นี่ก็คือมโนเองนะ (ขรรม) คือ อ่านตอนพิเศษ (ที่ online ในเฟสบุ๊คของผู้เขียนเรื่อง SOTUS คุณ Bittersweet) คิดถึง ในซีรีส์ SOTUS แล้วทีนี้ก็คิดว่า เออ นี่เป็นมุมมองของก้องภพเสียส่วนใหญ่ ก็เลยอดมโนไม่ได้ไงว่า ... ในเส้นเรื่องเดียวกัน ในมุมมองของพี่อาทิตย์ในเหตุการณ์นี้ พี่อาทิตย์คิดอะไร ? แสดงออกแบบไหน ... เรื่องนี้แต่งขึ้นแนวแบบว่า fanfic นะจ๊ะ แรงบันดาลใจจากความอยากรู้ ไปสู่การลองแต่ง มันคงไม่แนบสนิทกับเนื้อเรื่องหลักได้ดีนัก แต่เราเดาเอาว่าพี่อาทิตย์(ในมโนของเรา)ซึ่งมีความเสียงสองเสียงสามกับก้องภพ ตามท้องเรื่อง "คิดถึง" (ตอนที่ก้องปีสอง พี่อาทิตย์ปีสี่) น่าจะออกมาแนวนี้ เฮลโหลลลลล
************************
ทำไมถึงช้าแบบนี้นะ ทั้งที่เขาก็เร่งมือทำแทบแย่ ซีเนียร์โปรเจค งานชิ้นสุดท้ายก่อนสิ้นสุดชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย นานนับเดือนตั้งแต่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ที่อาทิตย์ และ เพื่อน ๆ ในกลุ่มต่างลุยเก็บข้อมูลในโรงงานแถวอัมพวา พริบตาเดียวจากวันก็ผ่านไปเป็นเดือน และ จากแสงสว่างสดใสยามเช้าตรู่ก็เปลี่ยนเป็นความขมุกขมัวในตอนค่ำ
ช่วงนี้เขาอยู่ไม่ติดหอเลย เหมือนหอกลายเป็นที่ซุกหัวนอน
ไปซะแบบนั้น เรียนก็ทำแล็บกว่าจะกลับก็ดึก พอถึงช่วงโปรเจค
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ... นี่กลับหอตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ .... เขาไม่ได้กลับหอตัวเองมาจนถึงตอนนี้ก็ .... ครึ่งเดือนได้ และที่มันน่าเคืองหนัก คือ ไอ้คนที่อยู่หอฝั่งตรงข้าม เวลาก็ไม่ค่อยตรงกันอยู่แล้ว นี่ก็ไม่รู้คิดอะไรของมัน โทรมาสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง แถมแต่ละทีก็ทำเหมือนดอกพิกุลจะร่วงจากปาก ที่คุยกันล่าสุด ... ก็ตั้งแต่ 8 วันที่แล้ว สัปดาห์เต็ม ๆ เลยที่เดียวที่เขารอคอยให้มีสาย .... "สายนั้น" เข้ามา แต่ก็นิ่ง แต่ก็เงียบ
มันน่านัก
"โว้ยยยย !! เป็นเห้อะไรของเนี่ย" เสียงตะโกนอย่างคนใจร้อนข้ามมาจากอีกฝั่งของเตียงนอนในห้องแคบ ไบร์ทผู้ซึ่งไม่ได้หลับได้นอนหลังจากเป็นเดียวมือหนึ่งวิเคราะห์ค่าทางสถิติมาหลายวันต้องเอ็ดเข้าให้ มันเป็นอะไรของมันนักหนาวะ ไอ้อาทิตย์ นี่ทำงานล่วงหน้าแทบจะจบโปรเจคได้ทั้งที่เหลือเวลาอีกต้องเกือบเดือนครึ่ง แต่มันก็ยังเร่งเขายิก ๆ แทบจะทำงานถวาย 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ปากที่กำลังจะถามก็ต้องหุบลงดังกั๊บ เมื่อน็อตเข้ามาเป็น "รัฐ" กันชน ด้วยกลัวว่าวิวาทะจะพาเดือด ถึงดูท่าแล้ว คนที่กำลังจะโดนด่าก็หาได้ปฏิกิริยาอันใดไม่ และ แถมเหมือนจะไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำว่าไบร์ทพูดอะไร
"ไบร์ทอย่า มันก็ไม่ได้นอนเหมือนแหละ ยังแค่รันข้อมูล แต่อาทิตย์มันเข้าทั้งโรงงาน เก็บข้อมูล ค้นอ้างอิงเลยนะเว้ย"
แต่สิ่งที่น็อตคิดก็เหมือนไบร์ท .... มันจะรีบอะไรของมันนักหนา จริง ๆ แล้ว ความก้าวหน้าของงานก็เป็นที่น่าพอใจตามสมควร เรียกว่าล้ำหน้ากว่าแผนด้วยซ้ำ แต่ไอ้คนที่นั่งอยู่หน้าคอมฯ ก็เร่งงานทั้งวันทั้งคืนจนพวกเขาก็กลัวมันจะน็อคเข้าซักวัน แต่เดิมอาทิตย์จะเป็นคนรับผิดชอบแบบสัมภาษณ์เจ้าตัวเองก็เข้าหาผู้ใหญ่เก่งและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีอยู่เป็นทุนเดิม แต่หลัง ๆ พองานชักไม่ทันใจ เจ้าตัวก็รวบงานทุกอย่างมาทำเองจนวัน ๆ นึงก็แทบจะไม่ได้พักไม่ได้นอนจนเพื่อนประหลาดใจ
จะรีบให้เสร็จไปไหนวะ !!!
"อาทิตย์ เฮ้ย กูมาเปลี่ยนเวร เมื่อเช้าก็เข้าโรงงาน ตกบ่ายก็มาค้นอ้างอิง นี่กินข้าวกินปลาบ้างรึเปล่าเนี่ย "
ข้าวเหรอ ... นีก็ลืมไปเลย พอไอ้น็อตพูดถึงข้าวก็ชักจะแสบท้องขึ้นมา ตอนแรกที่ใจจดจ่ออยู่กับงานว่าต้องทำให้เสร็จ อาทิตย์จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรรอบตัวมาก แต่พอเสียงเพื่อนมาดึงความสนใจ ประสาทสัมผัสก็ชักทำงาน "กลิ่น" ที่คุ้นเคยลอยอวลอยู่ปลายจมูก
"พอดีร้านเขาของหมดว่ะ มันค่ำแล้ว ฝกก็ลง เลยเหลือแต่ไข่กะหมู กะเพราไก่เผ็ด ๆ ที่ชอบเลยไม่มี กูเอาข้าวไข่เจียวหมูสับมาให้อ่ะ เห็นเคยสั่ง กินได้ป่ะวะ นี่ป้าเขาแถมกาแฟเย็นมาให้แก้วนึงด้วยนะ"
อาทิตย์มองกล่องโฟมบรรจุข้าวที่โปะไข่เจียวหมูสับ กับ กาแฟเย็นธรรมดาหนึ่งแก้วด้วยสายตานิ่ง ๆ ก่อนก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไร ยิ่งกินก็ยิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น
"เฮ้ย ๆ หิวมากเหรอ ช้า ๆ ก็ได้ป่ะวะ ข้าวมันไม่หนีไม่ไหนหรอก" เอ้า ยัดไปเดี๋ยวก็สำลักไหม ปกติมันชอบกินอะไรรสจัดนี่หว่า แล้วมาเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็เพิ่งนึกได้อีกรอบว่ามันไม่ได้ติดกาแฟด้วยนี่แหละ คิดไปคิดมาคิดมาคิดไป น็อตก็เริ่มจะเห็นอะไรราง ๆ พอดีกับเจ้าเพื่อนตัวแสบรวบช้อนแถมดูดกาแฟดังโกรกก็ขัดห้วงคิดของเขาโดยพูดเรียบ ๆ ออกมาว่า "น็อต กูจะกลับหอ ไปส่งกูที"
ทำเอาประชาชีในห้องงงกันเป็นไก่ตาแตก ... เอ้า เวร ละไอ้ที่รีบ ๆ เร่ง ๆ นี่อะไรยังไง ข้างนอกฝนก็ตกยังกะพายุ
"เห่ย ฝนตกนะเว้ย นี่ก็จะทุ่มนึงละ ค่อยกลับพรุ่งนี้ก็ได้ไหม"
แต่ดวงตาแน่วแน่คู่นั้น กับอาการเร่งรีบยัดของลงเป้ และ เก็บโน้ตบุ๊คอย่างไว ทำให้น็อตเริ่มเอะใจ
"ไปส่งกูท่ารถก็ได้ เดี๋ยวกูเรียกรถไปเอง"
เจ้าตัวยังยืนยันเสียงนิ่ง ๆ พร้อมด้วยเป้ใบเล็กพร้อมเดินทางทุกเมื่อ นาทีนั้นน็อตก็เพิ่งจะสังเกตว่ายามนี้ในมือของเพื่อนมีวัสดุสีเงินวาววับสะท้อนแสงไฟในห้อง ... เกียร์นี่หว่า คุ้น ๆ อ่อ สายตาของน็อตจึงอ่อนลงด้วยความเข้าใจเมื่อสมองปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ช่วงหลัง ๆ นี่เกียร์รุ่นสีเงินที่สลักเลขต่ำกว่ารุ่นเขาไปสองรุ่นจะตั้งอยู่ในสายตาเพื่อนเวลาทำงานเสมอ ๆ
สายตาแบบนี้ ... ก็ไม่นานมานี้ก็ตอนที่มันขอให้เขาพากลับไปตลาดน้ำอัมพวาเวลาเที่ยงคืนนั่นไง
"อย่าฟุ้งซ่าน นอนพักเหอะ ทำงานจนฮีทขึ้นละมั้ง" ไบร์ทยังคงตะล่อมเพื่อนต่อไป แต่น็อตกลับตัดบท
"เออ กูก็ลืมไป กูยืมหนังสือห้องสมุดมาเค้าให้ได้แค่วีคเดียว เสียดายค่าปรับ เดี๋ยวกูไปต่ออายุ มา ... จะกลับหอใช่ไหม งั้นมากะกู"
ไบร์ทฟังแบบนั้นถึงกับส่ายหัว
"เออ จ้ะ เอาที่สบายใจ เป็นบ้ากันไปหมด คนนึงก็อะไรไม่รู้อยู่ ๆ จะแล่นกลับหอ อีกคนจะฝ่าพายุไปม.เสียดายค่าปรับ " "20 บาทเนี่ยนะไอ้ ..."
"ตามใจพวกละกัน ทำโปรเจคกันจนเป็นบ้า กูนอนละ สงสัยกูปกติอยู่คนเดียว" ว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ขณะอาทิตย์แทบจะวิ่งไปหาลิฟท์
"ขอบใจมากนะน็อต"
"เออ กูเข้าใจ "
สามทุ่มนิด ๆ น็อตหยอดเขาลงหน้าหอพอดิบพอดี ... สายตาของอาทิตย์จับไปที่ชั้นหกตึกฝั่งตรงข้ามและสำรวจอย่างรวดเร็ว "มิดสนิท" .... หัวใจที่เต้นแรงฟุบแฟบลงทั้งผิดหวังและทั้งขำตัวเอง นี่เขาเป็นบ้าอะไรกันนะ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคน ๆ นั้นจะต้องอยู่นี่ ก้องภพเป็นคนเพื่อนเยอะไม่น้อย แต่ปกติหมอนั่นค่อนข้างจะติดห้อง เวลาอย่างนี้ก็ถ้าเกิดไม่ดูหนังก็ทำการบ้านอ่านหนังสือ ก็สมกับเกรดเฉลี่ยของเจ้าตัวที่มีแววชิงเกียรตินิยมได้ไม่ยาก ทั้ง ๆ ที่บอกว่าไม่ค่อยถนัด "ไม่ค่อยถนัดกะผีสิ" อาทิตย์พึมพำเบา ๆ ถนัดมันไปเสียทุกอย่างนั่นแหละ ตั้งแต่การเรียนจนถึงการปั่นป่วนหัวใจคน
เอาเถอะ ส่องจากระเบียงตัวเองยังไงก็เห็นอยู่ดี
ให้เที่ยวยังไงก็กลับไม่น่าเกินเที่ยงคืนอยู่แล้วโดยนิสัย
เมื่อให้ความมั่นใจตัวเองได้ระดับหนึ่ง อาทิตย์จึงตัดสินใจว่าควรเข้าห้องตัวเองเก็บของให้เรียบร้อย ทำงานต่ออีกหน่อย ... ยังไงซะโต๊ะทำงานที่ห้องก็ติดกับประตูกระจกตรงระเบียง เปิดม่านทิ้งไว้ก็จบ ห้วงคิดยาวเหยียดของเขากลับสะดุดเมื่อเงยหน้าแล้วเจอใครคนหนึ่งยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าห้อง
"ก้องภพ"
เสียงเรียกชื่อของเขาทำให้ร่างสูงโปร่งที่คุ้นตาถึงกับสะดุ้ง แทนที่จะดีใจ ความหมั่นไส้มันกลับพลุ่งขึ้นมาดื้อ ๆ พอได้รับคำตอบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เมื่อถามว่ามาอยู่หน้าห้องเขาทำไม จะพูดอะไรก็ไม่พูด อารมณ์ที่ตั้งใจอยากจะบอกจะคุยก็เลยหดหายไป แต่เมื่อเห็นสายตาอ่อนเชื่อมแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเปิดประตูกว้างให้เจ้า 0062 เดินเข้าห้องมาได้
เมื่อเข้ามาถึงเจ้าตัวก็วุ่นวายรื้อคอมฯทำงานต่ออย่างโดยไม่สนใจใคร
"ยังต้องทำงานอยู่อีกเหรอครับ"
"อืม งานมันเร่งน่ะ"
ที่มันเร่ง ไม่ใช่เพราะว่าทำงานไม่ทันหรอกนะ นี่อยากให้งานมันจบเร็ว ๆ ต่างหาก หัวคิ้วของอาทิตย์ขมวดมุ่น ที่เป็นอยู่แบบนี้เพราะไม่อยากจะไปไหนนาน ๆ อีกแล้วไงล่ะ ที่เขาว่า "ความคิดถึง ... มันฆ่าคนได้" คงเป็นเรื่องจริง
แต่คนข้างหลังจะรู้ความนัยนั้นก็หาไม่ เมื่อเห็นว่าเขาง่วนอยู่กับการทำงาน ก็ทำท่าจะขอตัวกลับห้อง เขาเองก็รอฟังด้วยความหมั่นไส้อยู่ว่า "ทางนั้น" จะว่ายังไง แต่ก็อีก พอเห็นท่าทางหงอย ๆ อ้ำอึ้ง ๆ กับเนื้อตัวที่ชื้นไปด้วยฝน ก็เป็นตัวเขาที่ต้องตัดบทเพราะใจอ่อนเต็มที โยนเสื้อยืดกับผ้าเช็ดตัวให้ไป
และก่อนที่เจ้านั่นจะพูดอะไรเพื่อเป็นการขอตัวให้เขาต้องเคืองอีก อาทิตย์เลยเอ่ยปากสั้น ๆ
"งั้นถ้าง่วงก็นอนไปก่อนเลย"
แน่ะ ยังมาทำเงียบอีก เขาเลยต้องสำทับไป
"หรือไม่อยากค้าง"
แค่นั้นเอง ท่าทางดีอกดีใจเหมือนเด็ก ๆ ก็ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย แต่งานที่อยู่ตรงหน้าก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำให้เสร็จ จะได้ไม่ต้องไปไหนอีก ก็นั่นแหละ ใครจะไปนึกเล่าว่าข้าวไข่เจียวหนึ่งกล่องกับกาแฟเย็นหนึ่งแก้วจะพาให้เขาตบะแตกจนขอให้น็อตมาส่งที่หอทั้งที่ฝนแรงยังกะพายุเข้า ก็แปลกดีทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรกับก้องภพซักคำเขากลับรู้สึกสบายใจจนทำงานไปได้เรื่อย ๆ ทั้งที่ค่อนข้างล้ากับการเดินทาง และ งานที่เร่งตัวเองมาตลอดสัปดาห์
คงเป็นเพราะไม่ต้องทนคิดถึงใครบางคนอีกแล้วก็ได้
ครั้นเงยหน้าบิดตัวด้วยความเมื่อยล้าอีกทีก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว ตอนนี้อาการจากที่อดหลับอดนอนมาหลายวันเริ่มออกฤทธิ์ หลังจากอาบน้ำมาก็หันหลังล้มตัวลงนอน เดี๋ยวนี้เขาก็ชักชิน ๆ กับการนอนเตียงเดียวกันกับคนอื่นบ้างแล้ว ก็กะว่าหัวถึงหมอนก็คงหลับไปเพราะเหนื่อยเต็มที แต่พอล้มตัวลงนอนเข้าจริง ๆ ภาพบางอย่างก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา
เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ต่างเวลา และ ต่างความรู้สึก "คืนนั้น" วันที่ได้นอนข้างกันครั้งแรก และเขาต้องลืมตาโพลงอยู่ในความมืดอยู่ทั้งคืน เมื่อได้ฟังคำสารภาพจากคนที่นอนข้าง ๆ คนที่สุดท้ายก็ทำให้เขาต้องตาลีตาเหลือกลุกแล่นกลับมาจากอัมพวาเพราะข้าวไข่เจียวหนึ่งกล่อง แล้วอยู่ ๆ ความสงสัยใคร่รู้ก็เป็นฝ่ายมีชัยเหนือความเหนื่อยและความหมั่นไส้เมื่อช่วงหัวค่ำ
"ตกลงคุณมาทำอะไรที่หน้าประตูห้องผม"
ถ้อยคำที่ตอบมาอย่างยืดยาวนั้นกระแทกใจเขาอย่างแรงจนทำให้ถึงกับนิ่งอึ้งไป ไม่คิดว่าความรู้สึกของคนสองคนมันจะตรงกันได้ขนาดนี้ สิ่งที่ก้องภพเป็นอยู่ก็ไม่ได้ผิดอะไรกับเขา ทุกวันนี้ข้าวไข่เจียวกับกาแฟเย็นแทบจะกลายเป็นอาหารหลักยามต้องออกไปกินข้าวคนเดียว ระเบียงห้องไอ้น็อตที่อัมพวาถึงจะมองออกไปแล้วร่มรื่นเขียวขจีดี แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับทิวทัศน์ที่แม้จะมองเห็นแต่กำแพงกับคอมเพรสเซอร์แอร์ก็รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเห็นไฟโคมในห้องที่สว่าง
"ผมคิดถึงพี่อาทิตย์ครับ"
ปกติก็ไม่ชอบนักหรอกที่จะให้ใครมาแตะตัว แต่คราวนี้จะหยวน ๆ ให้หน่อยก็ได้ นี่เขาชักจะเริ่มอ่อนออกอ่อนใจกับแฟนตัวเองขึ้นไปทุกที อะไรมันจะเกรงใจขนาดนั้น ถึงปากจะค่อนว่าก้องภพทำตัวเป็นเด็ก แต่ตัวเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเอาเข้าจริงแล้วเรียกว่าเด็กยิ่งกว่าอีกกระมัง อีกฝั่งนึงหักห้ามใจไม่โทรหา พยายามจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่กลายเป็นเขาที่ฟิวส์ขาดซะเองแบบนี้
หลังจากดิ้นขลุกขลักไปมาซักพักในอ้อมกอดของก้องภพ กับ เสียงกระซิบริมหูว่าคิดถึง คิดถึง และ คิดถึง สุดท้ายยังไงก็ต้องยอมเหมือนที่เคยยอมตลอดมา เสียงเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเสียงในใจเขาแม้แต่น้อย ก็เหมือนที่เจ้าเด็กนั่นชิงพูดไปนั่นแหละ "คิดถึง" ไม่รู้เลยว่ามันมีความหมายลึกซึ้งขนาดไหนจนกระทั่งวันที่ห่างไกลกัน
สิ่งสุดท้ายก่อนที่เขาจะหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
คือความสุขช่างเป็นสิ่งเรียบง่ายเพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของใครซักคน
ใช่แล้วสิ่งที่เขาอยากจะบอกก้องภพก็คือ "ผมก็คิดถึงคุณ"
ป.ล. เฮ้ย ทำไมยาว - -''
SOTUS the series (กึ่งแต่งเรื่อง) : ว่าด้วยตอนพิเศษ Miss You (1) ความลับของพี่อาทิตย์ (spoiled)
ทำไมถึงช้าแบบนี้นะ ทั้งที่เขาก็เร่งมือทำแทบแย่ ซีเนียร์โปรเจค งานชิ้นสุดท้ายก่อนสิ้นสุดชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย นานนับเดือนตั้งแต่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ที่อาทิตย์ และ เพื่อน ๆ ในกลุ่มต่างลุยเก็บข้อมูลในโรงงานแถวอัมพวา พริบตาเดียวจากวันก็ผ่านไปเป็นเดือน และ จากแสงสว่างสดใสยามเช้าตรู่ก็เปลี่ยนเป็นความขมุกขมัวในตอนค่ำ
ไปซะแบบนั้น เรียนก็ทำแล็บกว่าจะกลับก็ดึก พอถึงช่วงโปรเจค
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ... นี่กลับหอตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ .... เขาไม่ได้กลับหอตัวเองมาจนถึงตอนนี้ก็ .... ครึ่งเดือนได้ และที่มันน่าเคืองหนัก คือ ไอ้คนที่อยู่หอฝั่งตรงข้าม เวลาก็ไม่ค่อยตรงกันอยู่แล้ว นี่ก็ไม่รู้คิดอะไรของมัน โทรมาสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง แถมแต่ละทีก็ทำเหมือนดอกพิกุลจะร่วงจากปาก ที่คุยกันล่าสุด ... ก็ตั้งแต่ 8 วันที่แล้ว สัปดาห์เต็ม ๆ เลยที่เดียวที่เขารอคอยให้มีสาย .... "สายนั้น" เข้ามา แต่ก็นิ่ง แต่ก็เงียบ
"โว้ยยยย !! เป็นเห้อะไรของเนี่ย" เสียงตะโกนอย่างคนใจร้อนข้ามมาจากอีกฝั่งของเตียงนอนในห้องแคบ ไบร์ทผู้ซึ่งไม่ได้หลับได้นอนหลังจากเป็นเดียวมือหนึ่งวิเคราะห์ค่าทางสถิติมาหลายวันต้องเอ็ดเข้าให้ มันเป็นอะไรของมันนักหนาวะ ไอ้อาทิตย์ นี่ทำงานล่วงหน้าแทบจะจบโปรเจคได้ทั้งที่เหลือเวลาอีกต้องเกือบเดือนครึ่ง แต่มันก็ยังเร่งเขายิก ๆ แทบจะทำงานถวาย 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ปากที่กำลังจะถามก็ต้องหุบลงดังกั๊บ เมื่อน็อตเข้ามาเป็น "รัฐ" กันชน ด้วยกลัวว่าวิวาทะจะพาเดือด ถึงดูท่าแล้ว คนที่กำลังจะโดนด่าก็หาได้ปฏิกิริยาอันใดไม่ และ แถมเหมือนจะไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำว่าไบร์ทพูดอะไร
"ไบร์ทอย่า มันก็ไม่ได้นอนเหมือนแหละ ยังแค่รันข้อมูล แต่อาทิตย์มันเข้าทั้งโรงงาน เก็บข้อมูล ค้นอ้างอิงเลยนะเว้ย"
แต่สิ่งที่น็อตคิดก็เหมือนไบร์ท .... มันจะรีบอะไรของมันนักหนา จริง ๆ แล้ว ความก้าวหน้าของงานก็เป็นที่น่าพอใจตามสมควร เรียกว่าล้ำหน้ากว่าแผนด้วยซ้ำ แต่ไอ้คนที่นั่งอยู่หน้าคอมฯ ก็เร่งงานทั้งวันทั้งคืนจนพวกเขาก็กลัวมันจะน็อคเข้าซักวัน แต่เดิมอาทิตย์จะเป็นคนรับผิดชอบแบบสัมภาษณ์เจ้าตัวเองก็เข้าหาผู้ใหญ่เก่งและมีมนุษย์สัมพันธ์ดีอยู่เป็นทุนเดิม แต่หลัง ๆ พองานชักไม่ทันใจ เจ้าตัวก็รวบงานทุกอย่างมาทำเองจนวัน ๆ นึงก็แทบจะไม่ได้พักไม่ได้นอนจนเพื่อนประหลาดใจ
"อาทิตย์ เฮ้ย กูมาเปลี่ยนเวร เมื่อเช้าก็เข้าโรงงาน ตกบ่ายก็มาค้นอ้างอิง นี่กินข้าวกินปลาบ้างรึเปล่าเนี่ย "
ข้าวเหรอ ... นีก็ลืมไปเลย พอไอ้น็อตพูดถึงข้าวก็ชักจะแสบท้องขึ้นมา ตอนแรกที่ใจจดจ่ออยู่กับงานว่าต้องทำให้เสร็จ อาทิตย์จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรรอบตัวมาก แต่พอเสียงเพื่อนมาดึงความสนใจ ประสาทสัมผัสก็ชักทำงาน "กลิ่น" ที่คุ้นเคยลอยอวลอยู่ปลายจมูก
"พอดีร้านเขาของหมดว่ะ มันค่ำแล้ว ฝกก็ลง เลยเหลือแต่ไข่กะหมู กะเพราไก่เผ็ด ๆ ที่ชอบเลยไม่มี กูเอาข้าวไข่เจียวหมูสับมาให้อ่ะ เห็นเคยสั่ง กินได้ป่ะวะ นี่ป้าเขาแถมกาแฟเย็นมาให้แก้วนึงด้วยนะ"
อาทิตย์มองกล่องโฟมบรรจุข้าวที่โปะไข่เจียวหมูสับ กับ กาแฟเย็นธรรมดาหนึ่งแก้วด้วยสายตานิ่ง ๆ ก่อนก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไร ยิ่งกินก็ยิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น
"เฮ้ย ๆ หิวมากเหรอ ช้า ๆ ก็ได้ป่ะวะ ข้าวมันไม่หนีไม่ไหนหรอก" เอ้า ยัดไปเดี๋ยวก็สำลักไหม ปกติมันชอบกินอะไรรสจัดนี่หว่า แล้วมาเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็เพิ่งนึกได้อีกรอบว่ามันไม่ได้ติดกาแฟด้วยนี่แหละ คิดไปคิดมาคิดมาคิดไป น็อตก็เริ่มจะเห็นอะไรราง ๆ พอดีกับเจ้าเพื่อนตัวแสบรวบช้อนแถมดูดกาแฟดังโกรกก็ขัดห้วงคิดของเขาโดยพูดเรียบ ๆ ออกมาว่า "น็อต กูจะกลับหอ ไปส่งกูที"
"เห่ย ฝนตกนะเว้ย นี่ก็จะทุ่มนึงละ ค่อยกลับพรุ่งนี้ก็ได้ไหม"
แต่ดวงตาแน่วแน่คู่นั้น กับอาการเร่งรีบยัดของลงเป้ และ เก็บโน้ตบุ๊คอย่างไว ทำให้น็อตเริ่มเอะใจ
"ไปส่งกูท่ารถก็ได้ เดี๋ยวกูเรียกรถไปเอง"
เจ้าตัวยังยืนยันเสียงนิ่ง ๆ พร้อมด้วยเป้ใบเล็กพร้อมเดินทางทุกเมื่อ นาทีนั้นน็อตก็เพิ่งจะสังเกตว่ายามนี้ในมือของเพื่อนมีวัสดุสีเงินวาววับสะท้อนแสงไฟในห้อง ... เกียร์นี่หว่า คุ้น ๆ อ่อ สายตาของน็อตจึงอ่อนลงด้วยความเข้าใจเมื่อสมองปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ช่วงหลัง ๆ นี่เกียร์รุ่นสีเงินที่สลักเลขต่ำกว่ารุ่นเขาไปสองรุ่นจะตั้งอยู่ในสายตาเพื่อนเวลาทำงานเสมอ ๆ
"อย่าฟุ้งซ่าน นอนพักเหอะ ทำงานจนฮีทขึ้นละมั้ง" ไบร์ทยังคงตะล่อมเพื่อนต่อไป แต่น็อตกลับตัดบท
"เออ กูก็ลืมไป กูยืมหนังสือห้องสมุดมาเค้าให้ได้แค่วีคเดียว เสียดายค่าปรับ เดี๋ยวกูไปต่ออายุ มา ... จะกลับหอใช่ไหม งั้นมากะกู"
ไบร์ทฟังแบบนั้นถึงกับส่ายหัว
"เออ จ้ะ เอาที่สบายใจ เป็นบ้ากันไปหมด คนนึงก็อะไรไม่รู้อยู่ ๆ จะแล่นกลับหอ อีกคนจะฝ่าพายุไปม.เสียดายค่าปรับ " "20 บาทเนี่ยนะไอ้ ..."
"ตามใจพวกละกัน ทำโปรเจคกันจนเป็นบ้า กูนอนละ สงสัยกูปกติอยู่คนเดียว" ว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ขณะอาทิตย์แทบจะวิ่งไปหาลิฟท์
"ขอบใจมากนะน็อต"
"เออ กูเข้าใจ "
สามทุ่มนิด ๆ น็อตหยอดเขาลงหน้าหอพอดิบพอดี ... สายตาของอาทิตย์จับไปที่ชั้นหกตึกฝั่งตรงข้ามและสำรวจอย่างรวดเร็ว "มิดสนิท" .... หัวใจที่เต้นแรงฟุบแฟบลงทั้งผิดหวังและทั้งขำตัวเอง นี่เขาเป็นบ้าอะไรกันนะ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคน ๆ นั้นจะต้องอยู่นี่ ก้องภพเป็นคนเพื่อนเยอะไม่น้อย แต่ปกติหมอนั่นค่อนข้างจะติดห้อง เวลาอย่างนี้ก็ถ้าเกิดไม่ดูหนังก็ทำการบ้านอ่านหนังสือ ก็สมกับเกรดเฉลี่ยของเจ้าตัวที่มีแววชิงเกียรตินิยมได้ไม่ยาก ทั้ง ๆ ที่บอกว่าไม่ค่อยถนัด "ไม่ค่อยถนัดกะผีสิ" อาทิตย์พึมพำเบา ๆ ถนัดมันไปเสียทุกอย่างนั่นแหละ ตั้งแต่การเรียนจนถึงการปั่นป่วนหัวใจคน
ให้เที่ยวยังไงก็กลับไม่น่าเกินเที่ยงคืนอยู่แล้วโดยนิสัย
เมื่อให้ความมั่นใจตัวเองได้ระดับหนึ่ง อาทิตย์จึงตัดสินใจว่าควรเข้าห้องตัวเองเก็บของให้เรียบร้อย ทำงานต่ออีกหน่อย ... ยังไงซะโต๊ะทำงานที่ห้องก็ติดกับประตูกระจกตรงระเบียง เปิดม่านทิ้งไว้ก็จบ ห้วงคิดยาวเหยียดของเขากลับสะดุดเมื่อเงยหน้าแล้วเจอใครคนหนึ่งยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าห้อง
"ก้องภพ"
เสียงเรียกชื่อของเขาทำให้ร่างสูงโปร่งที่คุ้นตาถึงกับสะดุ้ง แทนที่จะดีใจ ความหมั่นไส้มันกลับพลุ่งขึ้นมาดื้อ ๆ พอได้รับคำตอบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เมื่อถามว่ามาอยู่หน้าห้องเขาทำไม จะพูดอะไรก็ไม่พูด อารมณ์ที่ตั้งใจอยากจะบอกจะคุยก็เลยหดหายไป แต่เมื่อเห็นสายตาอ่อนเชื่อมแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเปิดประตูกว้างให้เจ้า 0062 เดินเข้าห้องมาได้
"ยังต้องทำงานอยู่อีกเหรอครับ"
"อืม งานมันเร่งน่ะ"
ที่มันเร่ง ไม่ใช่เพราะว่าทำงานไม่ทันหรอกนะ นี่อยากให้งานมันจบเร็ว ๆ ต่างหาก หัวคิ้วของอาทิตย์ขมวดมุ่น ที่เป็นอยู่แบบนี้เพราะไม่อยากจะไปไหนนาน ๆ อีกแล้วไงล่ะ ที่เขาว่า "ความคิดถึง ... มันฆ่าคนได้" คงเป็นเรื่องจริง
แต่คนข้างหลังจะรู้ความนัยนั้นก็หาไม่ เมื่อเห็นว่าเขาง่วนอยู่กับการทำงาน ก็ทำท่าจะขอตัวกลับห้อง เขาเองก็รอฟังด้วยความหมั่นไส้อยู่ว่า "ทางนั้น" จะว่ายังไง แต่ก็อีก พอเห็นท่าทางหงอย ๆ อ้ำอึ้ง ๆ กับเนื้อตัวที่ชื้นไปด้วยฝน ก็เป็นตัวเขาที่ต้องตัดบทเพราะใจอ่อนเต็มที โยนเสื้อยืดกับผ้าเช็ดตัวให้ไป
และก่อนที่เจ้านั่นจะพูดอะไรเพื่อเป็นการขอตัวให้เขาต้องเคืองอีก อาทิตย์เลยเอ่ยปากสั้น ๆ
"งั้นถ้าง่วงก็นอนไปก่อนเลย"
แน่ะ ยังมาทำเงียบอีก เขาเลยต้องสำทับไป
"หรือไม่อยากค้าง"
แค่นั้นเอง ท่าทางดีอกดีใจเหมือนเด็ก ๆ ก็ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย แต่งานที่อยู่ตรงหน้าก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำให้เสร็จ จะได้ไม่ต้องไปไหนอีก ก็นั่นแหละ ใครจะไปนึกเล่าว่าข้าวไข่เจียวหนึ่งกล่องกับกาแฟเย็นหนึ่งแก้วจะพาให้เขาตบะแตกจนขอให้น็อตมาส่งที่หอทั้งที่ฝนแรงยังกะพายุเข้า ก็แปลกดีทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรกับก้องภพซักคำเขากลับรู้สึกสบายใจจนทำงานไปได้เรื่อย ๆ ทั้งที่ค่อนข้างล้ากับการเดินทาง และ งานที่เร่งตัวเองมาตลอดสัปดาห์
ครั้นเงยหน้าบิดตัวด้วยความเมื่อยล้าอีกทีก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว ตอนนี้อาการจากที่อดหลับอดนอนมาหลายวันเริ่มออกฤทธิ์ หลังจากอาบน้ำมาก็หันหลังล้มตัวลงนอน เดี๋ยวนี้เขาก็ชักชิน ๆ กับการนอนเตียงเดียวกันกับคนอื่นบ้างแล้ว ก็กะว่าหัวถึงหมอนก็คงหลับไปเพราะเหนื่อยเต็มที แต่พอล้มตัวลงนอนเข้าจริง ๆ ภาพบางอย่างก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา
เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ต่างเวลา และ ต่างความรู้สึก "คืนนั้น" วันที่ได้นอนข้างกันครั้งแรก และเขาต้องลืมตาโพลงอยู่ในความมืดอยู่ทั้งคืน เมื่อได้ฟังคำสารภาพจากคนที่นอนข้าง ๆ คนที่สุดท้ายก็ทำให้เขาต้องตาลีตาเหลือกลุกแล่นกลับมาจากอัมพวาเพราะข้าวไข่เจียวหนึ่งกล่อง แล้วอยู่ ๆ ความสงสัยใคร่รู้ก็เป็นฝ่ายมีชัยเหนือความเหนื่อยและความหมั่นไส้เมื่อช่วงหัวค่ำ
"ตกลงคุณมาทำอะไรที่หน้าประตูห้องผม"
ถ้อยคำที่ตอบมาอย่างยืดยาวนั้นกระแทกใจเขาอย่างแรงจนทำให้ถึงกับนิ่งอึ้งไป ไม่คิดว่าความรู้สึกของคนสองคนมันจะตรงกันได้ขนาดนี้ สิ่งที่ก้องภพเป็นอยู่ก็ไม่ได้ผิดอะไรกับเขา ทุกวันนี้ข้าวไข่เจียวกับกาแฟเย็นแทบจะกลายเป็นอาหารหลักยามต้องออกไปกินข้าวคนเดียว ระเบียงห้องไอ้น็อตที่อัมพวาถึงจะมองออกไปแล้วร่มรื่นเขียวขจีดี แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับทิวทัศน์ที่แม้จะมองเห็นแต่กำแพงกับคอมเพรสเซอร์แอร์ก็รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเห็นไฟโคมในห้องที่สว่าง
"ผมคิดถึงพี่อาทิตย์ครับ"
ปกติก็ไม่ชอบนักหรอกที่จะให้ใครมาแตะตัว แต่คราวนี้จะหยวน ๆ ให้หน่อยก็ได้ นี่เขาชักจะเริ่มอ่อนออกอ่อนใจกับแฟนตัวเองขึ้นไปทุกที อะไรมันจะเกรงใจขนาดนั้น ถึงปากจะค่อนว่าก้องภพทำตัวเป็นเด็ก แต่ตัวเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเอาเข้าจริงแล้วเรียกว่าเด็กยิ่งกว่าอีกกระมัง อีกฝั่งนึงหักห้ามใจไม่โทรหา พยายามจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่กลายเป็นเขาที่ฟิวส์ขาดซะเองแบบนี้
หลังจากดิ้นขลุกขลักไปมาซักพักในอ้อมกอดของก้องภพ กับ เสียงกระซิบริมหูว่าคิดถึง คิดถึง และ คิดถึง สุดท้ายยังไงก็ต้องยอมเหมือนที่เคยยอมตลอดมา เสียงเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเสียงในใจเขาแม้แต่น้อย ก็เหมือนที่เจ้าเด็กนั่นชิงพูดไปนั่นแหละ "คิดถึง" ไม่รู้เลยว่ามันมีความหมายลึกซึ้งขนาดไหนจนกระทั่งวันที่ห่างไกลกัน
คือความสุขช่างเป็นสิ่งเรียบง่ายเพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของใครซักคน
ใช่แล้วสิ่งที่เขาอยากจะบอกก้องภพก็คือ "ผมก็คิดถึงคุณ"
ป.ล. เฮ้ย ทำไมยาว - -''