หัวข้อกระทู้เหมือนอัพเรื่องตลก แต่เปล่า ชีวิตเราดราม่ามาก 555
เห็นคนแชร์ประสบการณ์ดูแลตัวเอง เราก็เปลี่ยนแปลงไม่น้อยไปกว่าใคร
เมื่อก่อนไม่กล้าที่จะลง กลัวการถูกวิจารณ์ แคร์สังคมและคนรอบข้างมากเกินไป
ปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองยังสตรองไม่พอ ตอนนี้แข็งขึ้นมากแล้ว
คำพูดคนไม่มีด ที่จะกรีดให้เลือดไหล
555
เราได้แรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองจากคนหลายๆคน
เราก็หวังว่าการอ่านเรื่องราวของเราจะทำให้คนลุกขึ้นสู้ได้บ้าง
เลิกดูถูกศักยภาพของตัวเอง อย่าท้อ คิดว่าสายเกินไป ที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง
ดูอย่างเรา ไม่คิดเลยว่าตัวเองทำได้ สุดท้ายก็ทำสำเร็จ
แต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย เราต้องสู้กับตัวเองอีกเยอะ ต้องพัฒนาอีกมากกว่าจะไปถึงฝัน
((ย้อนอดีต))
เราเคยเป็นคนที่ดูถูกตัวเองมากๆ คิดลบ มองคนอื่นในแง่ร้าย ปิดตัว เก็บตัวเอง
อยากเป็นอย่างคนนั้นคนนี้ ทำไมถึงไม่มีชีวิตอิสระอย่างคนอื่น
เกลียด ความเป็นผู้หญิงของตัวเอง
สมองช้า โง่ ความจำไม่ดี พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
ทำไมตัวเองไม่มีดีซักอย่าง
อยากตายอยู่ตลอดเวลา
เกลียดร่างกายของตัวเอง ทำไมต้องเป็นโรคบ้าๆนี่ด้วย ทำไมไม่เป็นหนักพิการไปเลยละ
เราเป็นโรค hypermobility syndromeหรือภาษาไทยเรียกว่า ไขข้อยืดหยุ่นผิดปกติ
ต้องกินยากดภูมิอยู่ตลอด ร่างกายต้องสร้างแต่รายกายของเรากับทำลาย
ทุกส่วนที่เป็นไขข้อของร่างกายจะอ่อนไปหมด โดยเฉพาะข้อมือข้อนิ้ว และหัวเข่า
ยกของหนัก หรือทำอะไรหนักๆไม่ได้ มันจะเจ็บ ทนปวดไม่ได้ด้วย
เพราะมือจะล้าจะสั่น แขนไม่มีแรง ข้อนิ้วจะบวมงอไม่ได้
จะเจ็บหนักมากช่วงหน้าหนาว
มือเราจะเหมือนมือหนีบตุ๊กตาในห้าง จับอะไรหนักๆจะไม่อยู่
มันจะจี๊ดดเหมือนมีไฟช็อด พร้อมปล่อยของตลอดเวลา
เข่าก็เดินมากไม่ได้ จะเอี๊ยดๆเจ็บๆอยู่ข้างใน นั่งยองไม่ได้
เราสามารถทำท่าประหลาดๆได้หลายอย่าง
ทำได้แบบชิวๆหรือเปล่า?เราทำแบบหักสบายๆไม่เจ็บเลยนะ
หักแขน เอาไหล่ขึ้นมาติดหูทั้ง2ข้าง เอามือขวาอ้อมหลังคอ ไปจับหน้าอกข้างซ้ายได้
สำหรับเรามันคือโรคคุณหนู ถูกว่าสำออย
เพราะเราเป็นคนโครงร่างใหญ่ สูง170 เราเจ็บมาเยอะกับคนที่ไม่เข้าใจ
สภาพร่างกายเหมือนคนปกติทุกอย่าง ไม่บิดงอเหมือนคนเป็นรูมาตอย
เป็นมาแต่กำเนิด แต่เพิ่งมารู้ว่าเป็นตอน มหาวิทยาลัย ในวิชาพิมพ์ดีด
ต้องใช้ข้อนิ้วกดพิมพ์ไง คือปวดทรมาณมาก
เมื่อก่อนไม่รู้ เพราะไม่ได้ทำอะไร มีพี่เลี้ยงอยู่จนม 6
พอรู้ว่าเป็น เหมือนจิตตก เพราะหมอบอกโรคนี้รักษาไม่หาย
ต้องทนปวดไปตลอดชีวิต เรื่องเรียนก็เครียด เหมือนมีอะไรบ้าบอเข้ามาเยอะแยะมาก
ท่องบทพูดจะไปสอบตัวไกด์ อยู่ๆก็จำอะไรไม่ได้เลย ท่องไม่เข้าหัว
สมองมืดไปหมด ความกลัวเริ่มเข้ามา กลัวสายตาดูถูกจากเพื่อนๆ
กลัวเป็นตัวตลกของเพื่อน เหมือนสมัยเรียน
ภาพวันวานย้อนมาในหัวอีกครั้ง ความทรงจำที่อยากลบมันออกไปจากชีวิต
ชีวิตเหมือนละครเลยหละ
ชีวิตของเราพลิกพลันตลอด
ช่วงเด็กมากๆ เราจะหน้าเหมือนเด็กผู้ชาย
ย่ายังบอก ทำไมหนูหน้าเหมือนผู้ชายอย่างงี้ลูก
ช่วงนี้ มีแต่คนบอกว่าน่ารัก โตขึ้นสวยแน่ๆ
ตัวเล็กผมยาวตรง จะเป็นเด็กดื้อ ขี้โวยวาย อารมณ์ร้อนและมั่นใจในตัวเองสูงมาก
ชอบขึ้นแสดงของโรงเรียน ไม่ได้ขึ้นจะร้องไห้ อยากเป็นนางแบบ
นักแสดง นักพูด นักพากย์และนักร้อง
ท่าโพสรูปจัดว่าเด็ดทุกท่า ไม่รู้สรรหามาจากไหน
คิดเองด้วยนะไม่มีใครบอก
ช่วงย้ายโรงเรียนใหญ่ เป็นอะไรที่ชีวิตตกต่ำมาก
พอเริ่มโตอะไรก็เปลี่ยน ผมจากเคยยาวตรงก็เริ่มหยักโศก โดนตัดผมเท่าติ่งหูทั้งโรงเรียนด้วย
อ้วนขึ้น น้ำหนักพุ่งไปถึง85 เพราะกินเก่ง
มาช่วงแรกๆก็ยังคงเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงอยู่ ยังชอบร้องเพลง
และชอบขึ้นเวที แชมป์ต่อเพลง เพลงยุค 90 ร้องได้หมดขอให้บอก
มาขาดความมั่นใจก็ตอน การเรียนมันแย่ สมองไม่ค่อยดีพูดหน้าชั้นเพื่อนจะหัวเราะเยอะ
เคยถูกครูว่า อยู่ม2 สมองยังกับเด็กป4.
อย่าตกใจที่เห็นภาพนี้ว่าเราผอมแล้ว ใช่เราลดน้ำหนักแบบผิดวิธี ในเวลาอันรวดเร็ว
จาก 85 ลดเหลือ 60กว่าๆ ตากแดดบ่อยก็ดำ สภาพแย่มาก สิวขึ้นด้วยถามว่าทำไมอยู่ถึงลดอะเหรอ?
ชอบทอม อยากให้มันมาสนใจไง 555555555อยู่หญิงล้วนไง แต่มันก็ไม่สนใจเราหรอกเพราะเรา
หน้าตาห่วยมากตอนนั้น มันมีคนมาชอบเยอะ อยู่วงโย นักกีฬาบาสอีก
มันไม่ชอบแถมยังกูเพื่อนกับเพื่อนแกล้งอีก
ฉายาเราคือ ไอ้แมงสาบ ไม่ค่อยจะทันคนไหวพริบต่ำ
การเรียนแย่ กีฬาห่วย ไม่ค่อยมีเพื่อนคบโดนเพื่อนแกล้ง บางทีก็กินข้าวคนเดียว
โรงเรียนที่นั้นมีจนถึงม3 ม6 เราก็ย้ายไปที่โรงเรียนเก่าอีกครั้ง
เราก็เรียนห่วยมาตลอด ได้ฉายาใหม่ “กิ๊บเอ๋อ”
โดนล้อโดนแซวตลอด บอกได้เลยว่า ไม่ชอบเพื่อนสมัยเรียน
คบแต่เพื่อนที่คุยเรื่องดาราญี่ปุ่นเหมือนกัน
เริ่มแต่งฟิค ทำตัวผิดระเบียบ ซอยผมสั้น
ช่วงม6.สภาพก็ดีขึ้นหน่อย มีแฟนคนแรกเป็นผู้หญิง
ไงละ ม.ต้น ชอบทอม ม.ปลายมีแฟนเป็นผู้หญิง
จบม6 เราก็ย้ายมาอยู่เชียงใหม่
คิดว่าเราควรเปลี่ยนตัวเองได้แล้วหละกูจะไม่ใช่"กิ๊บเอ๋อ"คนเดิม
เปลี่ยนชื่อ ซอยผมสั้นย้อมสีผมจัดมาก(ตามดาราญี่ปุ่นที่ชอบ)
คบเพื่อนที่ชอบนักร้องเหมือนกัน สมัยนี้เด็กเรียกว่าอะไรนะ"ติ่ง"
นั้นแหละ 55555
เราก็เปลี่ยนตัวเองได้จริงๆ เริ่มมั่นใจ
คนจะคิดว่าเราเป็นทอม สมัยนั้น จะโดนเรียกว่ากอล์ฟไมค์ๆ
มีคนบอกว่าเราหน้าเหมือนกอล์ฟ พิชญะ เอม เดอะสตาร์
แต่เพื่อนสนิทจริงๆจะรู้ดี อยากได้เครื่องสำอางค์อะไรขอให้บอก
จัดให้มีครบหมด
น้องที่เป็นเกย์ บอกว่าเราเป็นตุ๊ดแอ๊บแมน
ตอนนั้นก็ยังสับสนตัวเองว่าเป็นอะไรกันแน่
เพิ่งมีบทสรุปได้ไม่นานมานี้
ผู้หญิงแอ๊บแมนชอบแต่งหน้าอยากเป็นตุ๊ด สายรุกนะครับบบ
ล้อเล่นๆ
สำหรับเรานะ รักกันไม่ได้รักที่เพศ รู้สึกรักใครแล้วเพศก็ไม่สำคัญแล้วหละ
ถามว่าชอบมองแบบไหน ก็ทั้ง 2เพศ
ชอบผู้หญิงหน้าเหมือนลูกแมว ผู้ชายหน้าหวาน
6 แพค สเปคสาวทั่วไปคือเรายี้มาก ไม่ชอบ
ช่วงมหาลัยชีวิตดี๊ดี มีเพื่อนดี การเรียนดี (เราเรียนมนุษย์ญี่ปุ่น)
คนชอบญี่ปุ่นก็ต้องสรรหาไปงานเกี่ยวกับญี่ปุ่นใช่ไหม?
ใช่ ไปงานไปดูโคฟเวอร์วง j pop ที่เราชอบ
รู้สึกว่ามีสายตาคนมองอยู่ สายตาปลื้มๆเรา จากสาวกJ rock บอกว่าเราเหมือนเทพในวง
การคอสคนนึง นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่รู้จักเพื่อนคอสเพลย์ และหนุ่มvisual kei (J rock)
เราเป็นคนชอบหนุ่มหน้าหวานบอบบางด้วยนะสิ
เราชอบอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นanime j - popอยู่แล้ว เลยโดนสะกดจิตเข้าวงการได้ง่าย
(รูปบางส่วนนะ รูปหายบ้างเพราะแผ่นเสีย )
เราเป็นคนสูง ขาว หน้าตามีเอกลักษณ์ เหมาะที่จะคอสตัวผู้
สมัยนั้น(ย้อนไป10ปีที่แล้ว) คนตัวสูงมีน้อย เป็นที่ต้องการ

หน้าเหมือน หนุ่มvisual kei (J rock) แต่งผู้ชายจะออกมาดูดี
ได้คอสตัวละครที่ชอบ แต่งแล้วออกมาเหมือนมันรู้สึกฟินมาก
อยากคอสเป็นตัวผู้หญิงบ้างนะ แต่สาว 170 โครงใหญ่ถึกและบึกบึน
คงคอสเป็นสาวน้อยไม่ขึ้น ดูคนคอสน่ารักๆฟินกว่า
55555
มีคนมาชอบเยอะ มีสาวน้อยมาชอบ หนุ่มหน้าหวานตัวบางๆมาจีบ
ชีวิตมีความสุขมากกกกกกกก เริ่มกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง
ความสุขอยู่กับเราได้ไม่นาน ก็มีเรื่องให้เครียด
เรื่องครอบครัวขอไท่พูดถึง เดี๋ยวดราม่าจะกันยาว พูดแต่เรื่องตัวเองละกันเนอะ
เราเป็นคนสมองไม่ดี ต้องท่องจำมากกว่าคนอื่นหลายเท่า
ต้องพยายามมากๆ กดดันตัวเอง เราต้องไม่ใช่กิ๊บเอ๋อคนเดิม
พยายามจนเครียด สมองกลายเป็นจำอะไรไม่ได้
สมองเบลอๆเอ่อๆ นอนแล้วคอกระตุก นอนไม่ได้
คอกระตุกแรงตลอด สะดุ้งตื่นมาร้องไห้ทุกวัน
จนไปพบจิตแพทย์ ดรอปเรียน ตอนแรกกะไม่เรียนหนังสือต่อแล้ว
จำอะไรไม่ได้มันจะดูโง่ในสายตาคนอื่น
กลายเป็นคนพูดประโยคยาวๆไม่ได้
พูดตะกุกตะกัก นึกคำพูดไม่ออก
เป็นลมชักอ่อนๆ เหมือนช็อกเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง
เก็บตัวเองอยู่ในโลกของตัวเอง
ทางหมอจิตวิทยาให้เข้าร่วมปฎิบัติธรรมของทางคณะแพทย์
มีให้ระบายความในใจให้พระฟังเราก็บอกเราบอกไม่มีดีอะไรซักอย่างโง่ สมองช้า.พูดอังกฤษไม่ได้
พระท่านพูดสั้น.มีดีสิ.หน้าตาไง
55555
ท่านพูดให้เราขำ ก็จริงนะ หลักฐานมันอยู่บนหน้าละ ปฏิเสธไม่ได้
เราเริ่มสนใจจิตวิทยา เพื่อมารักษาตัวเองพร้อมปฎิบัติธรรม
กลับไปเรียนแต่เลือกตัวโทจิตวิทยา เพราะสมองเราจำอะไรไม่ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เป็นไกด์ คงไม่ได้พูดไม่คล่องแล้ว คำศัพท์ที่เคยจำได้ลืมไปหมด
เอาเป็นว่าช่วงนี้ก็หมึ่นหมองประครองอารมณ์ตัวเองไปได้เรียนจิตวิทยาแล้วได้รู้วิธีคิดดีๆเยอะ
อย่าเรื่อง มนุษย์สัมพันธ์ เราบอกอาจารย์ว่าเราเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี
อ.เลยบอกคนส่วนใหญ่จะชอบพูดมากกว่ารับฟังคนอื่น. เราเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ใช่เหรอ?
เราเป็นส่วนน้อยที่ดี บางทีคนเราก็แค่ต้องการระบาย มีคนคอยฟัง
พูดแล้วมันสบายใจมากและเราก็รู้สึกดีมากๆที่มีคนคอยฟังเพื่อนที่เราคบจะเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมากและเราก็เข้าใจกันมากด้วย
พูดถึงเรื่องเรียนต่อเราก็เรียนอย่างทุลักทุเล ผลการเรียนก็ไม่ดี พิมพ์ตัวจบไปร้องไห้ไป
เพราะปวดนิ้ว นิ้วบวม จบมาได้ก็ถือว่าบุญมาก จบไปก็ทำงานสายทีเรียนไม่ได้ เพราะจะเอ๋อๆ
พูดตะกุกตะกัก นิ้วก็เจ็บ ร่างกายแย่ เลยขออาทำงานด้วย
อย่าว่าแหละ คนไม่ค่อยได้ทำอะไรมาทำงานที่ต้องใช้ข้อมือก็ยิ่งเจ็บ
สภาพจิตใจก็แย่ตอนทำงานเราเครียด แล้วก็ลงที่กิน น้ำหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เรื่องงานเราขอไม่ลงลายระเอียดเยอะนะ ทำได้อยู่ปี โดนเรียกไปคอมเพลน
จนจิตตก โทษตัวเอง เพราะร่างกายเป็นแบบนี้เลยทำอะไรไม่ได้เหมือนคนอื่นเค้า
ไม่มีใครเข้าใจ ยิ่งหน้าหนาวยิ่งปวด เรากลับมาอยู่บ้าน
ไม่ทำงานอะไร เก็บตัวอยู่ในห้อง น้ำหนักขึ้น15โล อ้วนมาก อ้วนจนไม่กล้าถ่ายรูป
(อันนี้ภาพช่วงทำงานนะ ในภาพขึ้น10โล)
สภาพร่างกายแย่มาก สภาพจิตใจก็แย่เช่นกัน คิดฆ่าตัวตายตลอดเวลา
แต่ไม่ทำเพราะกลัวบาป อยู่ไปวันๆรอความตายคิดในแง่ลบ ทั้งตัวเอง และก็เพื่อน ปลีกตัวออกจากสังคม ไม่คบใคร
อยู่ในห้องเงียบๆคนเดียว เครียดมากใบหน้าหมอง สิวขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อนขึ้นแบบนั้นมากกกกกกกกกกกกกกก
(ข้อความเกิน ต่อเรื่องเม้นแรกนะคะ)
[แชร์ประสบการณ์] เปลี่ยนตัวเองหนักมาก สาวสับสน ผู้หญิงแอ๊บแมนชอบแต่งหน้าอยากเป็นตุ๊ด สายรุกนะคะ
เห็นคนแชร์ประสบการณ์ดูแลตัวเอง เราก็เปลี่ยนแปลงไม่น้อยไปกว่าใคร
เมื่อก่อนไม่กล้าที่จะลง กลัวการถูกวิจารณ์ แคร์สังคมและคนรอบข้างมากเกินไป
ปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองยังสตรองไม่พอ ตอนนี้แข็งขึ้นมากแล้ว
คำพูดคนไม่มีด ที่จะกรีดให้เลือดไหล
555
เราได้แรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองจากคนหลายๆคน
เราก็หวังว่าการอ่านเรื่องราวของเราจะทำให้คนลุกขึ้นสู้ได้บ้าง
เลิกดูถูกศักยภาพของตัวเอง อย่าท้อ คิดว่าสายเกินไป ที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง
ดูอย่างเรา ไม่คิดเลยว่าตัวเองทำได้ สุดท้ายก็ทำสำเร็จ
แต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย เราต้องสู้กับตัวเองอีกเยอะ ต้องพัฒนาอีกมากกว่าจะไปถึงฝัน
((ย้อนอดีต))
เราเคยเป็นคนที่ดูถูกตัวเองมากๆ คิดลบ มองคนอื่นในแง่ร้าย ปิดตัว เก็บตัวเอง
อยากเป็นอย่างคนนั้นคนนี้ ทำไมถึงไม่มีชีวิตอิสระอย่างคนอื่น
เกลียด ความเป็นผู้หญิงของตัวเอง
สมองช้า โง่ ความจำไม่ดี พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
ทำไมตัวเองไม่มีดีซักอย่าง
อยากตายอยู่ตลอดเวลา
เกลียดร่างกายของตัวเอง ทำไมต้องเป็นโรคบ้าๆนี่ด้วย ทำไมไม่เป็นหนักพิการไปเลยละ
เราเป็นโรค hypermobility syndromeหรือภาษาไทยเรียกว่า ไขข้อยืดหยุ่นผิดปกติ
ต้องกินยากดภูมิอยู่ตลอด ร่างกายต้องสร้างแต่รายกายของเรากับทำลาย
ทุกส่วนที่เป็นไขข้อของร่างกายจะอ่อนไปหมด โดยเฉพาะข้อมือข้อนิ้ว และหัวเข่า
ยกของหนัก หรือทำอะไรหนักๆไม่ได้ มันจะเจ็บ ทนปวดไม่ได้ด้วย
เพราะมือจะล้าจะสั่น แขนไม่มีแรง ข้อนิ้วจะบวมงอไม่ได้
จะเจ็บหนักมากช่วงหน้าหนาว
มือเราจะเหมือนมือหนีบตุ๊กตาในห้าง จับอะไรหนักๆจะไม่อยู่
มันจะจี๊ดดเหมือนมีไฟช็อด พร้อมปล่อยของตลอดเวลา
เข่าก็เดินมากไม่ได้ จะเอี๊ยดๆเจ็บๆอยู่ข้างใน นั่งยองไม่ได้
เราสามารถทำท่าประหลาดๆได้หลายอย่าง
ทำได้แบบชิวๆหรือเปล่า?เราทำแบบหักสบายๆไม่เจ็บเลยนะ
หักแขน เอาไหล่ขึ้นมาติดหูทั้ง2ข้าง เอามือขวาอ้อมหลังคอ ไปจับหน้าอกข้างซ้ายได้
สำหรับเรามันคือโรคคุณหนู ถูกว่าสำออย
เพราะเราเป็นคนโครงร่างใหญ่ สูง170 เราเจ็บมาเยอะกับคนที่ไม่เข้าใจ
สภาพร่างกายเหมือนคนปกติทุกอย่าง ไม่บิดงอเหมือนคนเป็นรูมาตอย
เป็นมาแต่กำเนิด แต่เพิ่งมารู้ว่าเป็นตอน มหาวิทยาลัย ในวิชาพิมพ์ดีด
ต้องใช้ข้อนิ้วกดพิมพ์ไง คือปวดทรมาณมาก
เมื่อก่อนไม่รู้ เพราะไม่ได้ทำอะไร มีพี่เลี้ยงอยู่จนม 6
พอรู้ว่าเป็น เหมือนจิตตก เพราะหมอบอกโรคนี้รักษาไม่หาย
ต้องทนปวดไปตลอดชีวิต เรื่องเรียนก็เครียด เหมือนมีอะไรบ้าบอเข้ามาเยอะแยะมาก
ท่องบทพูดจะไปสอบตัวไกด์ อยู่ๆก็จำอะไรไม่ได้เลย ท่องไม่เข้าหัว
สมองมืดไปหมด ความกลัวเริ่มเข้ามา กลัวสายตาดูถูกจากเพื่อนๆ
กลัวเป็นตัวตลกของเพื่อน เหมือนสมัยเรียน
ภาพวันวานย้อนมาในหัวอีกครั้ง ความทรงจำที่อยากลบมันออกไปจากชีวิต
ชีวิตเหมือนละครเลยหละ
ชีวิตของเราพลิกพลันตลอด
ช่วงเด็กมากๆ เราจะหน้าเหมือนเด็กผู้ชาย
ย่ายังบอก ทำไมหนูหน้าเหมือนผู้ชายอย่างงี้ลูก
ช่วงนี้ มีแต่คนบอกว่าน่ารัก โตขึ้นสวยแน่ๆ
ตัวเล็กผมยาวตรง จะเป็นเด็กดื้อ ขี้โวยวาย อารมณ์ร้อนและมั่นใจในตัวเองสูงมาก
ชอบขึ้นแสดงของโรงเรียน ไม่ได้ขึ้นจะร้องไห้ อยากเป็นนางแบบ
นักแสดง นักพูด นักพากย์และนักร้อง
ท่าโพสรูปจัดว่าเด็ดทุกท่า ไม่รู้สรรหามาจากไหน
คิดเองด้วยนะไม่มีใครบอก
ช่วงย้ายโรงเรียนใหญ่ เป็นอะไรที่ชีวิตตกต่ำมาก
พอเริ่มโตอะไรก็เปลี่ยน ผมจากเคยยาวตรงก็เริ่มหยักโศก โดนตัดผมเท่าติ่งหูทั้งโรงเรียนด้วย
อ้วนขึ้น น้ำหนักพุ่งไปถึง85 เพราะกินเก่ง
มาช่วงแรกๆก็ยังคงเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงอยู่ ยังชอบร้องเพลง
และชอบขึ้นเวที แชมป์ต่อเพลง เพลงยุค 90 ร้องได้หมดขอให้บอก
มาขาดความมั่นใจก็ตอน การเรียนมันแย่ สมองไม่ค่อยดีพูดหน้าชั้นเพื่อนจะหัวเราะเยอะ
เคยถูกครูว่า อยู่ม2 สมองยังกับเด็กป4.
อย่าตกใจที่เห็นภาพนี้ว่าเราผอมแล้ว ใช่เราลดน้ำหนักแบบผิดวิธี ในเวลาอันรวดเร็ว
จาก 85 ลดเหลือ 60กว่าๆ ตากแดดบ่อยก็ดำ สภาพแย่มาก สิวขึ้นด้วยถามว่าทำไมอยู่ถึงลดอะเหรอ?
ชอบทอม อยากให้มันมาสนใจไง 555555555อยู่หญิงล้วนไง แต่มันก็ไม่สนใจเราหรอกเพราะเรา
หน้าตาห่วยมากตอนนั้น มันมีคนมาชอบเยอะ อยู่วงโย นักกีฬาบาสอีก
มันไม่ชอบแถมยังกูเพื่อนกับเพื่อนแกล้งอีก
ฉายาเราคือ ไอ้แมงสาบ ไม่ค่อยจะทันคนไหวพริบต่ำ
การเรียนแย่ กีฬาห่วย ไม่ค่อยมีเพื่อนคบโดนเพื่อนแกล้ง บางทีก็กินข้าวคนเดียว
โรงเรียนที่นั้นมีจนถึงม3 ม6 เราก็ย้ายไปที่โรงเรียนเก่าอีกครั้ง
เราก็เรียนห่วยมาตลอด ได้ฉายาใหม่ “กิ๊บเอ๋อ”
โดนล้อโดนแซวตลอด บอกได้เลยว่า ไม่ชอบเพื่อนสมัยเรียน
คบแต่เพื่อนที่คุยเรื่องดาราญี่ปุ่นเหมือนกัน
เริ่มแต่งฟิค ทำตัวผิดระเบียบ ซอยผมสั้น
ช่วงม6.สภาพก็ดีขึ้นหน่อย มีแฟนคนแรกเป็นผู้หญิง
ไงละ ม.ต้น ชอบทอม ม.ปลายมีแฟนเป็นผู้หญิง
จบม6 เราก็ย้ายมาอยู่เชียงใหม่
คิดว่าเราควรเปลี่ยนตัวเองได้แล้วหละกูจะไม่ใช่"กิ๊บเอ๋อ"คนเดิม
เปลี่ยนชื่อ ซอยผมสั้นย้อมสีผมจัดมาก(ตามดาราญี่ปุ่นที่ชอบ)
คบเพื่อนที่ชอบนักร้องเหมือนกัน สมัยนี้เด็กเรียกว่าอะไรนะ"ติ่ง"
นั้นแหละ 55555
เราก็เปลี่ยนตัวเองได้จริงๆ เริ่มมั่นใจ
คนจะคิดว่าเราเป็นทอม สมัยนั้น จะโดนเรียกว่ากอล์ฟไมค์ๆ
มีคนบอกว่าเราหน้าเหมือนกอล์ฟ พิชญะ เอม เดอะสตาร์
แต่เพื่อนสนิทจริงๆจะรู้ดี อยากได้เครื่องสำอางค์อะไรขอให้บอก
จัดให้มีครบหมด
น้องที่เป็นเกย์ บอกว่าเราเป็นตุ๊ดแอ๊บแมน
ตอนนั้นก็ยังสับสนตัวเองว่าเป็นอะไรกันแน่
เพิ่งมีบทสรุปได้ไม่นานมานี้
ผู้หญิงแอ๊บแมนชอบแต่งหน้าอยากเป็นตุ๊ด สายรุกนะครับบบ
ล้อเล่นๆ
สำหรับเรานะ รักกันไม่ได้รักที่เพศ รู้สึกรักใครแล้วเพศก็ไม่สำคัญแล้วหละ
ถามว่าชอบมองแบบไหน ก็ทั้ง 2เพศ
ชอบผู้หญิงหน้าเหมือนลูกแมว ผู้ชายหน้าหวาน
6 แพค สเปคสาวทั่วไปคือเรายี้มาก ไม่ชอบ
ช่วงมหาลัยชีวิตดี๊ดี มีเพื่อนดี การเรียนดี (เราเรียนมนุษย์ญี่ปุ่น)
คนชอบญี่ปุ่นก็ต้องสรรหาไปงานเกี่ยวกับญี่ปุ่นใช่ไหม?
ใช่ ไปงานไปดูโคฟเวอร์วง j pop ที่เราชอบ
รู้สึกว่ามีสายตาคนมองอยู่ สายตาปลื้มๆเรา จากสาวกJ rock บอกว่าเราเหมือนเทพในวง
การคอสคนนึง นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่รู้จักเพื่อนคอสเพลย์ และหนุ่มvisual kei (J rock)
เราเป็นคนชอบหนุ่มหน้าหวานบอบบางด้วยนะสิ
เราชอบอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นanime j - popอยู่แล้ว เลยโดนสะกดจิตเข้าวงการได้ง่าย
(รูปบางส่วนนะ รูปหายบ้างเพราะแผ่นเสีย )
เราเป็นคนสูง ขาว หน้าตามีเอกลักษณ์ เหมาะที่จะคอสตัวผู้
สมัยนั้น(ย้อนไป10ปีที่แล้ว) คนตัวสูงมีน้อย เป็นที่ต้องการ
หน้าเหมือน หนุ่มvisual kei (J rock) แต่งผู้ชายจะออกมาดูดี
ได้คอสตัวละครที่ชอบ แต่งแล้วออกมาเหมือนมันรู้สึกฟินมาก
อยากคอสเป็นตัวผู้หญิงบ้างนะ แต่สาว 170 โครงใหญ่ถึกและบึกบึน
คงคอสเป็นสาวน้อยไม่ขึ้น ดูคนคอสน่ารักๆฟินกว่า
55555
มีคนมาชอบเยอะ มีสาวน้อยมาชอบ หนุ่มหน้าหวานตัวบางๆมาจีบ
ชีวิตมีความสุขมากกกกกกกก เริ่มกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง
ความสุขอยู่กับเราได้ไม่นาน ก็มีเรื่องให้เครียด
เรื่องครอบครัวขอไท่พูดถึง เดี๋ยวดราม่าจะกันยาว พูดแต่เรื่องตัวเองละกันเนอะ
เราเป็นคนสมองไม่ดี ต้องท่องจำมากกว่าคนอื่นหลายเท่า
ต้องพยายามมากๆ กดดันตัวเอง เราต้องไม่ใช่กิ๊บเอ๋อคนเดิม
พยายามจนเครียด สมองกลายเป็นจำอะไรไม่ได้
สมองเบลอๆเอ่อๆ นอนแล้วคอกระตุก นอนไม่ได้
คอกระตุกแรงตลอด สะดุ้งตื่นมาร้องไห้ทุกวัน
จนไปพบจิตแพทย์ ดรอปเรียน ตอนแรกกะไม่เรียนหนังสือต่อแล้ว
จำอะไรไม่ได้มันจะดูโง่ในสายตาคนอื่น
กลายเป็นคนพูดประโยคยาวๆไม่ได้
พูดตะกุกตะกัก นึกคำพูดไม่ออก
เป็นลมชักอ่อนๆ เหมือนช็อกเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง
เก็บตัวเองอยู่ในโลกของตัวเอง
ทางหมอจิตวิทยาให้เข้าร่วมปฎิบัติธรรมของทางคณะแพทย์
มีให้ระบายความในใจให้พระฟังเราก็บอกเราบอกไม่มีดีอะไรซักอย่างโง่ สมองช้า.พูดอังกฤษไม่ได้
พระท่านพูดสั้น.มีดีสิ.หน้าตาไง
55555
ท่านพูดให้เราขำ ก็จริงนะ หลักฐานมันอยู่บนหน้าละ ปฏิเสธไม่ได้
เราเริ่มสนใจจิตวิทยา เพื่อมารักษาตัวเองพร้อมปฎิบัติธรรม
กลับไปเรียนแต่เลือกตัวโทจิตวิทยา เพราะสมองเราจำอะไรไม่ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เป็นไกด์ คงไม่ได้พูดไม่คล่องแล้ว คำศัพท์ที่เคยจำได้ลืมไปหมด
เอาเป็นว่าช่วงนี้ก็หมึ่นหมองประครองอารมณ์ตัวเองไปได้เรียนจิตวิทยาแล้วได้รู้วิธีคิดดีๆเยอะ
อย่าเรื่อง มนุษย์สัมพันธ์ เราบอกอาจารย์ว่าเราเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี
อ.เลยบอกคนส่วนใหญ่จะชอบพูดมากกว่ารับฟังคนอื่น. เราเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ใช่เหรอ?
เราเป็นส่วนน้อยที่ดี บางทีคนเราก็แค่ต้องการระบาย มีคนคอยฟัง
พูดแล้วมันสบายใจมากและเราก็รู้สึกดีมากๆที่มีคนคอยฟังเพื่อนที่เราคบจะเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมากและเราก็เข้าใจกันมากด้วย
พูดถึงเรื่องเรียนต่อเราก็เรียนอย่างทุลักทุเล ผลการเรียนก็ไม่ดี พิมพ์ตัวจบไปร้องไห้ไป
เพราะปวดนิ้ว นิ้วบวม จบมาได้ก็ถือว่าบุญมาก จบไปก็ทำงานสายทีเรียนไม่ได้ เพราะจะเอ๋อๆ
พูดตะกุกตะกัก นิ้วก็เจ็บ ร่างกายแย่ เลยขออาทำงานด้วย
อย่าว่าแหละ คนไม่ค่อยได้ทำอะไรมาทำงานที่ต้องใช้ข้อมือก็ยิ่งเจ็บ
สภาพจิตใจก็แย่ตอนทำงานเราเครียด แล้วก็ลงที่กิน น้ำหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เรื่องงานเราขอไม่ลงลายระเอียดเยอะนะ ทำได้อยู่ปี โดนเรียกไปคอมเพลน
จนจิตตก โทษตัวเอง เพราะร่างกายเป็นแบบนี้เลยทำอะไรไม่ได้เหมือนคนอื่นเค้า
ไม่มีใครเข้าใจ ยิ่งหน้าหนาวยิ่งปวด เรากลับมาอยู่บ้าน
ไม่ทำงานอะไร เก็บตัวอยู่ในห้อง น้ำหนักขึ้น15โล อ้วนมาก อ้วนจนไม่กล้าถ่ายรูป
(อันนี้ภาพช่วงทำงานนะ ในภาพขึ้น10โล)
สภาพร่างกายแย่มาก สภาพจิตใจก็แย่เช่นกัน คิดฆ่าตัวตายตลอดเวลา
แต่ไม่ทำเพราะกลัวบาป อยู่ไปวันๆรอความตายคิดในแง่ลบ ทั้งตัวเอง และก็เพื่อน ปลีกตัวออกจากสังคม ไม่คบใคร
อยู่ในห้องเงียบๆคนเดียว เครียดมากใบหน้าหมอง สิวขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อนขึ้นแบบนั้นมากกกกกกกกกกกกกกก
(ข้อความเกิน ต่อเรื่องเม้นแรกนะคะ)