สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่น ขอฝากเพจ
Borussia Mönchengladbach Thailand เอาไว้สักหน่อยนะคะ
จริงๆ ในเพจก็ไม่ค่อยได้อัพเดทข่าวสารอะไรมากมาย แต่ว่างๆ ก็จะพยายามแปลบทสัมภาษณ์ บทวิเคราะห์บอล หรือบล็อกต่างๆ มาให้
ที่เปิดเพจขึ้นมาก็อยากให้แฟนๆ กลัดบัคได้มีพื้นที่พูดคุยกันค่ะ
=====================================
จริงๆ บทวิเคราะห์นี้ตั้งใจจะแปลมาหลายวันแล้ว แต่ดองไปดองมาปรากฏว่าผ่านไปแล้วห้านัด 555
ก็หวังว่าจะไม่ช้าเกินไปนะคะ ส่วนตัวคิดว่ามีหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ
ถ้าใครอ่านภาษาอังกฤษได้ ก็อยากให้เข้าไปอ่านในบล็อกของคนเขียนเขามากกว่านะ บทความในบล็อกเขามีอะไรดีๆ เยอะมาก นี่ยกให้เป็นบล็อกฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาเลย
ความจริงนี่เป็นครั้งแรกเลยที่มาแปลอะไรแนวแท็กติคแบบนี้ ยอมรับเลยว่าไม่ค่อยมีความรู้พวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็พยายามแปลให้เข้าใจง่าย ถ้ามีอะไรแนะนำติชมสามารถบอกกันได้นะคะ
และถ้าแปลผิดพลาดไปตรงไหนก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
=====================================
แปลจาก:
The Big Analysis: Borussia Mönchengladbach vs. Bayer Leverkusen
=====================================
นักวิจารณ์ Lee Scott (
@FMAnalysis) ร่วมกับ
These Football Times เจาะลึกแท็กติกในแมทช์ต่างๆ จากทั่วยุโรป สัปดาห์นี้เราจะมาพูดถึงการปะทะครั้งสำคัญของบุนเดสลีกา ระหว่างกลัดบัคกับเลเวอร์คูเซ่น
ในฤดูกาลที่ผ่านมา ถ้วยแชมป์เปี้ยนบุนเดสลีกานั้นถูกสรุปล่วงหน้าแล้วว่าเป็นของ “บาเยิร์น มิวนิค” ที่นำแต้มทิ้งนำห่างทีมอื่นๆ ไปไกล
แต่ความน่าสนใจนั้นอยู่ที่การขับเคี่ยวเพื่อการอยู่รอดของบรรดาทีมในโซนตกชั้น และเป้าหมายสำคัญในพื้นที่ยุโรป บาเยิร์นและโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ยึดครองสองอันดับแรกเป็นที่เรียบร้อย นั่นยิ่งทำให้การต่อสู้ในพื้นที่อันดับสามและสี่นั้นเข้มข้นขึ้น
สุดท้ายไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นและโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคก็เป็นสองทีมที่คว้าโควต้าแชมป์เปี้ยนลีกได้สำเร็จ พวกเขาจบในลำดับที่สามและสี่ตามลำดับ และต่างฝ่ายต่างก็มีปัญหาจากฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว ผลงานของกลัดบัคในช่วงเปิดฤดูกาล 2014/2015 นั้นย่ำแย่เสียจนพวกเขาจำต้องแยกทางกับโค้ชคนสำคัญอย่างลูเซียง ฟาร์ฟ เลยทีเดียว
การเข้ามาแทนที่ของอังเดร ชูเบิร์ต ทำให้ทีมสามารถรักษาสเถียรภาพเอาไว้ได้ และท้ายที่สุดพวกเขาก็จบลงในอันดับสี่ของตาราง ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าประทับใจไม่น้อย
และในสัปดาห์แรกของฤดูกาลนี้ เกมบุนเดสลีการะหว่าง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นกับโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ก็จะเปิดโอกาสให้เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการของถึงสองทีมในช่วงหยุดซัมเมอร์
ในรอบคัดเลือกแชมป์เปี้ยนลีกที่ผ่านมาของกลัดบัค พวกเขาเผชิญหน้ากับยังบอยส์จากสวิตเซอร์แลนด์ มีจุดน่าสนใจคือในเกมที่สองคือแผนการเล่นของชูเบิร์ตที่ใช้รูปแบบหลังสาม กับแผน 3-4-1-2
ส่วนในเกมนี้ดาวรุ่งคนสำคัญอย่างมาห์มู้ด ดาฮู้ดถูกจัดเป็นตัวสำรอง แต่รูปแบบของกลัดบัคยังดูหลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ ชูเบิร์ตเลือกใช้อังเดร ฮานน์ ซึ่งหาช่องโหว่ได้ดีในเกมนี้ คู่กับกองหน้าอันตรายอย่างราฟาเอล ประสานงานร่วมกับอิบราฮิมา ตราโอเล่ ที่มีความเร็วในพื้นที่ฝั่งขวา
ส่วนเลเวอร์คูเซ่นนั้นไม่มีกองหน้าเม็กซิกันคนสำคัญอย่างฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ แต่ผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งเซ็นเข้ามาอย่างเควิน โฟลลันด์ จากฮอฟเฟนไฮม์ และยูเลียน เบาม์การ์ทลิงเกอร์ จากไมนซ์ ก็ทำให้ไลน์อัพของเลเวอร์คูเซ่นดูแข็งแกร่งเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
การเพรสซิ่งต่อเนื่องของเลเวอร์คูเซ่น
โรเจอร์ ชมิดท์ นั้นเป็นโค้ชหนุ่มที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรปก็ว่าได้ ด้วยสไตล์การทำทีมแบบเพรสซิ่งเร็วต่อเนื่องไม่หยุด และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่เขาคุมทีมแอร์เบ ซัลซ์บวร์ก ในออสเตรีย
เลเวอร์คูเซ่น ใช้ระบบ 4-2-2-2 มีกองกลางตัวรุกเรียงตัวกันเป็นแถว รูปแบบดังกล่าวถูกวางขึ้นเพื่อกดดันขั้นแรกในตอนที่ต้องเป็นฝ่ายรับ และเราอาจจะได้เห็นแผนนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าชิชาริโต้จะกลับมาพร้อมลงสนาม
กุญแจสำคัญอย่างหนึ่งในการกดดันคู่ต่อสู้ของเลเวอรคูเซ่นคือการวางผู้เล่นในเกมรุกไว้สี่คนในแถวแรก โดยมีผู้เล่นอีกสองคนอยู่ในตำแหน่งด้านหลังเพื่อคอยซ้อนอีกที
ตำแหน่งแถวแรกที่ยืนเซ็ตติ้งนั้นไม่ได้สูงมากนัก ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อปิดกั้นให้ผ่านบอลทะลุไปได้ลำบาก
ในช่วงต้นเกม วิธีการเพรสซิ่งแบบนี้ได้ผลมากทีเดียวกับแผนหลังสามของกลัดบัค เพราะบอลจะวนเวียนอยู่ระหว่างกองหลังแค่สามคน แต่พอจะผ่านบอลไปให้มิดฟิลด์ตรงกลางก็ถูกดักไว้ได้โดยผู้เล่นของเลเวอร์คูเซ่น
ขณะที่แผนการเล่นของกลัดบัคนั้นอาศัยวิงแบ็คเคลื่อนที่ขึ้นลง เป็นตัวพาบอลจากแผงหลังขึ้นไป และขยายพื้นที่ทำเกมให้กว้างขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะทางเลเวอร์คูเซ่นใช้วิธีเข้าเพรสซิ่งแบบตัวต่อตัวร่วมด้วย
จากภาพข้างบนจะเห็นว่าตำแหน่งของเลเวอร์ดูได้เปรียบกลัดบัคที่ใช้ผู้เล่นแดนหลังสามคนคุมเกม
พอเป็นแบบนี้แล้ว ออสการ์ เวนดท์ วิงแบ็คซึ่งคุมพื้นที่ลึกลงไปในฝั่งซ้ายจะกลายเป็นตัวพาเกมให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ผ่านแนวผู้เล่นของเลเวอร์คูเซ่น แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องมีสมาธิมากทีเดียว เพราะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทให้ทันรับมือกับสถานการณ์ตลอดเวลา
และถ้าบอลอยู่ที่เซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย เตรียมจะผ่านไปหาเวนดท์แล้วล่ะก็ รูปแบบของการเข้ากดดันของผู้เล่นเลเวอร์คูเซ่นก็จะถูกเปลี่ยนแปลงไปในแนวลึกแทน และผู้เล่นในแดนกลางก็จะเข้าบีบเซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้ายของกลัดบัคที่ครองบอล
เลเวอร์คูเซ่นเมื่อเป็นฝ่ายครองบอล
รูปแบบการเคลื่อนที่ของเลเวอร์คูเซ่นมีหลายอย่างน่าสนใจ อย่างหนึ่งคือการประสานงานกันของแนวรับในพื้นที่สุดท้าย (1/3 รวมประตูของฝั่งตัวเอง) และแนวรุกในแดนหน้า (1/3 รวมประตูของฝ่ายตรงข้าม)
แต่เลเวอร์คูเซ่นไม่ใช่ทีมเดียวที่แพ็คเกมรับแน่นหนาและกดดันฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง กลัดบัคเองก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายสามารถทำเกมรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากรูปข้างบนจะเห็นได้ว่า แบรนด์ เลโน่ ผู้รักษาประตูของทีมจะออกมาเป็นตัวเชื่อมเพื่อช่วยสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมสามารถเคลื่อนบอลไปข้างหน้า และสามารถผ่านบอลข้ามแนวรับไปสู่แดนกลางได้ทันที (ก่อนหน้ารูปนี้การเล่นของเขานั้นเป็นการส่ง-รับบอลกับเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย)
การผ่านบอลแบบนี้ไปมาดูเผินๆ เหมือนจะเป็นแค่การครองบอลธรรมดาที่ไม่มีอะไร แต่ที่จริงแล้วการส่งบอลไปมาในแนวรับใกล้ๆ นั้น ทำเพื่อดึงดูดความสนใจของกลัดบัคให้ไปอยู่ที่แนวเซ็นเตอร์แบ็ค
การเล่นง่ายๆ แบบนี้สามารถเปิดทางให้พวกเขาทะลุทะลวงเข้าไปในแดนกลางได้ จากภาพข้างบน จะเห็นว่าเมื่อเลโน่ผ่านบอลทะลุมาถึงไลน์ที่สี่ ผ่านแนวรับสามคน ผู้เล่นที่รับช่วงต่อในแดนกลางก็จะสามารถเปลี่ยนทิศทางหรือเคลื่อนเกมต่อไปข้างหน้า
จากรูปนี้ (บน) จะเห็นว่าตำแหน่งของเควิน คัมเพิล (มิดฟิลด์ตัวรุกฝั่งซ้าย) และเวนเดลล์ (แบ็คซ้าย) นั้นมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อคัมเพิลเคลื่อนที่มาอยู่ริมซ้ายสุด ตำแหน่งของเวนเดลล์ก็จะขยับลึกเข้าไปอีก
ซึ่งถ้าตราโอเร่ (วิงแบ็คฝั่งขวาของกลัดบัค) ตามเข้าประกบเวนเดลล์เมื่อไหร่ ผลที่ตามมาคือเซนเตอร์แบ็คฝั่งขวาถูกบีบให้ต้องขยับออกจากตำแหน่งเพื่อมารับมือกับคัมเพิลโดยอัตโนมัติ พอเป็นแบบนี้แล้วจะทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นระหว่างตรงกลางกับริมฝั่งขวา
ทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้ตัวรุกสามารถเจาะเข้าไปในช่องว่างที่เกิดขึ้น จากนั้นเวนเดลล์ก็จะหาโอกาสเจาะเข้าไปในกรอบเขตโทษ
ส่วนในรูปข้างบนนี้ เราจะเห็นว่าเลเวอร์คูเซ่นมีพื้นที่ครองบอลสบายๆ และสามารถทำเกมบุกเพื่อโยนบอลผ่านแนวรับของกลัดบัคเข้าไปในโซนหน้าประตูได้
การโจมตีในแนวลึกแบบนี้บีบให้กลัดบัคต้องแพ็คแน่นบริเวณแดนกลาง ผลที่ตามมาคือบริเวณริมสนามเปิดโล่ง และทำให้ให้เลเวอร์คูเซ่นมีพื้นที่เล่น
กุญแจสำคัญในกรณีนี้คือจังหวะและความเร็วของการวิ่งของเวนเดลล์ในตำแหน่งแบ็คซ้าย การประสานงานร่วมกันของเวนเดลล์และคัมเพิลในการเคลื่อนไหวเพื่อทำให้เกิดช่องโหว่และสร้างสรรค์เกมบุก
แผนการบุกเร็วของกลัดบัค
กุญแจสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กลัดบัคชนะ 2-1 ในนัดนี้คือความยืดหยุ่นที่ทำให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการเล่นได้อย่างรวดเร็วได้เมื่อมีโอกาส
นักเตะอย่างราฟฟาเอล ตราโอเร่ และฮานน์ ล้วนจมูกไวในการหาช่องโหว่ของแนวรับ
การเดินเกมที่เฉียบคมในพื้นที่จำกัดจากคนครองบอลในตำแหน่งดังกล่าวนั้นสามารถทะลุผ่านแนวรับ และเปิดโอกาสให้เดินเกมรุกสู่พื้นที่แดนหน้าได้ เมื่อได้เป็นฝ่ายครองบอล และต้องรับมือกับอีกทีมที่คอยไล่บี้กดดันแบบกัดไม่ปล่อย ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในสถานการณ์นี้ก็คือ “พื้นที่"
ระบบ 3-4-1-2 ของกลัดบัคน่าสนใจตรงจุดนี้ ข้อสำคัญคือ การผ่านบอลทะลวงแนวรับขั้นแรกนั้นขึ้นอยู่กับมิดฟิลด์ตัวรุกตรงกลางที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ในจังหวะเดียว
ในภาพข้างบน จะเห็นว่ามีนักเตะสองคนวิ่งทำทางขึ้นไปเพื่อทำเกมต่อจาก มิดฟิลด์ที่ครองบอลอยู่ องศาและทิศทางที่แตกต่างกันนั้นทำให้เกมรุกยืดหยุ่น และสามารถทะลวงผ่านแนวรับได้
ในภาพข้างบน จะเห็นว่ามิดฟิลด์ตัวรุก (ลาร์ส สตินเดิล) นั้นรับบอลง่ายๆ มาจากแดนหลัง และตำแหน่งของเขาก็อยู่ตรงกลางพื้นที่ว่างพอดี ตอนนี้กองหน้าสองคนกำลังถูกกองหลังประกบตัวต่อตัวอยู่ แต่ในจังหวะถัดมาที่ลาร์สจะผ่านบอลสู่ขั้นที่สาม กลัดบัคก็จะมีตัวเลือกหลายทางในเกมรุก
กองหน้าทั้งสองคนวิ่งฉีกกันไปคนละทิศของกรอบเขตโทษ นั่นทำให้สตินเดิลมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะทำเกมรุกขึ้นทางฝั่งซ้ายหรือขวา หรือเขาอาจจะเลือกการพาบอลขึ้นไปด้วยตัวเองก็ได้
สรุป
ถึงแม้จะเป็นนัดแรกของฤดูกาล แต่เกมนัดนี้ก็รวมจุดเด่นของบุนเดสลีกาเอาไว้ทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายต่างบุกเข้าหากันอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเพื่อชัยชนะ
ทั้งสองทีมจะต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้งเพื่อแย่งอันดับในโซนหัวตาราง และแน่นอนว่าเกมรุกของเลเวอร์คูเซ่นที่มี ฮาเวอร์ เฮอร์นันเดซ อยู่ในไลน์อัพจะอันตรายมากกว่านี้อีกหลายเท่า
=====================================
สรุปเพิ่มเติมแบบบ้านๆ
เลเวอร์ใช้วิธีเพรสซิ่งเร็ว + แพ็คกลางแน่นเพื่อเพิ่มโอกาสตัดบอลเวลากลัดบัคพยายามผ่านบอลจากเซ็นเตอร์แบ็คมาที่มิดฟิลด์คุมเกม
แล้วทีนี้เวลาเลเวอร์ได้บอลแล้วจะทำเกมบุก กลัดบัคเป็นฝ่ายเข้าเพรสซิ่ง ปกติเวลาเขาจะดันวิงแบ็คขึ้นสูง เขามักจะให้ปีกเล่นลึกเข้าไปข้างหน้า ต่อบอลกันในแนวลึกอะไรแนวๆ นั้น
แต่อันนี้เขาให้ปีกอยู่ริมเส้น แต่แบ็คขยับเข้าไปตรงกลางแทนเพื่อดึงตัวประกบ ทำให้เกิดช่องโหว่ในแนวรับของกลัดบัค
ส่วนเกมบุกของกลัดบัค ใช้วิธีเร่งจังหวะให้มิดฟิลด์ทำเกมบุกเร็วขึ้น แบบไม่ครองบอลตรงกลางนานๆ
คือทันทีที่มิดฟิลด์รับบอลมาจากเซ็นเตอร์แบ็ค กองหน้ากลัดบัคก็วิ่งฉีกแนวรับเลเวอร์ไปคนละทาง ทำให้สามารถเลือกทำเกมบุกได้หลากหลายในจังหวะเดียว
อันนี้สรุปแบบเข้าใจเองนะ ไม่รับประกันความถูกต้อง
=====================================
ขอบคุณมากๆ นะคะที่แวะเข้ามา สุดท้ายนี้มีความเห็นอะไรก็แลกเปลี่ยนกันได้ค่ะ

====「แปลบทความ」==== วิเคราะห์เจาะแท็กติกเกม: Borussia Mönchengladbach vs. Bayer Leverkusen ====
ก่อนอื่น ขอฝากเพจ Borussia Mönchengladbach Thailand เอาไว้สักหน่อยนะคะ
จริงๆ ในเพจก็ไม่ค่อยได้อัพเดทข่าวสารอะไรมากมาย แต่ว่างๆ ก็จะพยายามแปลบทสัมภาษณ์ บทวิเคราะห์บอล หรือบล็อกต่างๆ มาให้
ที่เปิดเพจขึ้นมาก็อยากให้แฟนๆ กลัดบัคได้มีพื้นที่พูดคุยกันค่ะ
=====================================
จริงๆ บทวิเคราะห์นี้ตั้งใจจะแปลมาหลายวันแล้ว แต่ดองไปดองมาปรากฏว่าผ่านไปแล้วห้านัด 555
ก็หวังว่าจะไม่ช้าเกินไปนะคะ ส่วนตัวคิดว่ามีหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ
ถ้าใครอ่านภาษาอังกฤษได้ ก็อยากให้เข้าไปอ่านในบล็อกของคนเขียนเขามากกว่านะ บทความในบล็อกเขามีอะไรดีๆ เยอะมาก นี่ยกให้เป็นบล็อกฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาเลย
ความจริงนี่เป็นครั้งแรกเลยที่มาแปลอะไรแนวแท็กติคแบบนี้ ยอมรับเลยว่าไม่ค่อยมีความรู้พวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็พยายามแปลให้เข้าใจง่าย ถ้ามีอะไรแนะนำติชมสามารถบอกกันได้นะคะ
และถ้าแปลผิดพลาดไปตรงไหนก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
=====================================
แปลจาก: The Big Analysis: Borussia Mönchengladbach vs. Bayer Leverkusen
=====================================
นักวิจารณ์ Lee Scott (@FMAnalysis) ร่วมกับ These Football Times เจาะลึกแท็กติกในแมทช์ต่างๆ จากทั่วยุโรป สัปดาห์นี้เราจะมาพูดถึงการปะทะครั้งสำคัญของบุนเดสลีกา ระหว่างกลัดบัคกับเลเวอร์คูเซ่น
ในฤดูกาลที่ผ่านมา ถ้วยแชมป์เปี้ยนบุนเดสลีกานั้นถูกสรุปล่วงหน้าแล้วว่าเป็นของ “บาเยิร์น มิวนิค” ที่นำแต้มทิ้งนำห่างทีมอื่นๆ ไปไกล
แต่ความน่าสนใจนั้นอยู่ที่การขับเคี่ยวเพื่อการอยู่รอดของบรรดาทีมในโซนตกชั้น และเป้าหมายสำคัญในพื้นที่ยุโรป บาเยิร์นและโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ยึดครองสองอันดับแรกเป็นที่เรียบร้อย นั่นยิ่งทำให้การต่อสู้ในพื้นที่อันดับสามและสี่นั้นเข้มข้นขึ้น
สุดท้ายไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นและโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคก็เป็นสองทีมที่คว้าโควต้าแชมป์เปี้ยนลีกได้สำเร็จ พวกเขาจบในลำดับที่สามและสี่ตามลำดับ และต่างฝ่ายต่างก็มีปัญหาจากฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว ผลงานของกลัดบัคในช่วงเปิดฤดูกาล 2014/2015 นั้นย่ำแย่เสียจนพวกเขาจำต้องแยกทางกับโค้ชคนสำคัญอย่างลูเซียง ฟาร์ฟ เลยทีเดียว
การเข้ามาแทนที่ของอังเดร ชูเบิร์ต ทำให้ทีมสามารถรักษาสเถียรภาพเอาไว้ได้ และท้ายที่สุดพวกเขาก็จบลงในอันดับสี่ของตาราง ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าประทับใจไม่น้อย
และในสัปดาห์แรกของฤดูกาลนี้ เกมบุนเดสลีการะหว่าง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นกับโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ก็จะเปิดโอกาสให้เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการของถึงสองทีมในช่วงหยุดซัมเมอร์
ในรอบคัดเลือกแชมป์เปี้ยนลีกที่ผ่านมาของกลัดบัค พวกเขาเผชิญหน้ากับยังบอยส์จากสวิตเซอร์แลนด์ มีจุดน่าสนใจคือในเกมที่สองคือแผนการเล่นของชูเบิร์ตที่ใช้รูปแบบหลังสาม กับแผน 3-4-1-2
ส่วนในเกมนี้ดาวรุ่งคนสำคัญอย่างมาห์มู้ด ดาฮู้ดถูกจัดเป็นตัวสำรอง แต่รูปแบบของกลัดบัคยังดูหลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ ชูเบิร์ตเลือกใช้อังเดร ฮานน์ ซึ่งหาช่องโหว่ได้ดีในเกมนี้ คู่กับกองหน้าอันตรายอย่างราฟาเอล ประสานงานร่วมกับอิบราฮิมา ตราโอเล่ ที่มีความเร็วในพื้นที่ฝั่งขวา
ส่วนเลเวอร์คูเซ่นนั้นไม่มีกองหน้าเม็กซิกันคนสำคัญอย่างฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ แต่ผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งเซ็นเข้ามาอย่างเควิน โฟลลันด์ จากฮอฟเฟนไฮม์ และยูเลียน เบาม์การ์ทลิงเกอร์ จากไมนซ์ ก็ทำให้ไลน์อัพของเลเวอร์คูเซ่นดูแข็งแกร่งเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
การเพรสซิ่งต่อเนื่องของเลเวอร์คูเซ่น
โรเจอร์ ชมิดท์ นั้นเป็นโค้ชหนุ่มที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรปก็ว่าได้ ด้วยสไตล์การทำทีมแบบเพรสซิ่งเร็วต่อเนื่องไม่หยุด และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่เขาคุมทีมแอร์เบ ซัลซ์บวร์ก ในออสเตรีย
เลเวอร์คูเซ่น ใช้ระบบ 4-2-2-2 มีกองกลางตัวรุกเรียงตัวกันเป็นแถว รูปแบบดังกล่าวถูกวางขึ้นเพื่อกดดันขั้นแรกในตอนที่ต้องเป็นฝ่ายรับ และเราอาจจะได้เห็นแผนนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าชิชาริโต้จะกลับมาพร้อมลงสนาม
กุญแจสำคัญอย่างหนึ่งในการกดดันคู่ต่อสู้ของเลเวอรคูเซ่นคือการวางผู้เล่นในเกมรุกไว้สี่คนในแถวแรก โดยมีผู้เล่นอีกสองคนอยู่ในตำแหน่งด้านหลังเพื่อคอยซ้อนอีกที
ตำแหน่งแถวแรกที่ยืนเซ็ตติ้งนั้นไม่ได้สูงมากนัก ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อปิดกั้นให้ผ่านบอลทะลุไปได้ลำบาก
ในช่วงต้นเกม วิธีการเพรสซิ่งแบบนี้ได้ผลมากทีเดียวกับแผนหลังสามของกลัดบัค เพราะบอลจะวนเวียนอยู่ระหว่างกองหลังแค่สามคน แต่พอจะผ่านบอลไปให้มิดฟิลด์ตรงกลางก็ถูกดักไว้ได้โดยผู้เล่นของเลเวอร์คูเซ่น
ขณะที่แผนการเล่นของกลัดบัคนั้นอาศัยวิงแบ็คเคลื่อนที่ขึ้นลง เป็นตัวพาบอลจากแผงหลังขึ้นไป และขยายพื้นที่ทำเกมให้กว้างขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะทางเลเวอร์คูเซ่นใช้วิธีเข้าเพรสซิ่งแบบตัวต่อตัวร่วมด้วย
จากภาพข้างบนจะเห็นว่าตำแหน่งของเลเวอร์ดูได้เปรียบกลัดบัคที่ใช้ผู้เล่นแดนหลังสามคนคุมเกม
พอเป็นแบบนี้แล้ว ออสการ์ เวนดท์ วิงแบ็คซึ่งคุมพื้นที่ลึกลงไปในฝั่งซ้ายจะกลายเป็นตัวพาเกมให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ผ่านแนวผู้เล่นของเลเวอร์คูเซ่น แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องมีสมาธิมากทีเดียว เพราะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทให้ทันรับมือกับสถานการณ์ตลอดเวลา
และถ้าบอลอยู่ที่เซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย เตรียมจะผ่านไปหาเวนดท์แล้วล่ะก็ รูปแบบของการเข้ากดดันของผู้เล่นเลเวอร์คูเซ่นก็จะถูกเปลี่ยนแปลงไปในแนวลึกแทน และผู้เล่นในแดนกลางก็จะเข้าบีบเซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้ายของกลัดบัคที่ครองบอล
เลเวอร์คูเซ่นเมื่อเป็นฝ่ายครองบอล
รูปแบบการเคลื่อนที่ของเลเวอร์คูเซ่นมีหลายอย่างน่าสนใจ อย่างหนึ่งคือการประสานงานกันของแนวรับในพื้นที่สุดท้าย (1/3 รวมประตูของฝั่งตัวเอง) และแนวรุกในแดนหน้า (1/3 รวมประตูของฝ่ายตรงข้าม)
แต่เลเวอร์คูเซ่นไม่ใช่ทีมเดียวที่แพ็คเกมรับแน่นหนาและกดดันฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง กลัดบัคเองก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายสามารถทำเกมรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากรูปข้างบนจะเห็นได้ว่า แบรนด์ เลโน่ ผู้รักษาประตูของทีมจะออกมาเป็นตัวเชื่อมเพื่อช่วยสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมสามารถเคลื่อนบอลไปข้างหน้า และสามารถผ่านบอลข้ามแนวรับไปสู่แดนกลางได้ทันที (ก่อนหน้ารูปนี้การเล่นของเขานั้นเป็นการส่ง-รับบอลกับเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย)
การผ่านบอลแบบนี้ไปมาดูเผินๆ เหมือนจะเป็นแค่การครองบอลธรรมดาที่ไม่มีอะไร แต่ที่จริงแล้วการส่งบอลไปมาในแนวรับใกล้ๆ นั้น ทำเพื่อดึงดูดความสนใจของกลัดบัคให้ไปอยู่ที่แนวเซ็นเตอร์แบ็ค
การเล่นง่ายๆ แบบนี้สามารถเปิดทางให้พวกเขาทะลุทะลวงเข้าไปในแดนกลางได้ จากภาพข้างบน จะเห็นว่าเมื่อเลโน่ผ่านบอลทะลุมาถึงไลน์ที่สี่ ผ่านแนวรับสามคน ผู้เล่นที่รับช่วงต่อในแดนกลางก็จะสามารถเปลี่ยนทิศทางหรือเคลื่อนเกมต่อไปข้างหน้า
จากรูปนี้ (บน) จะเห็นว่าตำแหน่งของเควิน คัมเพิล (มิดฟิลด์ตัวรุกฝั่งซ้าย) และเวนเดลล์ (แบ็คซ้าย) นั้นมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อคัมเพิลเคลื่อนที่มาอยู่ริมซ้ายสุด ตำแหน่งของเวนเดลล์ก็จะขยับลึกเข้าไปอีก
ซึ่งถ้าตราโอเร่ (วิงแบ็คฝั่งขวาของกลัดบัค) ตามเข้าประกบเวนเดลล์เมื่อไหร่ ผลที่ตามมาคือเซนเตอร์แบ็คฝั่งขวาถูกบีบให้ต้องขยับออกจากตำแหน่งเพื่อมารับมือกับคัมเพิลโดยอัตโนมัติ พอเป็นแบบนี้แล้วจะทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นระหว่างตรงกลางกับริมฝั่งขวา
ทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้ตัวรุกสามารถเจาะเข้าไปในช่องว่างที่เกิดขึ้น จากนั้นเวนเดลล์ก็จะหาโอกาสเจาะเข้าไปในกรอบเขตโทษ
ส่วนในรูปข้างบนนี้ เราจะเห็นว่าเลเวอร์คูเซ่นมีพื้นที่ครองบอลสบายๆ และสามารถทำเกมบุกเพื่อโยนบอลผ่านแนวรับของกลัดบัคเข้าไปในโซนหน้าประตูได้
การโจมตีในแนวลึกแบบนี้บีบให้กลัดบัคต้องแพ็คแน่นบริเวณแดนกลาง ผลที่ตามมาคือบริเวณริมสนามเปิดโล่ง และทำให้ให้เลเวอร์คูเซ่นมีพื้นที่เล่น
กุญแจสำคัญในกรณีนี้คือจังหวะและความเร็วของการวิ่งของเวนเดลล์ในตำแหน่งแบ็คซ้าย การประสานงานร่วมกันของเวนเดลล์และคัมเพิลในการเคลื่อนไหวเพื่อทำให้เกิดช่องโหว่และสร้างสรรค์เกมบุก
แผนการบุกเร็วของกลัดบัค
กุญแจสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กลัดบัคชนะ 2-1 ในนัดนี้คือความยืดหยุ่นที่ทำให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการเล่นได้อย่างรวดเร็วได้เมื่อมีโอกาส
นักเตะอย่างราฟฟาเอล ตราโอเร่ และฮานน์ ล้วนจมูกไวในการหาช่องโหว่ของแนวรับ
การเดินเกมที่เฉียบคมในพื้นที่จำกัดจากคนครองบอลในตำแหน่งดังกล่าวนั้นสามารถทะลุผ่านแนวรับ และเปิดโอกาสให้เดินเกมรุกสู่พื้นที่แดนหน้าได้ เมื่อได้เป็นฝ่ายครองบอล และต้องรับมือกับอีกทีมที่คอยไล่บี้กดดันแบบกัดไม่ปล่อย ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในสถานการณ์นี้ก็คือ “พื้นที่"
ระบบ 3-4-1-2 ของกลัดบัคน่าสนใจตรงจุดนี้ ข้อสำคัญคือ การผ่านบอลทะลวงแนวรับขั้นแรกนั้นขึ้นอยู่กับมิดฟิลด์ตัวรุกตรงกลางที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ในจังหวะเดียว
ในภาพข้างบน จะเห็นว่ามีนักเตะสองคนวิ่งทำทางขึ้นไปเพื่อทำเกมต่อจาก มิดฟิลด์ที่ครองบอลอยู่ องศาและทิศทางที่แตกต่างกันนั้นทำให้เกมรุกยืดหยุ่น และสามารถทะลวงผ่านแนวรับได้
ในภาพข้างบน จะเห็นว่ามิดฟิลด์ตัวรุก (ลาร์ส สตินเดิล) นั้นรับบอลง่ายๆ มาจากแดนหลัง และตำแหน่งของเขาก็อยู่ตรงกลางพื้นที่ว่างพอดี ตอนนี้กองหน้าสองคนกำลังถูกกองหลังประกบตัวต่อตัวอยู่ แต่ในจังหวะถัดมาที่ลาร์สจะผ่านบอลสู่ขั้นที่สาม กลัดบัคก็จะมีตัวเลือกหลายทางในเกมรุก
กองหน้าทั้งสองคนวิ่งฉีกกันไปคนละทิศของกรอบเขตโทษ นั่นทำให้สตินเดิลมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะทำเกมรุกขึ้นทางฝั่งซ้ายหรือขวา หรือเขาอาจจะเลือกการพาบอลขึ้นไปด้วยตัวเองก็ได้
สรุป
ถึงแม้จะเป็นนัดแรกของฤดูกาล แต่เกมนัดนี้ก็รวมจุดเด่นของบุนเดสลีกาเอาไว้ทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายต่างบุกเข้าหากันอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเพื่อชัยชนะ
ทั้งสองทีมจะต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้งเพื่อแย่งอันดับในโซนหัวตาราง และแน่นอนว่าเกมรุกของเลเวอร์คูเซ่นที่มี ฮาเวอร์ เฮอร์นันเดซ อยู่ในไลน์อัพจะอันตรายมากกว่านี้อีกหลายเท่า
=====================================
สรุปเพิ่มเติมแบบบ้านๆ
เลเวอร์ใช้วิธีเพรสซิ่งเร็ว + แพ็คกลางแน่นเพื่อเพิ่มโอกาสตัดบอลเวลากลัดบัคพยายามผ่านบอลจากเซ็นเตอร์แบ็คมาที่มิดฟิลด์คุมเกม
แล้วทีนี้เวลาเลเวอร์ได้บอลแล้วจะทำเกมบุก กลัดบัคเป็นฝ่ายเข้าเพรสซิ่ง ปกติเวลาเขาจะดันวิงแบ็คขึ้นสูง เขามักจะให้ปีกเล่นลึกเข้าไปข้างหน้า ต่อบอลกันในแนวลึกอะไรแนวๆ นั้น
แต่อันนี้เขาให้ปีกอยู่ริมเส้น แต่แบ็คขยับเข้าไปตรงกลางแทนเพื่อดึงตัวประกบ ทำให้เกิดช่องโหว่ในแนวรับของกลัดบัค
ส่วนเกมบุกของกลัดบัค ใช้วิธีเร่งจังหวะให้มิดฟิลด์ทำเกมบุกเร็วขึ้น แบบไม่ครองบอลตรงกลางนานๆ
คือทันทีที่มิดฟิลด์รับบอลมาจากเซ็นเตอร์แบ็ค กองหน้ากลัดบัคก็วิ่งฉีกแนวรับเลเวอร์ไปคนละทาง ทำให้สามารถเลือกทำเกมบุกได้หลากหลายในจังหวะเดียว
อันนี้สรุปแบบเข้าใจเองนะ ไม่รับประกันความถูกต้อง
=====================================
ขอบคุณมากๆ นะคะที่แวะเข้ามา สุดท้ายนี้มีความเห็นอะไรก็แลกเปลี่ยนกันได้ค่ะ