ว่าจะตั้งกระทู้นานแล้ว แต่ก็ยังไม่ว่างซักที จนผ่านมาครึ่งเรื่อง ในที่สุดก็ได้ฤกษ์แล้วค่ะ ฮ่าา หากดูกันที่จำนวนซีรีส์พีเรียดเกาหลีแล้ว จะเห็นว่าเรื่องราวสมัยโชซอนนั้นมีมากที่สุด รองลงมาก็มักจะเป็นสมัยสามก๊กเกาหลี (โกคูรยอ แพ็กเจ ซิลลา) ส่วนสมัยโครยอที่เป็นราชวงศ์อยู่ระหว่างกลางช่วงสมัยทั้งสองนั้นกลับมีน้อยมาก ดังนั้นตอนที่ประกาศว่าจะรีเมคปู้ปู้จิงซินมาเป็นฉบับเกาหลี หรือ Moon Lovers โดยวางตัวละครให้อยู่ในยุคโครยอนั้น จขกท.จึงตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะ เนื่องจากบริบทบางอย่างในสมัยโครยอนั้นแตกต่างจากสมัยโชซอนที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ ในกระทู้นี้จึงจะขอพูดถึงสังคมและวัฒนธรรมในสมัยโครยอซักเล็กน้อย เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้ดู Moon Lovers กันได้อย่างเข้าใจและสนุกมากขึ้น รวมทั้งจะขอพูดถึงตำแหน่งและคู่ครองของเหล่าองค์ชายตามประวัติศาสตร์อีกซักนิด ซึ่งคิดว่าน่าจะมีคนสนใจอยู่ไม่น้อยใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ
#ภาพในกระทู้ นอกจาก Moon Lovers แล้ว อาจมีภาพจากซีรีส์เรื่องอื่นๆ ด้วย เพื่อประกอบเนื้อหาบางส่วน
#อาจมีการ Spoil เนื้อหาจากตอนต่างๆ ที่ฉายไปแล้ว (Ep.1-11) และความเป็นไปได้ของเรื่องราวในตอนต่อๆ ไป
#กระทู้ยาวหน่อยนะคะ ^_^
++++++++++++++++++++++++
การนับถือศาสนาในสมัยโครยอ
++++++++++++++++++++++++
หลังจากวังกอน 왕건(王建) หรือจักรพรรดิแทโจได้รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งและก่อตั้งอาณาจักรโครยอขึ้นมา ก็ได้ทรงประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำอาณาจักร ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจะเข้าใจได้ว่าชาว โครยอทั้งหลายนั้นนับถือศาสนาพุทธกันก็ไม่ผิดนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วสังคมโครยอนั้นประกอบด้วยความเชื่อและศาสนาที่หลากหลาย ไม่ปิดกั้นปรัชญาหรือศาสนาอื่นๆ ทั้งปรัชญาขงจื๊อ ปรัชญาเต๋า ความเชื่อทางธรรมชาติ หรือความเชื่อในคำทำนาย แต่ละแนวคิดต่างสนับสนุนเกื้อกูลกัน เกิดเป็นการนับถือศาสนาที่มีลักษณะพิเศษของชาวโครยอ ซึ่งในเรื่อง Moon Lovers ก็ได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว อย่างเช่น
การให้ความสำคัญแก่พระโอรสองค์โตวังมู และกำหนดให้เป็นองค์รัชทายาท หรือการให้ความสำคัญในการจัดพิธีไหว้เคารพบรรพบุรุษ แสดงถึงอิทธิพลแนวคิดจากปรัชญาขงจื๊อซึ่งได้รับมาจากจีน นอกจากนี้ยังใช้แนวคิดขงจื๊อเป็นแนวทางหลักในการจัดลำดับและกำหนดสิ่งต่างๆ ด้านสังคมหรือการเมืองการปกครองของโครยอ
หรือการจัดพิธี "นารเย" 나례(儺禮) ซึ่งเป็นพิธีขับไล่วิญญาณและโรคร้ายในราชสำนัก แสดงถึงความเชื่อของชาวโครยอที่มีต่อธรรมชาติดั้งเดิมซึ่งผสานกับความเชื่อทางพุทธและปรัชญาเต๋าได้อย่างกลมกลืน พิธีนี้จะจัดในช่วงเดือนสิบสองตามปฎิทินจันทรคติ โดยผู้คนมักจะสวมหน้ากากเป็นตัวแทนเทพและวิญญาณร้ายในการประกอบพิธี แสดงการขับไล่ความชั่วร้ายเพื่อเตรียมรับสิ่งเป็นมงคลและความสุขเข้ามาในวันขึ้นปีใหม่
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดพุทธ ขงจื๊อ หรือเต๋าที่กลมกลืนนี้ก็ยังต้องอยู่บนพื้นฐานความเชื่อในคำทำนายของชาวโครยอ การเชื่อถือในคำทำนายรวมถึงฮวงจุ้ยเป็นความเชื่อท้องถิ่นซึ่งผู้คนในสมัยโครยอยึดถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วยต้นโครยอ คำทำนายต่างๆ นั้นล้วนแต่มีอิทธิพลและเป็นแรงขับเคลื่อนในการตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างของชาวโครยอ อย่างเช่น ในตอนที่มีการคัดค้านและขอให้ปลดองค์รัชทายาทจากตำแหน่งนั้น ยุติลงได้ทันทีด้วยการทำนายของชเวจีมง 최지몽(崔知夢) นักทำนายและนักดาราศาสตร์ซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์สมัยโครยอว่า องค์รัชทายาทนั้นเหมาะสมแล้วที่จะเป็นเจ้าแผ่นดินคนต่อไป ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดคัดค้านขึ้นมาอีก

ถึงแม้ว่าความเชื่อในคำทำนายจะมีพลังในการช่วยตัดสินใจของผู้คนในสมัยโครยอ แต่ศาสนาพุทธก็ยังคงมีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณและเป็นที่พึ่งทางใจของชาวโครยอมากไม่น้อยเช่นกัน อย่างในเรื่องจะเห็นได้จากความเชื่อในการอธิษฐานขอพรต่อกองภูเขาหินเพื่อให้ความปรารถนาเป็นจริง กองหินเหล่านี้เป็นกองหินศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่า "โอวู" เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างพิธีกรรมของคนทรงในยุคโบราณและพิธีการของศาสนาพุทธ ชาว โครยอจะคอยเพิ่มหินในกองทุกๆ วัน และบนยอดสูงสุดของกองหินมักจะวางพระพุทธรูปหรือพระสูตรเอาไว้เพื่อบูชา สวดมนต์ หรือขอพรให้สมปรารถนา
จะเห็นได้ว่าในสมัยโครยอแต่ละศาสนาและแนวคิดต่างสนับสนุนเกื้อกูลกันและกันมากกว่าที่จะขัดแย้งกันเอง เกิดเป็นการนับถือศาสนาที่มีลักษณะพิเศษของชาวโครยอ ต้องขอชม Moon Lovers จริงๆ ที่ใส่ใจรายละเอียดตรงจุดนี้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
++++++++++++++++++++++++++++
วัฒนธรรมการอาบน้ำในสมัยโครยอ
++++++++++++++++++++++++++++
ตั้งแต่สมัยอาณาจักรรวมซิลลา ศาสนาพุทธก็เริ่มมีความรุ่งเรืองส่งผลต่อความเชื่อต่างๆ ของผู้คนในอาณาจักร หนึ่งในนั้นคือ ความเชื่อและรับรู้ถึงแนวคิดเรื่องความสะอาดและบริสุทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ชาวซิลลาเริ่มหันมาใส่ใจกับการอาบน้ำอย่างพิถีพิถันมากขึ้น จนเมื่อราชวงศ์โครยอได้เข้ามาแทนที่ การให้ความสำคัญกับการอาบน้ำจึงได้รับสืบทอดมาด้วย
จาก "เกาลี่ถูจิง" หรือ "โครยอโดคยอง" 고려도경(高麗圖經) บันทึกของชาวจีนสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในอาณาจักรโครยอนั้นได้มีบันทึกไว้ว่า ผู้คนชาวโครยอเป็นผู้ที่ชอบอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ในหนึ่งวันจะอาบน้ำวันละ 3-4 รอบ ตรงแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงมักจะพบเจอชาวโครยอทั้งชายหญิงมาอาบน้ำกลางแจ้งร่วมกัน ดังนั้นใน Moon Lovers ที่เหล่าองค์ชายอาบน้ำร่วมกันหรือมักจะมาอยู่แถวสระอาบน้ำกันบ่อยๆ นั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกในสมัยโครยอแต่อย่างใดค่ะ
นอกจากนี้ในสมัยซิลลายังมีการเริ่มผลิตสบู่อาบน้ำขึ้นมา เริ่มจากการใช้เปลือกถั่วแดงหรือถั่วเขียวเป็นวัตถุดิบ ภายหลังเพื่อไม่ให้มีกลิ่นถั่วติดร่างกายจึงเริ่มมีการเพิ่มเครื่องหอมลงไปผสมด้วย เมื่อเริ่มเข้าสู่สมัยต้นโครยอสบู่อาบน้ำก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก สบู่ที่แฮซูทำขึ้นมาใน Ep.5 นั้นจึงถือเป็นของแปลกใหม่ชั้นดีที่ชาวโครยอผู้ชื่นชอบการอาบน้ำจะถูกใจได้ไม่ยากค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++
ค่านิยมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ในสมัยโครยอ
+++++++++++++++++++++++++++++++
ในสมัยซิลลานั้นมีความเชื่อที่ว่า "ร่างเนื้อและจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน" 영육일치(靈肉一致) ซึ่งหมายถึงว่า "หากผู้ใดมีรูปกายภายนอกที่ดูดี งดงามแล้ว ผู้นั้นก็ย่อมมีจิตวิญญาณที่สวยงามอยู่ภายใน" แนวคิดเช่นนี้ยังคงสืบทอดมาจนถึงในสมัยโครยอเช่นกัน ส่งผลให้ชาวโครยอซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาณาจักรซิลลาเดิมทั้งชายและหญิงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะใบหน้า ในสมัยนั้นผู้ชายไม่ว่าจะชนชั้นสูงหรือสามัญชนต่างก็มีการผัดแต่งหน้าเช่นเดียวกันกับผู้หญิง (โดยมากมักจะใช้ผงแป้งสีขาว) ทั้งยังนิยมสวมต่างหู ใส่แหวน ใส่กำไล หรือเครื่องประดับต่างๆ เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ที่งดงามให้แก่รูปกายภายนอก อย่างองค์ชายสามวังโย ที่มีการแต่งกายและใส่เครื่องประดับโดดเด่นกว่าองค์ชายอื่นๆ เชื่อว่าก็เพื่อแสดงถึงความมีจิตวิญญาณอันสูงส่งของตนนั่นเองค่ะ

ในขณะเดียวกันด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า "ผู้ใดมีรูปกายภายนอกที่มีตำหนิหรืออัปลักษณ์ ผู้นั้นก็ย่อมมีจิตวิญญาณที่สกปรกเลวร้ายอยู่ภายใน" เกิดขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งผู้ที่มีความผิดหรือนักโทษในสมัยก่อนก็มักจะมีการประทับตราเป็นตำหนิบนใบหน้า ดังนั้นที่ผู้คนชาวโครยอต่างหวาดกลัวหรือรังเกียจเดียดฉันท์องค์ชายสี่วังโซ ซึ่งมีรอยแผลเป็นที่หน้านั้น สาเหตุก็น่าจะมาจากความเชื่อเหล่านี้ค่ะ
ด้วยค่านิยมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกนี้ ทำให้การที่บุรุษมีการแต่งหน้าเช่นเดียวกันกับสตรีเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสมัยโครยอ ดังนั้นในตอนที่โอซังกุงถวายการแต่งพระพักตร์ให้กับจักรพรรดิแทโจ หรือแฮซูแต่งหน้าลบรอยแผลเป็นให้องค์ชายสี่ อาจจะดูเป็นเรื่องที่ไม่เข้ากันกับความเป็นโบราณในสายตาของคนดูในยุคปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในสมัยนั้นแต่อย่างใดค่ะ
++++++++++++++++++++++++
สถานะของสตรีในสมัยโครยอ
++++++++++++++++++++++++
ฐานะของสตรีในสังคมสมัยโครยอนั้นมีความแตกต่างจากสมัยโชซอนที่ "บุรุษสูงส่ง สตรีต่ำต้อย" เป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่าสถานะของสตรีในสมัย โครยอนั้นเมื่อเทียบกับบุรุษแล้วค่อนข้างเท่าเทียมกันค่ะ ในสมัยโครยอถึงแม้จะสนับสนุนในเรื่องให้สตรีประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรมจรรยา แต่สตรีก็สามารถได้รับการศึกษาเล่าเรียนได้เช่นเดียวกันกับบุรุษ สามารถดื่มเหล้าได้โดยไม่ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การที่ชายหญิงสามารถอาบน้ำร่วมกันได้ในที่กลางแจ้งก็เป็นการแสดงถึงสถานะที่เท่ากันของบุรุษและสตรีอย่างหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้การที่แฮซูพูดคุยด้วยคำธรรมดาหรือไม่แสดงความสุภาพในการแสดงออกกับเหล่าองค์ชายบางคน จะทำให้ดูเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใครไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่ในสมัยนั้นยอมรับกันได้ ไม่ถือเป็นแปลกประหลาดร้ายแรงอันใด

สตรีในสมัยโครยอ นอกจากจะได้รับการเรียนการสอนแล้ว ในขณะเดียวกันก็สามารถมีส่วนร่วมในกิจการหรืองานภายในของครอบครัวได้ อีกทั้งยังสามารถทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยรวมถึงความเป็นอยู่ของผู้คนภายในบ้านได้ไม่ต่างจากบุรุษ ดั่งเช่นองค์หญิงยอนฮวาที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในวังขององค์ชายแปดวังอุคซึ่งเป็นพี่ชาย ในพิธีไหว้บรรพบุรุษของครอบครัวก็ไม่จำกัดที่ต้องเป็นบุตรชายเป็นผู้ดูแลจัดการ บุตรสาวก็สามารถเข้าร่วมพิธีและทำหน้าที่แทนได้เช่นกัน ทรัพย์สมบัติ ที่ดินต่างๆ หรือบ่าวรับใช้ของตระกูล ก็ไม่จำเป็นที่บุตรชายจะต้องเป็นผู้สืบทอดเท่านั้น บุตรสาวก็มีสิทธิเท่าเทียมในการสืบทอดและได้รับมรดกเหล่านี้ อีกทั้งยังสามารถขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลได้เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าสถานะของสตรีในสมัยโครยอนั้นเท่าเทียมกันกับบุรุษ ไม่ต่ำต้อยเลยแม้แต่น้อยค่ะ
[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย Moon Lovers] สังคมวัฒนธรรมในสมัยโครยอ และคู่ครองของเหล่าองค์ชายตามประวัติศาสตร์ค่ะ
#ภาพในกระทู้ นอกจาก Moon Lovers แล้ว อาจมีภาพจากซีรีส์เรื่องอื่นๆ ด้วย เพื่อประกอบเนื้อหาบางส่วน
#อาจมีการ Spoil เนื้อหาจากตอนต่างๆ ที่ฉายไปแล้ว (Ep.1-11) และความเป็นไปได้ของเรื่องราวในตอนต่อๆ ไป
#กระทู้ยาวหน่อยนะคะ ^_^
การนับถือศาสนาในสมัยโครยอ
++++++++++++++++++++++++
หลังจากวังกอน 왕건(王建) หรือจักรพรรดิแทโจได้รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งและก่อตั้งอาณาจักรโครยอขึ้นมา ก็ได้ทรงประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำอาณาจักร ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจะเข้าใจได้ว่าชาว โครยอทั้งหลายนั้นนับถือศาสนาพุทธกันก็ไม่ผิดนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วสังคมโครยอนั้นประกอบด้วยความเชื่อและศาสนาที่หลากหลาย ไม่ปิดกั้นปรัชญาหรือศาสนาอื่นๆ ทั้งปรัชญาขงจื๊อ ปรัชญาเต๋า ความเชื่อทางธรรมชาติ หรือความเชื่อในคำทำนาย แต่ละแนวคิดต่างสนับสนุนเกื้อกูลกัน เกิดเป็นการนับถือศาสนาที่มีลักษณะพิเศษของชาวโครยอ ซึ่งในเรื่อง Moon Lovers ก็ได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว อย่างเช่น
การให้ความสำคัญแก่พระโอรสองค์โตวังมู และกำหนดให้เป็นองค์รัชทายาท หรือการให้ความสำคัญในการจัดพิธีไหว้เคารพบรรพบุรุษ แสดงถึงอิทธิพลแนวคิดจากปรัชญาขงจื๊อซึ่งได้รับมาจากจีน นอกจากนี้ยังใช้แนวคิดขงจื๊อเป็นแนวทางหลักในการจัดลำดับและกำหนดสิ่งต่างๆ ด้านสังคมหรือการเมืองการปกครองของโครยอ
หรือการจัดพิธี "นารเย" 나례(儺禮) ซึ่งเป็นพิธีขับไล่วิญญาณและโรคร้ายในราชสำนัก แสดงถึงความเชื่อของชาวโครยอที่มีต่อธรรมชาติดั้งเดิมซึ่งผสานกับความเชื่อทางพุทธและปรัชญาเต๋าได้อย่างกลมกลืน พิธีนี้จะจัดในช่วงเดือนสิบสองตามปฎิทินจันทรคติ โดยผู้คนมักจะสวมหน้ากากเป็นตัวแทนเทพและวิญญาณร้ายในการประกอบพิธี แสดงการขับไล่ความชั่วร้ายเพื่อเตรียมรับสิ่งเป็นมงคลและความสุขเข้ามาในวันขึ้นปีใหม่
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดพุทธ ขงจื๊อ หรือเต๋าที่กลมกลืนนี้ก็ยังต้องอยู่บนพื้นฐานความเชื่อในคำทำนายของชาวโครยอ การเชื่อถือในคำทำนายรวมถึงฮวงจุ้ยเป็นความเชื่อท้องถิ่นซึ่งผู้คนในสมัยโครยอยึดถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วยต้นโครยอ คำทำนายต่างๆ นั้นล้วนแต่มีอิทธิพลและเป็นแรงขับเคลื่อนในการตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างของชาวโครยอ อย่างเช่น ในตอนที่มีการคัดค้านและขอให้ปลดองค์รัชทายาทจากตำแหน่งนั้น ยุติลงได้ทันทีด้วยการทำนายของชเวจีมง 최지몽(崔知夢) นักทำนายและนักดาราศาสตร์ซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์สมัยโครยอว่า องค์รัชทายาทนั้นเหมาะสมแล้วที่จะเป็นเจ้าแผ่นดินคนต่อไป ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดคัดค้านขึ้นมาอีก
ถึงแม้ว่าความเชื่อในคำทำนายจะมีพลังในการช่วยตัดสินใจของผู้คนในสมัยโครยอ แต่ศาสนาพุทธก็ยังคงมีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณและเป็นที่พึ่งทางใจของชาวโครยอมากไม่น้อยเช่นกัน อย่างในเรื่องจะเห็นได้จากความเชื่อในการอธิษฐานขอพรต่อกองภูเขาหินเพื่อให้ความปรารถนาเป็นจริง กองหินเหล่านี้เป็นกองหินศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่า "โอวู" เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างพิธีกรรมของคนทรงในยุคโบราณและพิธีการของศาสนาพุทธ ชาว โครยอจะคอยเพิ่มหินในกองทุกๆ วัน และบนยอดสูงสุดของกองหินมักจะวางพระพุทธรูปหรือพระสูตรเอาไว้เพื่อบูชา สวดมนต์ หรือขอพรให้สมปรารถนา
จะเห็นได้ว่าในสมัยโครยอแต่ละศาสนาและแนวคิดต่างสนับสนุนเกื้อกูลกันและกันมากกว่าที่จะขัดแย้งกันเอง เกิดเป็นการนับถือศาสนาที่มีลักษณะพิเศษของชาวโครยอ ต้องขอชม Moon Lovers จริงๆ ที่ใส่ใจรายละเอียดตรงจุดนี้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
วัฒนธรรมการอาบน้ำในสมัยโครยอ
++++++++++++++++++++++++++++
ตั้งแต่สมัยอาณาจักรรวมซิลลา ศาสนาพุทธก็เริ่มมีความรุ่งเรืองส่งผลต่อความเชื่อต่างๆ ของผู้คนในอาณาจักร หนึ่งในนั้นคือ ความเชื่อและรับรู้ถึงแนวคิดเรื่องความสะอาดและบริสุทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ชาวซิลลาเริ่มหันมาใส่ใจกับการอาบน้ำอย่างพิถีพิถันมากขึ้น จนเมื่อราชวงศ์โครยอได้เข้ามาแทนที่ การให้ความสำคัญกับการอาบน้ำจึงได้รับสืบทอดมาด้วย
จาก "เกาลี่ถูจิง" หรือ "โครยอโดคยอง" 고려도경(高麗圖經) บันทึกของชาวจีนสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในอาณาจักรโครยอนั้นได้มีบันทึกไว้ว่า ผู้คนชาวโครยอเป็นผู้ที่ชอบอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ในหนึ่งวันจะอาบน้ำวันละ 3-4 รอบ ตรงแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงมักจะพบเจอชาวโครยอทั้งชายหญิงมาอาบน้ำกลางแจ้งร่วมกัน ดังนั้นใน Moon Lovers ที่เหล่าองค์ชายอาบน้ำร่วมกันหรือมักจะมาอยู่แถวสระอาบน้ำกันบ่อยๆ นั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกในสมัยโครยอแต่อย่างใดค่ะ
นอกจากนี้ในสมัยซิลลายังมีการเริ่มผลิตสบู่อาบน้ำขึ้นมา เริ่มจากการใช้เปลือกถั่วแดงหรือถั่วเขียวเป็นวัตถุดิบ ภายหลังเพื่อไม่ให้มีกลิ่นถั่วติดร่างกายจึงเริ่มมีการเพิ่มเครื่องหอมลงไปผสมด้วย เมื่อเริ่มเข้าสู่สมัยต้นโครยอสบู่อาบน้ำก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก สบู่ที่แฮซูทำขึ้นมาใน Ep.5 นั้นจึงถือเป็นของแปลกใหม่ชั้นดีที่ชาวโครยอผู้ชื่นชอบการอาบน้ำจะถูกใจได้ไม่ยากค่ะ
ค่านิยมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ในสมัยโครยอ
+++++++++++++++++++++++++++++++
ในสมัยซิลลานั้นมีความเชื่อที่ว่า "ร่างเนื้อและจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน" 영육일치(靈肉一致) ซึ่งหมายถึงว่า "หากผู้ใดมีรูปกายภายนอกที่ดูดี งดงามแล้ว ผู้นั้นก็ย่อมมีจิตวิญญาณที่สวยงามอยู่ภายใน" แนวคิดเช่นนี้ยังคงสืบทอดมาจนถึงในสมัยโครยอเช่นกัน ส่งผลให้ชาวโครยอซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาณาจักรซิลลาเดิมทั้งชายและหญิงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะใบหน้า ในสมัยนั้นผู้ชายไม่ว่าจะชนชั้นสูงหรือสามัญชนต่างก็มีการผัดแต่งหน้าเช่นเดียวกันกับผู้หญิง (โดยมากมักจะใช้ผงแป้งสีขาว) ทั้งยังนิยมสวมต่างหู ใส่แหวน ใส่กำไล หรือเครื่องประดับต่างๆ เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ที่งดงามให้แก่รูปกายภายนอก อย่างองค์ชายสามวังโย ที่มีการแต่งกายและใส่เครื่องประดับโดดเด่นกว่าองค์ชายอื่นๆ เชื่อว่าก็เพื่อแสดงถึงความมีจิตวิญญาณอันสูงส่งของตนนั่นเองค่ะ
ในขณะเดียวกันด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า "ผู้ใดมีรูปกายภายนอกที่มีตำหนิหรืออัปลักษณ์ ผู้นั้นก็ย่อมมีจิตวิญญาณที่สกปรกเลวร้ายอยู่ภายใน" เกิดขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งผู้ที่มีความผิดหรือนักโทษในสมัยก่อนก็มักจะมีการประทับตราเป็นตำหนิบนใบหน้า ดังนั้นที่ผู้คนชาวโครยอต่างหวาดกลัวหรือรังเกียจเดียดฉันท์องค์ชายสี่วังโซ ซึ่งมีรอยแผลเป็นที่หน้านั้น สาเหตุก็น่าจะมาจากความเชื่อเหล่านี้ค่ะ
ด้วยค่านิยมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกนี้ ทำให้การที่บุรุษมีการแต่งหน้าเช่นเดียวกันกับสตรีเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสมัยโครยอ ดังนั้นในตอนที่โอซังกุงถวายการแต่งพระพักตร์ให้กับจักรพรรดิแทโจ หรือแฮซูแต่งหน้าลบรอยแผลเป็นให้องค์ชายสี่ อาจจะดูเป็นเรื่องที่ไม่เข้ากันกับความเป็นโบราณในสายตาของคนดูในยุคปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในสมัยนั้นแต่อย่างใดค่ะ
สถานะของสตรีในสมัยโครยอ
++++++++++++++++++++++++
ฐานะของสตรีในสังคมสมัยโครยอนั้นมีความแตกต่างจากสมัยโชซอนที่ "บุรุษสูงส่ง สตรีต่ำต้อย" เป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่าสถานะของสตรีในสมัย โครยอนั้นเมื่อเทียบกับบุรุษแล้วค่อนข้างเท่าเทียมกันค่ะ ในสมัยโครยอถึงแม้จะสนับสนุนในเรื่องให้สตรีประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรมจรรยา แต่สตรีก็สามารถได้รับการศึกษาเล่าเรียนได้เช่นเดียวกันกับบุรุษ สามารถดื่มเหล้าได้โดยไม่ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การที่ชายหญิงสามารถอาบน้ำร่วมกันได้ในที่กลางแจ้งก็เป็นการแสดงถึงสถานะที่เท่ากันของบุรุษและสตรีอย่างหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้การที่แฮซูพูดคุยด้วยคำธรรมดาหรือไม่แสดงความสุภาพในการแสดงออกกับเหล่าองค์ชายบางคน จะทำให้ดูเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใครไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่ในสมัยนั้นยอมรับกันได้ ไม่ถือเป็นแปลกประหลาดร้ายแรงอันใด
สตรีในสมัยโครยอ นอกจากจะได้รับการเรียนการสอนแล้ว ในขณะเดียวกันก็สามารถมีส่วนร่วมในกิจการหรืองานภายในของครอบครัวได้ อีกทั้งยังสามารถทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยรวมถึงความเป็นอยู่ของผู้คนภายในบ้านได้ไม่ต่างจากบุรุษ ดั่งเช่นองค์หญิงยอนฮวาที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในวังขององค์ชายแปดวังอุคซึ่งเป็นพี่ชาย ในพิธีไหว้บรรพบุรุษของครอบครัวก็ไม่จำกัดที่ต้องเป็นบุตรชายเป็นผู้ดูแลจัดการ บุตรสาวก็สามารถเข้าร่วมพิธีและทำหน้าที่แทนได้เช่นกัน ทรัพย์สมบัติ ที่ดินต่างๆ หรือบ่าวรับใช้ของตระกูล ก็ไม่จำเป็นที่บุตรชายจะต้องเป็นผู้สืบทอดเท่านั้น บุตรสาวก็มีสิทธิเท่าเทียมในการสืบทอดและได้รับมรดกเหล่านี้ อีกทั้งยังสามารถขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลได้เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าสถานะของสตรีในสมัยโครยอนั้นเท่าเทียมกันกับบุรุษ ไม่ต่ำต้อยเลยแม้แต่น้อยค่ะ