เรื่องสั้น สะท้อนชีวิตและสังคมสมัยใหม่ "สัพเพวิถี"

สัพเพวิถี


              โอ้ชะตาต่างยะถามาบรรจบ    ให้ได้พบคนบ้านเดียวกันวันหรรษา
              เพลงยังดังในใจอ้ายทุกวันนานมา   ความเดียงสาของบ้านเรารอวันคืน
              ฝากไว้หนึ่งชะตาที่บังเกิด  เขาผู้เทิดงานศิลป์สามารถตามวิถี
              ใจพอเพียงชอบเจ้าผู้อยู่แห่งนี้   สุขพอดีที่บ้านเรารอเธอกลับมา  
                   
              แดดกลางวันสว่างในเดือนสิงหาคมหน้าฝน เห็นความแห้งแล้ง
ท่ามกลางกระแสตื่นตัวเกี่ยวกับการตระเวนจับโปเกม่อน ของวัยรุ่นและเด็กๆในหมู่บ้าน
รถมอเตอร์ไซค์ของวัยรุ่นสวนทางกับเขา เขาเพิ่งกลับเข้าบ้านหลังจากออกไปซื้อกาแฟชนิดซอง
ที่ต้องควบมอเตอร์ไซค์ออกไปซื้อที่ร้านขายของชำในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านเขา
ต้องเลี้ยวไปในถนนฝั่งใต้หมู่บ้านประมาณห้าสิบเมตร เขาคิดถึงเธอ เพราะวันนี้เธอไม่อยู่ร้านเหมือนเดิม
เขาไม่เห็นเธอมาเป็นแรมเดือน ไม่รู้เธอไปอยู่ไหนแล้ว เขาคิดว่าเธออาจจะเข้าไปทำงานหาเงินเดือนในกรุงเทพแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ผิด ที่เธอตัดสินใจเลือกแหล่งทำกินที่พอหวังได้ ในขณะที่บ้านเกิดของเธอแห่งนี้
ให้เธอได้เพียงเป็นคนเฝ้าร้านขายของชำของน้าสาว เธอคงเลือกจะมีชีวิตในเมือง ผู้หญิงที่เขาคิดถึงคนนี้นั้น
เธอสวยกว่าใครในหมู่บ้านตามความคิดของเขาคนเดียว รูปร่างหน้าตาของเธอถ้าเอาไปแต่งองค์ทรงเครื่องนั้น
ก็เข้าขั้นขึ้นเวทีประกวดสาวงามในจังหวัดได้เลย เขาคิดดังนั้น
แต่นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเธอออกมาขายกาแฟ มีเพียงน้าสาวเฝ้าร้านนั้นอยู่คนเดียว
แต่ช่างเถอะเพราะตอนนี้เขาไม่ได้หวังจะแต่งงานกับเธอแล้วไม่เหมือนวันแรกๆที่เห็น
เขาสรุปเอาเองว่าเขาไม่ได้รักเธอหรอก เขาเพียงชอบรูปร่างหน้าตาของเธอ

               วันนี้ที่ร้านขายของชำของน้าวิภา มีสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นของคนในหมู่บ้าน
บนแผงขายในร้านและแคร่ไม้ไผ่ที่ทำขึ้นวางตรงหน้าร้าน แกขายอาหารปรุงสำเร็จง่ายๆที่น้าวิภาเป็นแม่ครัวทำขายเอง
และที่แกไปหาซื้อมาจากตลาดกลางหมู่บ้าน เช่น ปลาดุกทอด ไก่ย่าง ไส้กรอกอีสานชิ้นโตทอดเสียบไม้
มีแหนมห่อใบตองกล้วยแขวนรวมอยู่กับนานาเครื่องปรุงชนิดซอง ให้เขาชมแพคเกจต่างๆตามยี่ห้อที่น้าวิภานำมาขาย
เขามองภายในบ้านไม้สองชั้นที่น้าวิภาและน้ามั่นผู้เป็นสามี ช่วยกันสร้างขึ้นมา
ในบรรยากาศดำเนินเป็นปกติสุขแบบเรียบง่ายกันเองของหมู่บ้านชนบทที่เขาคุ้นเคย

           เขาควักเงินจากกระเป๋ากางเกงยี่สิบบาทพอดีค่ากาแฟสามซอง และค่าแคปหมูอีกหนึ่งถุง
จ่ายให้น้าวิภา รวมเป็นยี่สิบบาทพอดี เขาไม่กล้าเอ่ยปากถามน้าวิภาถึงหลานคนสวยของน้าวิภาคนนั้น
แม้ในใจอยากรู้เหลือเกินตอนนี้เธอไปทำอะไรที่ไหนอยู่ แม้ไม่ได้เคยคิดจะแต่งงานกับเธอ
แต่ด้วยความสนใจในตัวเธอเล็กน้อย จึงทำให้เขารู้สึกผิดสังเกตและเอะใจ ที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอมานานแรมเดือน

“ซื้อกาแฟซุปเปอร์หน่อยน้าภา” เขาเอียวเท้าถีบขาตั้งมอเตอร์ไซค์จอดทันทีที่ขับไปถึงร้านน้าวิภา
พร้อมกับเรียกน้าที่เป็นเครือญาติห่างๆกันเองในหมู่บ้านนี้ ออกมาขายของให้เขา

“เอากี่บาท สิบหรือยี่สิบบาท” น้าวิภาเดินเข้าไปหยิบกาแฟซุปเปอร์ในถุงใหญ่ หันมาถามเขาที่กำลังลงจากมอเตอร์ไซค์

“เอาสิบบาทน้า” กรินทพัทธ์(อ่านว่า กะ ริน ทะ พัท) เอ่ยตอบ พร้อมทั้งหยิบแคปหมูห่อหนึ่ง
รับกาแฟซุปเปอร์สามซอง แล้วจ่ายเงินให้น้าวิภา

               พอกลับมาถึงบ้าน เขานั่งที่โต๊ะทำงานเหมือนเดิมในความรู้สึกคิดถึงเธอคนนั้น
แม้เขาจะชอบเธออยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามน้าวิภาและรู้สึกเอะใจที่ไม่ได้เห็นเธอนานเหลือเกิน
แต่ช่วงนี้เธอไปไหนนะ แม้เขาจะเป็นหนุ่มชาวกรุงมาก่อนเมื่อครั้นสมัยไปเรียนที่มหาวิทยาลัยย่านสนามหลวง
แต่ตอนนี้เธออาจจะไปเป็นสาวชาวกรุงในขณะที่เขาเป็นชายบ่าวบ้านนอก ชีวิตของเขาและเธอสลับถิ่นฐานที่อยู่กันเสียแล้ว

               ชายหนุ่มจากเมืองแมนกรุงเทพมหานคร ตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านเกิดหลายปีแล้ว
เนื่องจากสภาพความแออัดและมลพิษในเมืองที่ทำให้สุขภาพของเขารับไม่ไหว แต่เขายังสับสนในเส้นทางอาชีพอยู่
แม้เมื่อก่อนเขาจะเกิดและโตเป็นวัยรุ่นที่หมู่บ้านนี้มาก่อน แต่ด้วยความที่ระบบการศึกษาและตามความสามารถของเขา
ทำให้เขาต้องจากบ้านไปพัฒนาตัวเองใหม่ในกลางกรุงเทพในวิชาที่เขาสนใจ คืองานศิลปะแขนงต่างๆ
ทั้งงานแต่งเพลง งานเขียนวรรณกรรม แต่งกลอน งานออกแบบอาคารสถาปัตยกรรม งานวาดเขียนจิตรกรรม
และสารพัดที่เขาคิดว่าเป็นงานศิลปะ และตามความสามารถที่เขาจะทำมันได้ กรินทพัทธ์รู้สึกเหมือนเพิ่งกลับถึงบ้านเกิด
ทั้งๆที่ก็เรียนจบและมาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว เกือบสิบปีได้กระมังตั้งแต่เขาลาออกจากงานบริษัทที่กรุงเทพ
ช่วงที่กระแสการเมืองร้อนระอุมากที่สุด

                 อันสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกว่าเพิ่งได้กลับถึงบ้านนั้น เนื่องมาจากที่เขาสมัครเข้ากลุ่มในเฟสบุ๊คที่ชื่อกลุ่มศิลปิน
และได้รับการอนุมัติให้เข้ากลุ่มจากแอดมินกลุ่มในทันที เขาใช้คำเรียกตัวเองในกลุ่มนั้นว่าศิลปินชาวบ้าน
หลังจากต้องใช้ชีวิตเป็นศิลปินอย่างโดดเดี่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาใช้ชีวิตตามประสาชาวบ้านทั่วไปที่มีรายได้น้อย
หรือดูๆแล้วเข้าข่ายคนว่างงานไม่มีรายได้เสียมากกว่า ในความคิดของชาวบ้านคนอื่นๆ

                 เมื่อก่อนสมัยที่เขามาอยู่ที่บ้านเกิดใหม่ๆ เขาเคยไปทำงานเป็นสถาปนิกออกแบบให้แก่คนในตัวจังหวัด
ซึ่งเขาครานั้นได้รับการว่าจ้างให้ออกแบบอาคารขายต้นไม้นานาพรรณและของตกแต่งสวนจากนักธุรกิจสาวชาวบ้านในตัวเมือง
แต่เขาเลิกสนใจที่จะรับจ้างออกแบบสถาปัตยกรรม เนื่องมาจากที่เขามักถูกผู้ว่าจ้างให้ไปดูแลโครงการก่อสร้างท่ามกลางแดดลม
ที่จะทำให้เขาเหนื่อยเพลียง่าย ตามสุขภาพที่ไม่สู้จะทำงานเป็นชนชั้นกรรมาชีพได้
มีหลายครั้งที่กรรมาชีพบางคนพยายามชักจูงให้เขาทำงานเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง
ด้วยเพราะเขาเหล่านั้นหวังพึ่งผลประโยชน์จากความรู้ความสามารถของเขา
อันจะทำให้มีรายได้มาสู่ช่างกรรมาชีพคนอื่นๆในหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอย่างที่ใครๆอยากให้ทำนั้น
ด้วยศักดิ์ศรีในการตัดสินใจของตัวเอง และเพื่อลดความเสี่ยงในการปัญหาขาดทุนจากพิษเศรษฐกิจยุคการก่อสร้างซบเซา

ทุกคนที่อยากทำงานก่อสร้างกับเขา ต่างมุ่งจ้องจะหาผลประโยชน์จากความรู้ความสามารถที่เขาเรียนมา
และหวังเพียงรายได้จากการหางานที่เหนื่อยยากของเขา โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากทั้งหลาย
ที่เริ่มมาตั้งแต่เริ่มไปศึกษาและการหารับจ้างทำงานออกแบบก่อสร้างอาคาร
ที่ต้องอาศัยกล้ามเนื้อสมองที่แข็งแรงอย่างมาก ในตอนที่เขาเหนื่อยจากงานออกแบบก่อสร้างนี้
และไม่ง่ายเลยในสภาพเศรษฐกิจสมัยใหม่และกระแสการเมืองที่เคยวุ่นวายมามาก

กรินทพัทธ์คิดว่าถ้างานรับจ้างออกแบบอาคาร ในท้องถิ่นแถบจังหวัดในชนบทหาได้ง่าย
เขาก็คงไม่เลิกที่จะทำมันหรอก เพราะกรินทพัทธ์ต่างต้องเสียเปรียบแก่เจ้าของอาคารที่ให้ทำงาน
กับค่าจ้างแสนถูกหรือฟรีๆเป็นส่วนมาก ชีวิตในเส้นทางสายก่อสร้างของกรินทพัทธ์จึงย่ำแย่

“ก็แค่ทำงานในกระดาษมันจะไปยากอะไร ห้าร้อยก็ถือว่าแพงแล้วสำหรับการเขียนแบบในกระดาษเอสี่แผ่นเดียว “
ช่างผู้ได้งานจากองค์การบริหารส่วนตำบลรายหนึ่ง เคยพูดถึงการทำงานของกรินทพัทธ์
ตอนที่มาจ้างให้เขาเขียนแบบให้ ทำให้เขาเริ่มเห็นอนาคตในการเป็นสถาปนิกอิสระในท้องถิ่นของตัวเอง
ลำบากที่จะมีเศรษฐีใหญ่พอจะทำการก่อสร้างอาคารสวยๆ
ที่ต้องอาศัยพึ่งแบบก่อสร้างประกอบการขออนุญาตปลูกสร้างกับเทศบาลในชนบทนี้
ทำให้กรินทพัทธ์หมดหวังกับการรับจ้างออกแบบเขียนแบบอาคารในการกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด
ประสบการณ์ทำให้เขารู้ว่าเขาต้องเลือกอาชีพใหม่ตามใจ

               กรินทพัทธ์เป็นลูกครูเกษียณอายุ ทั้งพ่อและแม่ของกรินทพัทธ์
ใช้ชีวิตหลังเกษียณจากโรงเรียนในหมู่บ้านช่วยกันทำการเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
สวนมะนาวและสวนขายต้นกล้าพันธุ์ไม้ต่างๆที่พ่อและแม่ต้องไปดูแลทุกวัน
ก็เกิดจากความคิดนำเสนอไอเดียของเขา ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ย้ายกลับมาบ้านเกิด
แม้จะไม่ได้เป็นเกษตรกรแบบชาวบ้านทั่วไปแต่กรินทพัทธ์
ก็สนับสนุนให้พ่อและแม่มีอาชีพหลังเกษียณแบบเกษตรกรผู้มีความรู้
ความคิดเห็นที่สอดคล้องกันของครอบครัวทั้งตัวกรินทพัทธ์ พ่อ แม่ และพี่ชายน้องชายที่กรุงเทพ
เป็นเหตุให้พ่อของเขาตัดสินใจลงมือทำการเกษตรแบบจริงจังเป็นกิจวัตร
พ่อและแม่ของกรินทพัทธ์ต่างมีความสุขถ้วนหน้าเมื่อ
สวนมะนาวสามารถนำรายได้ให้ท่านในชีวิตหลังเกษียณและที่สำคัญยังสร้างกิจกรรม
ให้ท่านพอมีธุระปะปังกับผู้คนในชุมชนบ้าง คลายความแก่ชราในเบื้องหน้า

                   บรรยากาศเงียบเชียบในหมู่บ้านเหมาะให้เขานั่งพิมพ์งานในห้องทำงานตามลำพัง
ต่างจากบรรยากาศแถวสนามหลวงที่เขาเคยไปเรียนมาก่อนชาวบ้านคนอื่นๆแล้ว อย่างสิ้นเชิง
เขาคิดถึงเมื่อวันที่เคยได้ถามชื่อเธอคนนั้นเป็นครั้งแรก ในตอนที่เสียงเครื่องเสียงเปิดเพลงภูมิแพ้กรุงเทพ
ได้ยินแว่วออกมาจากในร้านน้าวิภา ในขณะที่เขาไปซื้อกาแฟซองตามปกติ
วันนั้นเธออยู่ร้านนั้นแทนน้าวิภาที่ออกไปทำธุระพาน้ามั่นที่กำลังป่วยไปหาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัด

“เจ้าซื่อว่าอิยัง” คำพูดแรกที่กรินทพัทธ์เอ่ยถามชื่อเธอในภาษาท้องถิ่นที่หมายความว่า คุณชื่อว่าอะไร

“อิยังเกาะ ถามว่าอิยังเกาะ” เธอหันกลับมา ถามเขากลับด้วยความสนใจในเสียงด้วยภาษาท้องถิ่นเช่นกัน ที่แปลว่า อะไรนะ ถามว่าอะไรนะ
(ประโยคสนทนาต่อไปผู้เขียนขออนูญาตเขียนเป็นภาษาไทย)

“คุณชื่อว่าอะไร” กรินทพัทธ์มองหน้าเธออีกครั้งและถามคำถามอีกรอบ

“ทำไมเหรอ อยากรู้เหรอ” เธอก็ต้องการบอกชื่อที่เธอเตรียมไว้ในใจเช่นกัน

“ชื่อว่าหมอ” เธอตอบอย่างนั้น

“หือ ชื่อว่าหมอเหรอ” เขางงในคำตอบ ด้วยความสงสัยว่าคนอะไรชื่อหมอ
ตั้งแต่เกิดมาเขาก็ไม่เคยได้ยินใครในหมู่บ้านนี้ตั้งชื่อให้ลูกว่า หมอ
อันคำว่าหมอในภาษาท้องถิ่นถ้าเป็นการคุยเรียกคำนำหน้ากันจะแปลว่า เพื่อน

เขาเริ่มเข้าใจในความรู้สึกของเธอที่มีให้เขาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ว่าเธอโกหกตั้งแต่คำถามแรกที่เขาถาม ทำให้เขาเลิกศรัทธาในความจริงใจแบบชาวบ้านด้วยกันเองเล็กน้อยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

              การแสวงหาช่องทางอาชีพระดับปัญญาชนของกรินทพัทธ์นั้น
เขาต้องอาศัยระบบการสื่อสารที่ทันสมัยโดยเฉพาะเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ทำให้ทุกวันนี้เขาต้องเฝ้าหน้าจอโน๊ตบุ๊คและเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์
เพื่อหาข้อมูลและข่าวสารต่างๆในอินเตอร์เน็ตเป็นประจำเป็นวิธีถนัดที่เขาใช้ติดต่อกับโลกภายนอก
ให้ได้รู้ข่าวคราวของกิจกรรมที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆโดยเฉพาะกิจกรรมที่เกิดขึ้นในเมือง
การขายงานเขียน งานเพลงหรืองานศิลปะต่างๆในวิถีชนบทของกรินทพัทธ์
ยิ่งจำเป็นต้องใช้การสื่อสารที่ก้าวหน้า เพื่อให้เข้าถึงผู้รองรับผลงาน

             ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานไปบ้าง ด้วยการที่รัฐบาลให้โอกาสคนชนบท
ได้มีอาชีพที่ทันสมัยอย่างเท่าเทียมในทุกระดับสังคมมาหลายยุคหลายสมัย
กรินทพัทธ์เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนร่างแนวคิดส่งเสริมการศึกษาให้แก่ผู้ยากไร้ในเขตชนบทให้ได้มีโอกาสอาจจะได้เรียนฟรี
ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลรักษาความสงบ อันจะช่วยแบ่งเบาภาระ
ให้ผู้ปกครองนักศึกษาที่ต้องส่งเสียลูกหลานเข้าเรียนระดับอุดม โดยเฉพาะโอกาสของคนยากจน
หากลูกหลานคนใดขยันหมั่นเพียรอาจจะได้เป็นบัณฑิตมีความสามารถ เป็นคนที่มีคุณภาพในสังคมชนบท
อย่างเช่นที่บ้านเกิดของกรินทพัทธ์เอง ด้วยการที่พ่อแม่ของกรินทพัทธ์ อยู่ในวงการการศึกษาในชนบทกระมัง
ที่ทำให้เขามีความคิดอยากเห็นเด็กลูกหลานคนยากจนขยันเรียนหนังสือหนังหา
เพราะทุกวันเขาเห็นเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนในอดีตแล้วกลายเป็นผู้ใหญ่มีปัญหาในอนาคต
จากการสังเกตุการณ์สภาพชีวิตของเพื่อนในวัยเรียนของเขา
ที่ตอนนี้ต่างมีครอบครัวมีลูกหลานกันเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นกรินทพัทธ์ที่ยังเป็นโสด

“จะปล่อยตัวเองทิ้งเหมือนสิ่งไร้ค่าคงไม่ได้ ชีวิตเรายังมีความหมายมีคุณค่าในผู้คน
แม้นทระนงในเกียรติและความเป็นคนจน แต่อย่าหลงเมามัวกับอบายไม่จีรัง

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเหมือนชื่อเสียง เราจะเลี่ยงไม่ให้คนยอมรับเราก็ไม่ได้
หากคุณค่าของชีวิตยังมีก็สู้ไป เมื่อยังสร้างคุณค่าให้สังคมจงถือตน”
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ต่อ  

กลอนเปล่าที่กรินทพัทธ์เขียนโพสเก็บไว้ในเฟสบุ๊คของตัวเองเมื่อวานนี้
มีคนเข้ามากดไลค์ประมาณไม่ถึงสิบคน เขาอ่านทวนอีกรอบก่อนนำมาวางในงานเขียนเรื่องสั้นของเขา
ทั้งๆที่เขามีเพื่อนในเฟสบุ๊คมากมายถึงหนึ่งพัน บางคนนั้นแค่รู้จักกันในโลกออนไลน์
ส่วนบางคนรู้จักมาตั้งแต่เป็นเพื่อนเก่าแก่ในมหาวิทยาลัย ที่พอได้พูดคุยกันบ้างในแชทเป็นบางคน
เขาอ่านข้อความคอมเม้นต์ในหน้าจอเฟสบุ๊คเมื่อเช้านี้ ตามรูปถ่ายทะเลที่เพื่อนผู้หญิงสมัยเรียนที่ทำงาน
เป็นสถาปนิกรุ่นใหญ่ในกรุงเทพได้โพสไว้ หลังจากเธอเพิ่งไปเที่ยววันหยุด กับสามีหนุ่มของ
เธอ ภาพชายหาดและเรือทะเลไม้สีขาว บ่งบอกถึงบรรยากาศที่เธออยู่อันทำให้กรินทพัทธ์
พอจะรู้ฐานะทางอาชีพสถาปนิกของเพื่อนที่ทำงานบริษัทในกรุงเทพ

              โอกาสของคนชนบทอย่างเขา ที่ไม่ต้องการเข้าไปใช้ชีวิตในเมืองเพราะการปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในเมืองลำบาก
ที่นับวันจะมีคนพยายามอีออแห่เหิมกันเข้าไปอย่างเบียดเสียดจนล้นเมือง
บางคนนั้นเข้าไปอยู่ในเมืองเพราะต้องการสร้างครอบครัวและมีชะตาชีวิตที่นั่นไปจนแก่เฒ่า
โดยหวังให้ลูกที่เกิดมาในครอบครัวของตนมีภูมิลำเนาเป็นคนในเมืองแตกต่างจากชะตาเกิดของตนเอง
หรืออยากให้ลูกเกิดเป็นคนกรุงคนในเมืองตามแต่เขาจะแยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวกันที่ไหน
นับเป็นโอกาสที่รัฐบาลเอื้อมาเผื่อแผ่ให้แก่ชีวิตคนชนบทเหล่านั้นมาตั้งแต่สมัยก่อนและจะเป็นวัฒนธรรมที่ต่อเนื่องกันไป
ถึงอนาคตรุ่นลูกหลานของพวกเขาที่ชนบทแห่งนี้ การหวังชะตาชีวิตและอาชีพรายได้ในเมือง
เปรียบเปรยเท่ากับการอพยพที่นิยมกันมากในหมู่คนจนตามชนบทสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมธุรกิจอุตสาหกรรม
ในทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน อันตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเพื่อปากท้องของมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์ยิ่งหิวยิ่งดูเป็นคนจน
พวกเขาจึงเลือกเมืองที่คิดว่าอุดมสมบูรณ์


              กรินทพัทธ์เคยอ่านจาก นวนิยาย ลูกอีสานที่เขาชอบตั้งแต่เคยเข้าไปเรียน
ออกแบบศิลปะสถาปัตยกรรมในกรุงเทพ ก็มีเหตุการณ์อพยพออกนอกหมู่บ้านชนบท
ในทำนองนี้เพื่อไปหาแหล่งทำกินที่อุดมสมบูรณ์ในเรื่องนิยายซีไรต์ที่เขาชอบ
อย่างเช่นเรื่องลูกอีสานที่ทำให้เขารักบ้านเกิด ส่วนเขาในตอนนี้ยังคงปักหลักทำงานศิลปะที่ตัวเองได้ตัดสินใจ
ที่แหล่งกำเนิดชีวิตของตัวเองเช่นเดิม ชะตาชีวิตของเขาและผู้หญิงในหมู่บ้านที่บอกว่าตัวเองชื่อ หมอ
หญิงสาวคนนั้นคงแคล้วคลาดกับเขาในความรักตามค่านิยมที่ต่างกัน
ต่อไปภายหน้าเธออาจจะแก่ไปเป็นคนกรุงมีลูกมีหลานในเมืองกรุงต่อไป
ส่วนกรินทพัทธ์ยังไม่รู้เลยว่าในอาชีพศิลปินชาวบ้านยุคดิจิตอลนี้
จะทำให้เขาได้ไปสักการะพระแก้วมรกตในวัดพระศรีรัตนศาสดารามอีกครั้ง
เหมือนที่เขาเคยได้ไปเป็นประจำ เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพตอนนั้นหรือไม่

                 ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ เขาเห็นรถทัวร์ขับเล่นเข้ามาในหมู่บ้านขนย้ายผู้คนทั้งไปและกลับจากกรุงเทพ
มาเป็นระยะแต่แปลกที่ช่วงนี้กลับไม่เห็นคนเดินทางกลับมาตั้งถิ่นฐานกินอยู่ที่บ้านเกิดบ่อยนัก
จึงมีแต่คนที่ยืนรอขึ้นรถเพื่อที่จะไปในเมืองเท่านั้น หรือว่าคนในหมู่บ้านของกรินทพัทธ์จะไปเป็นคนกรุงเทพกันหมดแล้ว
และเหลือไว้เพียงตัวเขาและความทรงจำอันจืดจางกับคนอื่น

กรินทพัทธ์ขับรถเข้าไปย่านตลาดกลางหมู่บ้าน ผ่านศาลาประชาคมของหมู่บ้านที่สร้างด้วยเสาปูน
โครงอาคารทำด้วยไม้กุงใหม่ๆ หลังคามุงด้วยสังกะสี ทำให้เขาเห็นความเป็นไปในวงการอาชีพของเขา
และสภาพสังคมกระแสสังคมการอพยพและค่านิยมของผู้คนในชนบทตามความทันสมัยที่เปลี่ยนไปไม่มาก

“อ้าวจะพาลูกไปไหนล่ะ ไปกรุงเทพเหรอ” แม่ค้าในตลาดหันมาดูถามคนที่กำลังพาลูกขึ้นรถทัวร์เข้ากรุงเทพ

“เออใช่ จะพาลูกไปกรุงเทพ ลูกสอบเข้าเรียนศิลป์ในกรุงเทพได้ ไอ้เก๊ะมันอยากไปเรียนกรุงเทพ”

หญิงกลางคนยิ้มหน้าบาน เอ่ยตอบแม่ค้าในตลาด ด้วยความภูมิใจที่ลูกชายของตนได้มีโอกาสได้ไปอยู่ในกรุงเทพและจะอาจจะได้ทำงานในกรุงเทพและคงมีชีวิตเป็นคนที่นั่นหลังเรียนจบ ก่อนแกจะสาวเท้าพาลูกชายขึ้นบันไดรถทัวร์ พร้อมๆกับชาวบ้านที่กำลังเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปทำงานสร้างชีวิตใหม่ ท่ามกลางความเงียบซบเซาของหมู่บ้านแห่งนี้


ในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยย้ายฝั่งจากตะวันออกเฉียงเหนือลงสู่ริมฟากฟ้าด้านทิศตะวันตก


‘อ้อ แถวบ้านเรายังเป็นแบบนี้กันอยู่เหรอเนี่ย’



            เมื่อกลับถึงบ้านกรินทพัทธ์ศิลปินชาวบ้านใหม่เอี่ยม คิดอยู่ในใจ
หลังวันออกเสียงประชามติได้หนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่เขาจะวางมือจากแป้นพิมพ์โน๊ตบุ๊ค
แล้วเดินไปชงกาแฟสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากร้านน้าวิภา เมื่อคิดถึงงานศิลปะ
อุดมการณ์ของศิลปินหนุ่มใหม่ลุกโชนเมื่อเขาคิดถึงงานเพลงที่ตัวเองทำค้างไว้
เขาเริ่มมองเห็นอนาคต พร้อมกับพิมพ์แป้นโน๊ตบุ๊ค แล้วโพสในเฟสบุ๊คอีกกลอนด้วยหัวใจที่รอ
คนจากกรุงเทพคือเธอคนนั้นกลับบ้านมาให้เขาเห็นหน้าอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าเธอจะสวยขึ้นหรืออาจจะขี้เหร่ลง แต่เขาคิดว่าหากเห็นหน้าเธออีกครั้งจะยิ้มให้เธอพร้อมกับชีวิตในเมืองของเธอ
ที่นั่นเธออาจจะเหงาเช่นเดียวกับเขาที่อยู่ตรงนี้ ทั้งอาชีพที่แตกต่างจากคนในท้องถิ่นและความโดดเดี่ยว
ของความเป็นคนโสดของกรินทพัทธ์ ทำให้กรินทพัทธ์ รู้สึกแบบที่เขาเป็น
และยังเฝ้ารอเวลาที่จะได้พบกับบรรยากาศที่เขาได้ยินจากการสนทนากับเธอในวันนั้น
เขานั่งที่เก้าอี้แล้ววางมือลงบนแป้นพิมพ์ เพราะรู้ตัวว่าเหงาเขาจึงพิมพ์อักษรเพื่อแก้ปัญหาลงไปในโน๊ตบุ๊ค

“ยามที่อ้ายเคยคิดฮอดอีนาง เจ้าคนงามตามบ้านเกิดแห่งนี้
หวังเพียงเจ้าคิดถึงบ้านทุกนาที อ้ายคนนี้สิขอเฝ้าอยู่หม่องเก่า ซะก่อน”
(วาสนาพี่คงไม่ได้คู่นาง เจ้าคนงามตามบ้านเกิดแห่งนี้
หวังเพียงเจ้าคิดถึงบ้านทุกนาที พี่คนนี้จะขอเฝ้าอยู่ที่เดิม ไปก่อน)

จบ



                                                                                                                           นคเรศ ณ เสนางค์

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่