.....หลวงพ่อชา สุภัทโท พบท่านพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และได้ฝากเป็นศิษย์ท่าน และได้แนวทางการปฏิบัติ
ที่ถูกต้องตามธรรมวินัย ดังเรื่องราวที่หลวงปู่ชาได้เล่าถ่ายทอดให้พระเณรได้ฟังต่อไปนี้
ในระหว่างที่จำพรรษาที่วัดเขาวงกฏ หลวงพ่อชาได้ฟังเรื่องราวของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จาก โยมคนหนึ่ง ซึ่งเคยไปนมัสการ
หลวงปู่มั่น ที่สำนักวัดป่าหนองผือนาใน ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และได้เกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวง
ปู่มั่น และตั้งใจว่าจะต้องไปศึกษาแนวทางการปฏิบัติจากท่านหลวงป่มั่น เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อชาพิจารณาเห็นว่าพระ
ถวัลย์มีความสนใจในการศึกษาตำรับตำรา จึงปรารภ เรื่องวิถีชีวิตกันระหว่างเพื่อน พระถวัลย์ตกลงใจจะไปเรียนปริยัติธรรมที่
กรุงเทพฯ หลวงพ่อกับคณะ พระภาคกลางรวมกันสี่รูป จึงออกเดินทางย้อนกลับมาที่อุบลราชธานี พักอยู่ที่วัดก่อนอกระยะหนึ่ง
แล้วจาริกธุดงค์มุ่งหน้าไปจังหวัดสกลนครเพื่อไปยังเสนาสนะวัดป่าหนองผือนาใน เพื่อรับการอบรมธรรมจากหลวงปู่มั่น
ระหว่างการเดินทางไปสำนักหลวงปู่มั่น ได้แวะสนทนาและศึกษาตามสำนักต่างๆ ที่จาริกผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และ
ประสบการณ์ และเปรียบเทียบแนวทางปฏิบัติของแต่ละสำนัก การเดินทางครั้งนั้น ผู้ร่วมทางบางคนในคณะเกิดท้อถอย เพราะ
มีความเหน็ดเหนื่อย และยากลำบากมาก ต้องเดินลัดเลาะป่าเขา เดินตามทางเกวียน ประกอบกับเป็นผู้ไม่คุ้นเคยต่อการเดินทาง
ไกลนัก พระบางรูปจึงขอแยกทางกลับคืนถิ่นเดิม หลวงพ่อกับพระ อีกสองรูปที่ไม่เลิกล้มความตั้งใจ ได้ออกเดินทางต่อ ในที่สุด
ก็ถึงสำนักของ หลวงปู่มั่น เสนาสนะวัดป่าหนองผือนาใน
ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่สำนักป่าหนองผือนาใน หลวงพ่อรู้สึกประทับใจในบรรยากาศอันสงบ ร่มรื่นของสำนัก มองดูลานวัดสะอาด
สะอ้าน กิริยามารยาทของเพื่อนบรรพชิตในวัดป่านี้เป็นที่น่าเลื่อมใส จึงเกิดความพึงพอใจยิ่งกว่าสำนักใดๆ ที่เคยเห็นเคยสัมผัสมา
ยามเย็นวันแรกที่ไปถึง ได้เข้ากราบนมัสการ หลวงปู่พร้อมศิษย์ของท่านเพื่อฟังธรรมร่วมกัน หลวงปู่มั่นท่านได้ปฏิสันถาร สอบถาม
เกี่ยวกับอายุ พรรษา และสำนักที่เคยได้ศึกษาปฏิบัติ
แปลกมากเมื่อมาถึงวัดป่าหนองผือนาใน หลวงปู่มั่นท่านเทศน์อบรมเรื่องนิกายธรรมยุติ กับมหานิกาย บังเอิญเป็นเรื่องที่หลวง
พ่อชาสงสัยมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดการเดินทางมาที่นี่หลวงพ่อชาก็กะว่าจะเรียนถามถึงเรื่องสองนิกายนี้ แต่ยังไม่ได้ทันถาม
หลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นท่านเทศน์เรื่องสองนิกายก่อนเลย ทำให้หลวงพ่อชาขนลุกขนพองปลื้มปิติแปลกใจมาก เพราะท่านเพียงแต่คิดในใจ
ท่านเท่านั้นเอง หลวงปู่มั่นท่านทำไมถึงทราบได้ ทำให้หลวงพ่อชามั่นใจในคุณธรรมปฏิบัติของหลวงปู่มั่นมากเป็นลำดับ จากนั้น
ท่านก็ให้โอวาทและปรารภถึงเรื่องนิกายทั้งสอง คือ ธรรมยุติและมหานิกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงพ่อสงสัยอยู่มาก
หลวงปู่มั่นกล่าวว่า "การประพฤติปฏิบัตินั้น หากถือเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง" เมื่อคลาย
ความสงสัยในเรื่องนิกายแล้ว หลวงพ่อได้กราบเรียน ถามปัญหากับหลวงปู่มั่น ซึ่งหวงพ่อถ่ายทอดบทสนทนาของท่านกับหลวงปู่มั่น
ให้ศิษย์ฟังว่า
"เกล้ากระผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่... ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร... มีความสงสัยมาก ยังไม่มีหลัก ในการปฏิบัติเลยครับ" หลวงพ่อชาถาม
"มันเป็นยังไง" หลวงปู่มั่นถาม
"ผมหาทางปฏิบัติ... ก็เลยเอาหนังสือวิสุทธิมรรคขึ้นมาอ่าน มีความรู้สึกว่า มันจะไปไม่ไหว เสียแล้ว เนื้อความในสีลานิทเทส สมาธิ
นิทเทส ปัญญานิทเทสนั้น ดูเหมือนไม่ใช่วิสัยของ มนุษย์จะทำได้ ผมมองเห็นว่ามนุษย์ทั่วโลกนี้ มันจะทำตามไม่ได้ครับ มันยาก
มันลำบาก มันเหลือวิสัยจริงๆ ..." หลวงพ่อชาตอบ
หลวงปู่มั่นจึงกล่าวให้ฟังว่า.....
"ท่าน... ของนี้มันมากก็จริงอยู่ ถ้าเราจะกำหนดทุกๆ สิกขาบทในสีลานิทเทสนั้น นะมันก็ลำบาก แต่ความจริงแล้ว สีลานิทเทสก็คือสิ่งที่
บรรยายออกมาจากใจของ คนเรานั่นเอง ถ้าหากว่าเราอบรมจิตของเราให้มีความละอาย มีความกลัวต่อ ความผิดทั้งหมด เราก็จะเป็นคน
ที่สำรวมสังวรระวัง เพราะมีความละอายและ เกรงกลัวต่อความผิด...
เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นเหตุให้เราเป็นคนมักน้อย และสติก็จะกล้าขึ้น จะยืนเดิน นั่ง นอนอยู่ที่ไหน มันจะตั้งอกตั้งใจมีสติเต็มเปี่ยม
เสมอความระวัง มันก็เกิดขึ้น...
อะไรทั้งหมดที่ท่านศึกษาในหนังสือน่ะ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น ถ้าท่านยังไม่ อบรมจิตของท่านให้มีความรู้ มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมี
ความสงสัยอยู่เรื่อยไป...
ดังนั้น ท่านจงรวมธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่เกิดขึ้นมา ถ้าสงสัย... ถ้ายังไม่รู้แจ้งแล้วอย่าไปทำ...
อย่าไปพูด... อย่าไป ละเมิดมัน" หลวงปู่มั่นแนะนำ
คืนนั้น.. หลวงพ่อนั่งฟังธรรมร่วมกับศิษย์ของหลวงปู่มั่น เช่นหลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มหาบัว หลวงปู่ผาง หลวงปู่แหวน จน
กระทั่งถึงเที่ยงคืน จิตใจเกิด ความสงบระงับเป็นสมาธิ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางได้อันตรธานไปสิ้น...
คืนที่สอง... หลวงปู่มั่นได้แสดงปกิณกธรรมต่างๆ ให้ฟังอย่างละเอียดลึกซึ้ง จนหลวงพ่อคลายความลังเลสงสัยในวิถีทางการปฏิบัติ
มีความปลาบปลื้มปิติในธรรมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในวันที่สาม... หลวงพ่อได้กราบลาหลวงปู่มั่น แล้วเดินธุดงค์ลงมาทาง อ.นาแก
จ.นครพนม
จากการได้พบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในครั้งนั้น เป็นประสบการณ์สำคัญที่นำวิถีชีวิตของ หลวงพ่อเข้าสู่กระแสธรรมปฏิบัติอย่างถูกต้อง
และมั่นคง หลวงพ่อเล่าถึงบรรยากาศของการได้ สัมผัสหลวงปู่มั่น และสำนักป่าหนองผือนาใน แก่พระเณรในเวลาต่อมาว่า...
"...ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็เพราะผมได้ ไปกราบครูบาอาจารย์มั่น... ไปพบท่าน แล้วก็เห็น
สภาพวัดวาอารามของท่าน ถึงจะไม่สวยงาม แต่ก็ สะอาดมาก พระเณรตั้งห้าสิบหกสิบขณะฟังการอบรมธรรมจากหลวงปู่มั่น ทุกรูป
เงียบ ! กริบไม่มีการไอการจาม นั่งโยกเยกไม่มีเลยขนาดจะถากแก่นขนุน (แก่นขนุนใช้ต้มเคี่ยว สำหรับย้อมและซักจีวร) ก็ยังแบกเอา
ไปฟันอยู่โน้น.. ไกลๆ โน้น เพราะกลัวว่าจะ ก่อกวนความสงบของหมู่เพื่อน...
พระเณรที่นั่นพอตักน้ำทำกิจอะไรเสร็จ ก็เข้าทางจงกรม ของใครของมัน ไม่ได้ยินเสียงคุยกันอะไร อะไร นอกจากเสียงเท้าที่เดินเท่านั้น
แหละ บางวันประมาณหนึ่งทุ่ม เราก็เข้าไปกราบท่านหลวงปู่มั่นเพื่อฟังธรรม ได้เวลาพอ สมควรประมาณสี่ทุ่มหรือห้าทุ่มก็กลับกุฏิ เอา
ธรรมะที่ได้ฟังไปวิจัย... ไปพิจารณาปฏิบัติดู
เมื่อได้ฟังเทศน์ท่านหลวงปู่มั่นแล้ว ไม่รู้เป็นไง มันอิ่มใจ เดินจงกรมทำสมาธินี่... มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีกำลังมาก ออกจากที่
ประชุมกันแล้วก็เงียบ ! บางครั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อนเขาเดิน จงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน จนได้ย่องไปดูว่าใคร ท่านผู้นั้นเป็นใคร ทำไม
ถึงเดิน ไม่หยุดไม่พัก นั่น... เพราะจิตใจมันมีกำลัง..." นี่แหละการได้อยู่ศึกษากับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรมสามารถบอกสอน
อบรมแนะนำให้เราปฏิบัติถูกทางตามอรรถตามธรรมเมื่อมรรคผลนิพพาน
หลังจากกราบลาท่านหลวงปู่มั่นออกจากสำนักหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าหนองผือนาในแล้ว หลวงพ่อกับคณะเดินธุดงค์รอนแรมพักภาวนา
ตามป่าเขามาเรื่อยๆ ตามคำแนะนำของหลวงปู่มั่น ในขณะนั้นไม่ว่าจะเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิอยู่ที่ใดก็ตามจิตของหลวงพ่อ มีความรู้สึก
ราวกับว่าหลวงปู่มั่นคอยติดตามให้คำแนะนำตักเตือนอยู่ตลอดเวลา... เพื่อมิให้ประมาทในธรรมปฏิบัติ
ขอขอบพระคุณ
https://www.facebook.com/groups/575474612474975/permalink/1196644877024609/
หลวงปู่มั่น ล่วงรู้วาระจิตหลวงพ่อชา
ที่ถูกต้องตามธรรมวินัย ดังเรื่องราวที่หลวงปู่ชาได้เล่าถ่ายทอดให้พระเณรได้ฟังต่อไปนี้
ในระหว่างที่จำพรรษาที่วัดเขาวงกฏ หลวงพ่อชาได้ฟังเรื่องราวของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จาก โยมคนหนึ่ง ซึ่งเคยไปนมัสการ
หลวงปู่มั่น ที่สำนักวัดป่าหนองผือนาใน ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และได้เกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวง
ปู่มั่น และตั้งใจว่าจะต้องไปศึกษาแนวทางการปฏิบัติจากท่านหลวงป่มั่น เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อชาพิจารณาเห็นว่าพระ
ถวัลย์มีความสนใจในการศึกษาตำรับตำรา จึงปรารภ เรื่องวิถีชีวิตกันระหว่างเพื่อน พระถวัลย์ตกลงใจจะไปเรียนปริยัติธรรมที่
กรุงเทพฯ หลวงพ่อกับคณะ พระภาคกลางรวมกันสี่รูป จึงออกเดินทางย้อนกลับมาที่อุบลราชธานี พักอยู่ที่วัดก่อนอกระยะหนึ่ง
แล้วจาริกธุดงค์มุ่งหน้าไปจังหวัดสกลนครเพื่อไปยังเสนาสนะวัดป่าหนองผือนาใน เพื่อรับการอบรมธรรมจากหลวงปู่มั่น
ระหว่างการเดินทางไปสำนักหลวงปู่มั่น ได้แวะสนทนาและศึกษาตามสำนักต่างๆ ที่จาริกผ่านไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และ
ประสบการณ์ และเปรียบเทียบแนวทางปฏิบัติของแต่ละสำนัก การเดินทางครั้งนั้น ผู้ร่วมทางบางคนในคณะเกิดท้อถอย เพราะ
มีความเหน็ดเหนื่อย และยากลำบากมาก ต้องเดินลัดเลาะป่าเขา เดินตามทางเกวียน ประกอบกับเป็นผู้ไม่คุ้นเคยต่อการเดินทาง
ไกลนัก พระบางรูปจึงขอแยกทางกลับคืนถิ่นเดิม หลวงพ่อกับพระ อีกสองรูปที่ไม่เลิกล้มความตั้งใจ ได้ออกเดินทางต่อ ในที่สุด
ก็ถึงสำนักของ หลวงปู่มั่น เสนาสนะวัดป่าหนองผือนาใน
ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่สำนักป่าหนองผือนาใน หลวงพ่อรู้สึกประทับใจในบรรยากาศอันสงบ ร่มรื่นของสำนัก มองดูลานวัดสะอาด
สะอ้าน กิริยามารยาทของเพื่อนบรรพชิตในวัดป่านี้เป็นที่น่าเลื่อมใส จึงเกิดความพึงพอใจยิ่งกว่าสำนักใดๆ ที่เคยเห็นเคยสัมผัสมา
ยามเย็นวันแรกที่ไปถึง ได้เข้ากราบนมัสการ หลวงปู่พร้อมศิษย์ของท่านเพื่อฟังธรรมร่วมกัน หลวงปู่มั่นท่านได้ปฏิสันถาร สอบถาม
เกี่ยวกับอายุ พรรษา และสำนักที่เคยได้ศึกษาปฏิบัติ
แปลกมากเมื่อมาถึงวัดป่าหนองผือนาใน หลวงปู่มั่นท่านเทศน์อบรมเรื่องนิกายธรรมยุติ กับมหานิกาย บังเอิญเป็นเรื่องที่หลวง
พ่อชาสงสัยมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดการเดินทางมาที่นี่หลวงพ่อชาก็กะว่าจะเรียนถามถึงเรื่องสองนิกายนี้ แต่ยังไม่ได้ทันถาม
หลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นท่านเทศน์เรื่องสองนิกายก่อนเลย ทำให้หลวงพ่อชาขนลุกขนพองปลื้มปิติแปลกใจมาก เพราะท่านเพียงแต่คิดในใจ
ท่านเท่านั้นเอง หลวงปู่มั่นท่านทำไมถึงทราบได้ ทำให้หลวงพ่อชามั่นใจในคุณธรรมปฏิบัติของหลวงปู่มั่นมากเป็นลำดับ จากนั้น
ท่านก็ให้โอวาทและปรารภถึงเรื่องนิกายทั้งสอง คือ ธรรมยุติและมหานิกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงพ่อสงสัยอยู่มาก
หลวงปู่มั่นกล่าวว่า "การประพฤติปฏิบัตินั้น หากถือเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง" เมื่อคลาย
ความสงสัยในเรื่องนิกายแล้ว หลวงพ่อได้กราบเรียน ถามปัญหากับหลวงปู่มั่น ซึ่งหวงพ่อถ่ายทอดบทสนทนาของท่านกับหลวงปู่มั่น
ให้ศิษย์ฟังว่า
"เกล้ากระผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่... ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร... มีความสงสัยมาก ยังไม่มีหลัก ในการปฏิบัติเลยครับ" หลวงพ่อชาถาม
"มันเป็นยังไง" หลวงปู่มั่นถาม
"ผมหาทางปฏิบัติ... ก็เลยเอาหนังสือวิสุทธิมรรคขึ้นมาอ่าน มีความรู้สึกว่า มันจะไปไม่ไหว เสียแล้ว เนื้อความในสีลานิทเทส สมาธิ
นิทเทส ปัญญานิทเทสนั้น ดูเหมือนไม่ใช่วิสัยของ มนุษย์จะทำได้ ผมมองเห็นว่ามนุษย์ทั่วโลกนี้ มันจะทำตามไม่ได้ครับ มันยาก
มันลำบาก มันเหลือวิสัยจริงๆ ..." หลวงพ่อชาตอบ
หลวงปู่มั่นจึงกล่าวให้ฟังว่า.....
"ท่าน... ของนี้มันมากก็จริงอยู่ ถ้าเราจะกำหนดทุกๆ สิกขาบทในสีลานิทเทสนั้น นะมันก็ลำบาก แต่ความจริงแล้ว สีลานิทเทสก็คือสิ่งที่
บรรยายออกมาจากใจของ คนเรานั่นเอง ถ้าหากว่าเราอบรมจิตของเราให้มีความละอาย มีความกลัวต่อ ความผิดทั้งหมด เราก็จะเป็นคน
ที่สำรวมสังวรระวัง เพราะมีความละอายและ เกรงกลัวต่อความผิด...
เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นเหตุให้เราเป็นคนมักน้อย และสติก็จะกล้าขึ้น จะยืนเดิน นั่ง นอนอยู่ที่ไหน มันจะตั้งอกตั้งใจมีสติเต็มเปี่ยม
เสมอความระวัง มันก็เกิดขึ้น...
อะไรทั้งหมดที่ท่านศึกษาในหนังสือน่ะ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น ถ้าท่านยังไม่ อบรมจิตของท่านให้มีความรู้ มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมี
ความสงสัยอยู่เรื่อยไป...
ดังนั้น ท่านจงรวมธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่เกิดขึ้นมา ถ้าสงสัย... ถ้ายังไม่รู้แจ้งแล้วอย่าไปทำ...
อย่าไปพูด... อย่าไป ละเมิดมัน" หลวงปู่มั่นแนะนำ
คืนนั้น.. หลวงพ่อนั่งฟังธรรมร่วมกับศิษย์ของหลวงปู่มั่น เช่นหลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มหาบัว หลวงปู่ผาง หลวงปู่แหวน จน
กระทั่งถึงเที่ยงคืน จิตใจเกิด ความสงบระงับเป็นสมาธิ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางได้อันตรธานไปสิ้น...
คืนที่สอง... หลวงปู่มั่นได้แสดงปกิณกธรรมต่างๆ ให้ฟังอย่างละเอียดลึกซึ้ง จนหลวงพ่อคลายความลังเลสงสัยในวิถีทางการปฏิบัติ
มีความปลาบปลื้มปิติในธรรมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในวันที่สาม... หลวงพ่อได้กราบลาหลวงปู่มั่น แล้วเดินธุดงค์ลงมาทาง อ.นาแก
จ.นครพนม
จากการได้พบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในครั้งนั้น เป็นประสบการณ์สำคัญที่นำวิถีชีวิตของ หลวงพ่อเข้าสู่กระแสธรรมปฏิบัติอย่างถูกต้อง
และมั่นคง หลวงพ่อเล่าถึงบรรยากาศของการได้ สัมผัสหลวงปู่มั่น และสำนักป่าหนองผือนาใน แก่พระเณรในเวลาต่อมาว่า...
"...ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็เพราะผมได้ ไปกราบครูบาอาจารย์มั่น... ไปพบท่าน แล้วก็เห็น
สภาพวัดวาอารามของท่าน ถึงจะไม่สวยงาม แต่ก็ สะอาดมาก พระเณรตั้งห้าสิบหกสิบขณะฟังการอบรมธรรมจากหลวงปู่มั่น ทุกรูป
เงียบ ! กริบไม่มีการไอการจาม นั่งโยกเยกไม่มีเลยขนาดจะถากแก่นขนุน (แก่นขนุนใช้ต้มเคี่ยว สำหรับย้อมและซักจีวร) ก็ยังแบกเอา
ไปฟันอยู่โน้น.. ไกลๆ โน้น เพราะกลัวว่าจะ ก่อกวนความสงบของหมู่เพื่อน...
พระเณรที่นั่นพอตักน้ำทำกิจอะไรเสร็จ ก็เข้าทางจงกรม ของใครของมัน ไม่ได้ยินเสียงคุยกันอะไร อะไร นอกจากเสียงเท้าที่เดินเท่านั้น
แหละ บางวันประมาณหนึ่งทุ่ม เราก็เข้าไปกราบท่านหลวงปู่มั่นเพื่อฟังธรรม ได้เวลาพอ สมควรประมาณสี่ทุ่มหรือห้าทุ่มก็กลับกุฏิ เอา
ธรรมะที่ได้ฟังไปวิจัย... ไปพิจารณาปฏิบัติดู
เมื่อได้ฟังเทศน์ท่านหลวงปู่มั่นแล้ว ไม่รู้เป็นไง มันอิ่มใจ เดินจงกรมทำสมาธินี่... มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีกำลังมาก ออกจากที่
ประชุมกันแล้วก็เงียบ ! บางครั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อนเขาเดิน จงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน จนได้ย่องไปดูว่าใคร ท่านผู้นั้นเป็นใคร ทำไม
ถึงเดิน ไม่หยุดไม่พัก นั่น... เพราะจิตใจมันมีกำลัง..." นี่แหละการได้อยู่ศึกษากับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรมสามารถบอกสอน
อบรมแนะนำให้เราปฏิบัติถูกทางตามอรรถตามธรรมเมื่อมรรคผลนิพพาน
หลังจากกราบลาท่านหลวงปู่มั่นออกจากสำนักหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าหนองผือนาในแล้ว หลวงพ่อกับคณะเดินธุดงค์รอนแรมพักภาวนา
ตามป่าเขามาเรื่อยๆ ตามคำแนะนำของหลวงปู่มั่น ในขณะนั้นไม่ว่าจะเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิอยู่ที่ใดก็ตามจิตของหลวงพ่อ มีความรู้สึก
ราวกับว่าหลวงปู่มั่นคอยติดตามให้คำแนะนำตักเตือนอยู่ตลอดเวลา... เพื่อมิให้ประมาทในธรรมปฏิบัติ
ขอขอบพระคุณ https://www.facebook.com/groups/575474612474975/permalink/1196644877024609/