยการเหยียดหยามให้คนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น ก็เยอะ
ทุกครั้งทีท้อถอย หรือ อยากยอมแพ้ ด้วยหลากหลายสาเหตุ ก็จะนึกถึง "ในหลวง" คิดถึงท่านแล้วก็พยักหน้าแล้วยิ้มกับตัวเอง เพื่อสู้ต่อไปอย่างมีเป้าหมาย
ทุกวันไม่ได้เป็นวันที่มีความสุขทุกวันหรอกค่ะ บางวันก็ทุกข์แสนทุกข์ แต่ให้คิดว่า นี่คือบททดสอบที่ยังไงเราก็ต้องสอบผ่านมันได้ เพราะ ไม่มีคำว่า "สอบตก หรือ สอบไม่ผ่านในชีวิตเรา" มีแต่แค่ว่า "เราต้องสอบใหม่" แค่นั้นเองค่ะ finally เราก็ "สอบผ่าน ผ่านพ้นมันได้" แน่นอน
เป็นกำลังใจกับผู้บริหาร พนักงานบริษัทที่กินเงินเดือนหาทางออกให้กับตัวเองอยู่นะคะ
ตัวเองก็ยังต้องหาทางต่อสู้ฝ่าฟันไปทุกวันเหมือนกันค่ะ ณ วันนี้วันที่แบ่งปันบนพันทิป ก็ยังไม่ได้เป็นบทสรุปจบว่าเราสำเร็จ แต่อย่างน้อย การที่เรา "สู้" และ "พยายาม" มันทุกวัน ก็ดีกว่าเรานั่งคิดแล้วไม่ได้ลงมืออะไรเลย
สู้ๆ ค่ะ ทุกคนชาวพันทิป