ขอเกริ่น..เรื่อง "สามัญสำนึก กับ การวิจัย"...ว่าคืออะไรก่อนนะครับ
การวิจัยเป็นการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อค้นคว้าหาความจริง (Truth)
เป็นวิธีการที่เป็นระบบ ข้อเท็จจริงทั้งหลายต้องมีการทดสอบว่าเป็นจริงหรือเท็จ
และ
ถ้าความจริงที่ค้นพบในเวลาหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปแล้วมีความจริงอื่นที่สามารถ
มาพิสูจน์ และทดสอบจนเป็นที่ เชื่อถือได้มากกว่า ความจริงใหม่จะเข้าแทนที่
ความจริงเดิมที่เคยเชื่อถือ และถ้าความจริง หรือ Truth นี้มีความคงที่แน่นอนแล้ว
ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ ความจริงนั้นจะเป็นความจริงแท้ (Fact)
ดังนั้น เมื่อการวิจัยเป็นการค้นคว้าหาความจริงที่เชื่อถือได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
นักวิจัยกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์จึงสัมพันธ์กันมาก
การวิจัยจะนำเอาสามัญสำนึก
มาใช้ไม่ได้ เพราะขาดความเชื่อถือ คนทั่วไปแยกความแตกต่างของสามัญสำนึกกับ
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ยาก แต่นักวิจัยจะต้องสามารถแยกได้ ความแตกต่างของ
สามัญสำนึกกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถจำแนกได้ 5 ประการ คือ
1. การใช้โครงสร้างทางทฤษฎีของสองวิธีนี้แตกต่างกัน สามัญสำนึกไม่ได้ใช้ทฤษฎี
พิจารณาเสมอไป เช่น การปวดท้องอาจจะทำให้คิดไปว่าเพราะมีคนอื่นสาปแช่ง
หรือ คนที่มีนิสัยก้าวร้าวก็อาจคิดไปว่าเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
ของเขา เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์ถ้าจะสรุปเรื่องใดจะต้องหาโครงสร้างและทฤษฎี
ทดสอบดูให้เกิดความแน่ใจเสียก่อน
2. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ใช้วิธีทดสอบสมมุติฐานหรือทฤษฎีต่าง ๆ อย่างมีระบบ
โดยใช้วิธีการทดลองเป็นหลัก แต่สามัญสำนึกนั้นเพียงเดา หรือคาดคะเนเอา
ไม่จำเป็นต้องมีเกณฑ์หรือหลักฐานอะไรมาทดสอบให้เป็นที่เชื่อถือได้ ความจริง
สมมุติฐานที่ไม่ได้พิสูจน์ถือว่าเป็นสามัญสำนึกได้เหมือนกัน
3. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยการควบคุม นั่นคือการวางแผนการวิจัยว่า
ตัวแปรใดควรเอามาเกี่ยวข้อง หรือตัวแปรใดควรจะกำจัด การวิจัยจะได้เป็น
ตามจุดมุ่งหมาย ไม่แปลผลอย่างคลุมเครือ เช่น อาจกล่าวสรุปว่านักเรียนสายสามัญ
เก่งกว่านักเรียนสายอาชีวศึกษา ซึ่งการสรุปดังกล่าวขึ้นอยู่กับจะมองในแง่เชาว์ปัญญา
หรือความรู้ในลักษณะใด ต้องมีการกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน
4. แตกต่างกันในการอธิบายความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์นั้นๆ สามัญสำนึกเห็น
ปรากฏการณ์นั้นๆ เป็นอย่างไรก็อธิบายไปตามนั้นได้โดยมีความรู้สึกและจินตนาการ
ร่วมอยู่ด้วย เช่น การเชื่อว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกเป็นสามัญสำนึก เพราะเห็น
ปรากฏการณ์อยู่อย่างนั้น แต่นักวิทยาศาสตร์จะติดตามผลและเปรียบเทียบกับดาว
อื่นแล้วจึงอธิบายว่า แท้จริงนั้นโลกต่างหากหมุนรอบดวงอาทิตย์
5. วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายเฉพาะปรากฏการณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ในระยะ
นั้นเท่านั้น รวมทั้งยังอาจจะสามารถจำลองสถานการณ์ให้เห็นซ้ำ ๆ ได้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น เรื่องของ ผี นรก พระเจ้า ในสามัญสำนึกมีเป็นตัวตนและมีหลักแหล่ง
ที่อยู่ ตลอดจนมีการทำกิจกรรมได้ แต่นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่อธิบายเกี่ยวกับเรื่อง
เหล่านี้โดยตรง เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ หรือสร้างสถานการณ์ซ้ำ ๆ เพื่อการอธิบายได้
ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์
นัก วิจัยจะต้องยอมรับข้อตกลงบางประการในวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อตกลง
เบื้องต้นเป็นกรอบอันหนึ่งเหมือนกัน ที่จะทำให้การวิจัยเป็นไปตามจุดมุ่งหมาย
ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถจำแนกได้ 2 ประการ คือ
1. ข้อตกลงเกี่ยวกับรูปแบบของธรรมชาติ กล่าวคือ ธรรมชาติมีแบบฉบับที่เป็น
กฎเกณฑ์ตายตัวของมันเอง ข้อตกลงอันนี้แบ่งอธิบายย่อยออกเป็นความจริง
หรือข้อตกลงอยู่ 3 ประการได้แก่
1.1 ความจริงหรือข้อตกลงเกี่ยวกับชนิดของ.."ธรรมชาติ".. หมายความว่า...ธรรมชาติ
มีโครงสร้าง คุณสมบัติ และจุดมุ่งหมายของมันเอง ซึ่งอาจรวมกลุ่มได้ตาม
คุณสมบัติ 3 ประการนี้
1.2 ความจริงหรือข้อตกลงของความคงเส้นคงวา หมายความว่าปรากฏการณ์
ธรรมชาติ จะคงคุณลักษณะของมันภายใต้เงื่อนไขเฉพาะอย่างอยู่ได้ภายใน
ช่วงเวลาของมัน เสมอไป
1.3 ความจริงหรือข้อตกลงในเรื่องของความมีเหตุและผล ข้อตกลงอันนี้มีอยู่ว่า
ปรากฏการณ์ทั้งหลายในธรรมชาตินั้นมีสาเหตุที่ทำให้มันเกิด และผลทั้งหลาย
ก็จะเกิดมาจากสาเหตุนั้นด้วย
(ข้อตกลงตามที่กล่าวมานี้มีนักวิชาการและนักปรัชญาในปัจจุบันเริ่มข้อโต้แย้ง
อย่างมาก เพราะถ้ามีการยอมรับข้อตกลงนี้แล้วทำให้อาจไม่มีโอกาสได้ศึกษา
หรือเข้าถึง ความรู้และความจริงบางประการได้เลย เช่น จะไม่ยอมรับนับถือ
ผลการศึกษาและคำอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่หา สาเหตุไม่ได้และ
ไม่สามารถสร้างเหตุการณ์ซ้ำได้อีก)
2. ข้อตกลงเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตวิทยา นักวิจัยทั้งหลายยอมรับข้อตกลงที่ว่า
ความรู้สามารถเพิ่มพูนขึ้นในโลกได้ด้วยกระบวนการทางจิตวิทยา เช่น การรับรู้
ความจำ และเหตุผล แต่สิ่งที่กล่าวมานี้จะต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น (Reliability)
ของสิ่งที่ใช้ในกระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ด้วย ถ้าขาดความเชื่อมั่นที่ดีแล้วข้อตกลง
ก็ไม่มีความหมาย
นั่นคือ การรับรู้ต้องอาศัยความเชื่อมั่นของประสาทสัมผัสทั้งหลายว่าดี แปล
ความหมายของสิ่งนั้นถูกต้องตามความจริง ความจำก็เช่นเดียวกันต้องมี
ความเชื่อมั่นว่าถูกต้อง ซึ่งอาจจะทำได้โดยอาศัยการจดบันทึกหรือเทปบันทึกก็ได้
โอกาสผิดพลาดมีได้ง่าย ส่วนการให้เหตุผลจะดีหรือเลวขึ้นอยู่กับสติปัญญา
เป็นสำคัญ การให้เหตุผลผิดย่อมนำไปสู่การลงสรุปผิด การวิจัยจึงต้องล้อมกรอบ
ความบกพร่องเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ขั้นนิยามปัญหา ตั้งสมมุติฐาน รวบรวมข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูล แล้วค่อยอาศัยเหตุผลเพื่อการสรุป
การปรับแก้ผลวิจัย
จากบริบทของการวิจัยดังกล่าวเป็นที่เข้าใจได้ว่า ผลการวิจัยนั้นไม่ควรมีการปรับแก้
ถ้ากระบวนการของการวิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบวิธีวิจัยอย่างเคร่งครัด
การปรับแก้ผลวิจัยเพื่อให้ได้ผลตามความพอใจหรือคามสามัญสำนึกนั้นจึงเป็น
สิ่งที่นักวิจัยไม่ควรทำและไม่ควรยินยอมให้มีการกระทำดังกล่าว การปรับแก้นั้น
พึงกระทำได้เมื่อพบความผิดพลาดหรือบกพร่องในการเก็บรวบรวม ข้อมูลหรือ
การวิเคราะห์ข้อมูลอันส่งผลต่อการสรุปผลวิจัยเท่านั้น
การปรับแก้ผลวิจัยที่เกิดขึ้นในระหว่างการสอบป้องกันของนักศึกษาระดับบัณฑิต
ศึกษา ทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอกก่อนจบการศึกษา เป็นการปรับแก้
เพื่อให้เกิดความถูกต้องอันเนื่องมาจากความผิดพลาดของผู้ วิจัยซึ่งอาจจะเพิ่ง
เริ่มหัดทำวิจัยเป็นครั้งแรก เมื่อคณะกรรมการสอบหรืออาจารย์ที่ปรึกษาตรวจ
พบข้อบกพร่องในกระบวนการวิจัย อาจทำให้ต้องมีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล
และสรุปผลใหม่
สำหรับ รายงานผลการวิจัยที่อาจสร้างความไม่พอใจ หรือสร้างความเสียหาย
ให้กับผู้เสียประโยชน์นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น การวิจัยผลของการดื่มกาแฟ
และการดื่มนมที่มีต่อสุขภาพ ผลการวิจัยอาจเป็นที่พอใจหรือไม่พอใจกับ
กลุ่มผู้ผลิตและขายกาแฟและนมได้ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ควรเรียกร้องให้
เปลี่ยนแปลงผลวิจัย แต่สามารถยกประเด็น กระบวนการ เงื่อนไข รวมทั้ง
ข้อตกลงเบื้องต้นของการวิจัยขึ้นโต้แย้งหรือทำความเข้าใจให้กับสาธารณะ
และการรายงานผลการวิจัยที่ดีนั้นควรแสดงกระบวนการวิจัย เงื่อนไข
รวมทั้งข้อตกลงเบื้องต้นพร้อมกับการเสนอผลวิจัยด้วย
การอภิปรายผล วิจัยเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้วิจัยสามารถแสดงความเห็นและ
ข้อเสนอแนะอันเป็นผล จากการดำเนินการทำวิจัยและผลสรุปของงานวิจัยนั้น
ในส่วนนี้เป็นส่วนที่ผู้เกี่ยวข้องสามารถทักท้วง หรือเสนอแนะเพิ่มเติมรวมทั้ง
วิพากษ์ วิจารณ์ งานวิจัยได้อย่างอิสระ ตามเงื่อนไขและข้อตกลงการวิจัยที่ทำให้
เกิดผลสรุปของงานวิจัย
สรุป
ถ้าเชื่อมั่นว่ากระบวนการวิจัยเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ในขณะนี้ที่จะใช้สำหรับการ
แสวงหาความจริง จึงควรให้การยอมรับผลวิจัย การปฏิเสธผลวิจัยเท่ากับเป็น
การปฏิเสธวิธีการหาความจริงด้วยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ การวิจัยเป็น
กิจกรรมทางวิชาการอย่างหนึ่งและน่าจะใช้เป็นที่พึ่งของการหาความจริง
สำหรับการพัฒนาสังคมและของชาติได้
การเข้าถึงธรรมชาติของการวิจัย อาจต้องใช้ระยะเวลาการศึกษา และเป็น
การศึกษาขั้นสูงรวมทั้งต้องมี ประสบการณ์ในการทำวิจัยด้วย จึงเป็นธรรมดา
ว่าสามัญชนส่วนใหญ่อาจมีโอกาสเข้าถึงธรรมชาติของงานวิจัยได้ น้อยกว่า
ผู้ที่มีโอกาสศึกษาในระดับสูง เมื่อกล่าวถึงงานวิจัยจึงทำให้คนส่วนใหญ่
ไม่กล้าแสดงความเห็นมากนัก เพราะอาจไม่สามารถตอบโต้กับผู้รู้ได้อย่างมั่นใจ
การปฏิเสธผลวิจัยมักเกิด ขึ้นเมื่อผลการวิจัยกระทบกับผลประโยชน์และ
ความเชื่อของบางกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามเสรีภาพในการวิจัย และการยอมรับ
ผลการวิจัยเป็นเสรีภาพพื้นฐาน ของพลเมือง การเรียกร้องให้แก้ไขหรือ
ทบทวนผลวิจัยนั้น ควรแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของกระบวนการวิจัย
ที่ทำให้การวิจัยนั้นไม่น่าเชื่อถือควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ใช้สามัญสำนึก
ของความไม่ถูกใจและเสียประโยชน์เท่านั้น
รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
ที่มา...
http://www.thairath.co.th/content/248144
"สามัญสำนึก กับ การวิจัย" อันไหน.."น่าเชื่อถือ/ยอมรับ/ความจริง" เกี่ยวข้องกับ "การเมืองวันนี้" มากกว่ากัน
การวิจัยเป็นการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อค้นคว้าหาความจริง (Truth)
เป็นวิธีการที่เป็นระบบ ข้อเท็จจริงทั้งหลายต้องมีการทดสอบว่าเป็นจริงหรือเท็จ
และถ้าความจริงที่ค้นพบในเวลาหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปแล้วมีความจริงอื่นที่สามารถ
มาพิสูจน์ และทดสอบจนเป็นที่ เชื่อถือได้มากกว่า ความจริงใหม่จะเข้าแทนที่
ความจริงเดิมที่เคยเชื่อถือ และถ้าความจริง หรือ Truth นี้มีความคงที่แน่นอนแล้ว
ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ ความจริงนั้นจะเป็นความจริงแท้ (Fact)
ดังนั้น เมื่อการวิจัยเป็นการค้นคว้าหาความจริงที่เชื่อถือได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
นักวิจัยกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์จึงสัมพันธ์กันมาก การวิจัยจะนำเอาสามัญสำนึก
มาใช้ไม่ได้ เพราะขาดความเชื่อถือ คนทั่วไปแยกความแตกต่างของสามัญสำนึกกับ
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ยาก แต่นักวิจัยจะต้องสามารถแยกได้ ความแตกต่างของ
สามัญสำนึกกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถจำแนกได้ 5 ประการ คือ
1. การใช้โครงสร้างทางทฤษฎีของสองวิธีนี้แตกต่างกัน สามัญสำนึกไม่ได้ใช้ทฤษฎี
พิจารณาเสมอไป เช่น การปวดท้องอาจจะทำให้คิดไปว่าเพราะมีคนอื่นสาปแช่ง
หรือ คนที่มีนิสัยก้าวร้าวก็อาจคิดไปว่าเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
ของเขา เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์ถ้าจะสรุปเรื่องใดจะต้องหาโครงสร้างและทฤษฎี
ทดสอบดูให้เกิดความแน่ใจเสียก่อน
2. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ใช้วิธีทดสอบสมมุติฐานหรือทฤษฎีต่าง ๆ อย่างมีระบบ
โดยใช้วิธีการทดลองเป็นหลัก แต่สามัญสำนึกนั้นเพียงเดา หรือคาดคะเนเอา
ไม่จำเป็นต้องมีเกณฑ์หรือหลักฐานอะไรมาทดสอบให้เป็นที่เชื่อถือได้ ความจริง
สมมุติฐานที่ไม่ได้พิสูจน์ถือว่าเป็นสามัญสำนึกได้เหมือนกัน
3. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยการควบคุม นั่นคือการวางแผนการวิจัยว่า
ตัวแปรใดควรเอามาเกี่ยวข้อง หรือตัวแปรใดควรจะกำจัด การวิจัยจะได้เป็น
ตามจุดมุ่งหมาย ไม่แปลผลอย่างคลุมเครือ เช่น อาจกล่าวสรุปว่านักเรียนสายสามัญ
เก่งกว่านักเรียนสายอาชีวศึกษา ซึ่งการสรุปดังกล่าวขึ้นอยู่กับจะมองในแง่เชาว์ปัญญา
หรือความรู้ในลักษณะใด ต้องมีการกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน
4. แตกต่างกันในการอธิบายความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์นั้นๆ สามัญสำนึกเห็น
ปรากฏการณ์นั้นๆ เป็นอย่างไรก็อธิบายไปตามนั้นได้โดยมีความรู้สึกและจินตนาการ
ร่วมอยู่ด้วย เช่น การเชื่อว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกเป็นสามัญสำนึก เพราะเห็น
ปรากฏการณ์อยู่อย่างนั้น แต่นักวิทยาศาสตร์จะติดตามผลและเปรียบเทียบกับดาว
อื่นแล้วจึงอธิบายว่า แท้จริงนั้นโลกต่างหากหมุนรอบดวงอาทิตย์
5. วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายเฉพาะปรากฏการณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ในระยะ
นั้นเท่านั้น รวมทั้งยังอาจจะสามารถจำลองสถานการณ์ให้เห็นซ้ำ ๆ ได้อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น เรื่องของ ผี นรก พระเจ้า ในสามัญสำนึกมีเป็นตัวตนและมีหลักแหล่ง
ที่อยู่ ตลอดจนมีการทำกิจกรรมได้ แต่นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่อธิบายเกี่ยวกับเรื่อง
เหล่านี้โดยตรง เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ หรือสร้างสถานการณ์ซ้ำ ๆ เพื่อการอธิบายได้
ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์
นัก วิจัยจะต้องยอมรับข้อตกลงบางประการในวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อตกลง
เบื้องต้นเป็นกรอบอันหนึ่งเหมือนกัน ที่จะทำให้การวิจัยเป็นไปตามจุดมุ่งหมาย
ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถจำแนกได้ 2 ประการ คือ
1. ข้อตกลงเกี่ยวกับรูปแบบของธรรมชาติ กล่าวคือ ธรรมชาติมีแบบฉบับที่เป็น
กฎเกณฑ์ตายตัวของมันเอง ข้อตกลงอันนี้แบ่งอธิบายย่อยออกเป็นความจริง
หรือข้อตกลงอยู่ 3 ประการได้แก่
1.1 ความจริงหรือข้อตกลงเกี่ยวกับชนิดของ.."ธรรมชาติ".. หมายความว่า...ธรรมชาติ
มีโครงสร้าง คุณสมบัติ และจุดมุ่งหมายของมันเอง ซึ่งอาจรวมกลุ่มได้ตาม
คุณสมบัติ 3 ประการนี้
1.2 ความจริงหรือข้อตกลงของความคงเส้นคงวา หมายความว่าปรากฏการณ์
ธรรมชาติ จะคงคุณลักษณะของมันภายใต้เงื่อนไขเฉพาะอย่างอยู่ได้ภายใน
ช่วงเวลาของมัน เสมอไป
1.3 ความจริงหรือข้อตกลงในเรื่องของความมีเหตุและผล ข้อตกลงอันนี้มีอยู่ว่า
ปรากฏการณ์ทั้งหลายในธรรมชาตินั้นมีสาเหตุที่ทำให้มันเกิด และผลทั้งหลาย
ก็จะเกิดมาจากสาเหตุนั้นด้วย
(ข้อตกลงตามที่กล่าวมานี้มีนักวิชาการและนักปรัชญาในปัจจุบันเริ่มข้อโต้แย้ง
อย่างมาก เพราะถ้ามีการยอมรับข้อตกลงนี้แล้วทำให้อาจไม่มีโอกาสได้ศึกษา
หรือเข้าถึง ความรู้และความจริงบางประการได้เลย เช่น จะไม่ยอมรับนับถือ
ผลการศึกษาและคำอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่หา สาเหตุไม่ได้และ
ไม่สามารถสร้างเหตุการณ์ซ้ำได้อีก)
2. ข้อตกลงเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตวิทยา นักวิจัยทั้งหลายยอมรับข้อตกลงที่ว่า
ความรู้สามารถเพิ่มพูนขึ้นในโลกได้ด้วยกระบวนการทางจิตวิทยา เช่น การรับรู้
ความจำ และเหตุผล แต่สิ่งที่กล่าวมานี้จะต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น (Reliability)
ของสิ่งที่ใช้ในกระบวนการรับรู้หรือเรียนรู้ด้วย ถ้าขาดความเชื่อมั่นที่ดีแล้วข้อตกลง
ก็ไม่มีความหมาย
นั่นคือ การรับรู้ต้องอาศัยความเชื่อมั่นของประสาทสัมผัสทั้งหลายว่าดี แปล
ความหมายของสิ่งนั้นถูกต้องตามความจริง ความจำก็เช่นเดียวกันต้องมี
ความเชื่อมั่นว่าถูกต้อง ซึ่งอาจจะทำได้โดยอาศัยการจดบันทึกหรือเทปบันทึกก็ได้
โอกาสผิดพลาดมีได้ง่าย ส่วนการให้เหตุผลจะดีหรือเลวขึ้นอยู่กับสติปัญญา
เป็นสำคัญ การให้เหตุผลผิดย่อมนำไปสู่การลงสรุปผิด การวิจัยจึงต้องล้อมกรอบ
ความบกพร่องเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ขั้นนิยามปัญหา ตั้งสมมุติฐาน รวบรวมข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูล แล้วค่อยอาศัยเหตุผลเพื่อการสรุป
การปรับแก้ผลวิจัย
จากบริบทของการวิจัยดังกล่าวเป็นที่เข้าใจได้ว่า ผลการวิจัยนั้นไม่ควรมีการปรับแก้
ถ้ากระบวนการของการวิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบวิธีวิจัยอย่างเคร่งครัด
การปรับแก้ผลวิจัยเพื่อให้ได้ผลตามความพอใจหรือคามสามัญสำนึกนั้นจึงเป็น
สิ่งที่นักวิจัยไม่ควรทำและไม่ควรยินยอมให้มีการกระทำดังกล่าว การปรับแก้นั้น
พึงกระทำได้เมื่อพบความผิดพลาดหรือบกพร่องในการเก็บรวบรวม ข้อมูลหรือ
การวิเคราะห์ข้อมูลอันส่งผลต่อการสรุปผลวิจัยเท่านั้น
การปรับแก้ผลวิจัยที่เกิดขึ้นในระหว่างการสอบป้องกันของนักศึกษาระดับบัณฑิต
ศึกษา ทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอกก่อนจบการศึกษา เป็นการปรับแก้
เพื่อให้เกิดความถูกต้องอันเนื่องมาจากความผิดพลาดของผู้ วิจัยซึ่งอาจจะเพิ่ง
เริ่มหัดทำวิจัยเป็นครั้งแรก เมื่อคณะกรรมการสอบหรืออาจารย์ที่ปรึกษาตรวจ
พบข้อบกพร่องในกระบวนการวิจัย อาจทำให้ต้องมีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล
และสรุปผลใหม่
สำหรับ รายงานผลการวิจัยที่อาจสร้างความไม่พอใจ หรือสร้างความเสียหาย
ให้กับผู้เสียประโยชน์นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น การวิจัยผลของการดื่มกาแฟ
และการดื่มนมที่มีต่อสุขภาพ ผลการวิจัยอาจเป็นที่พอใจหรือไม่พอใจกับ
กลุ่มผู้ผลิตและขายกาแฟและนมได้ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ควรเรียกร้องให้
เปลี่ยนแปลงผลวิจัย แต่สามารถยกประเด็น กระบวนการ เงื่อนไข รวมทั้ง
ข้อตกลงเบื้องต้นของการวิจัยขึ้นโต้แย้งหรือทำความเข้าใจให้กับสาธารณะ
และการรายงานผลการวิจัยที่ดีนั้นควรแสดงกระบวนการวิจัย เงื่อนไข
รวมทั้งข้อตกลงเบื้องต้นพร้อมกับการเสนอผลวิจัยด้วย
การอภิปรายผล วิจัยเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้วิจัยสามารถแสดงความเห็นและ
ข้อเสนอแนะอันเป็นผล จากการดำเนินการทำวิจัยและผลสรุปของงานวิจัยนั้น
ในส่วนนี้เป็นส่วนที่ผู้เกี่ยวข้องสามารถทักท้วง หรือเสนอแนะเพิ่มเติมรวมทั้ง
วิพากษ์ วิจารณ์ งานวิจัยได้อย่างอิสระ ตามเงื่อนไขและข้อตกลงการวิจัยที่ทำให้
เกิดผลสรุปของงานวิจัย
สรุป
ถ้าเชื่อมั่นว่ากระบวนการวิจัยเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ในขณะนี้ที่จะใช้สำหรับการ
แสวงหาความจริง จึงควรให้การยอมรับผลวิจัย การปฏิเสธผลวิจัยเท่ากับเป็น
การปฏิเสธวิธีการหาความจริงด้วยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ การวิจัยเป็น
กิจกรรมทางวิชาการอย่างหนึ่งและน่าจะใช้เป็นที่พึ่งของการหาความจริง
สำหรับการพัฒนาสังคมและของชาติได้
การเข้าถึงธรรมชาติของการวิจัย อาจต้องใช้ระยะเวลาการศึกษา และเป็น
การศึกษาขั้นสูงรวมทั้งต้องมี ประสบการณ์ในการทำวิจัยด้วย จึงเป็นธรรมดา
ว่าสามัญชนส่วนใหญ่อาจมีโอกาสเข้าถึงธรรมชาติของงานวิจัยได้ น้อยกว่า
ผู้ที่มีโอกาสศึกษาในระดับสูง เมื่อกล่าวถึงงานวิจัยจึงทำให้คนส่วนใหญ่
ไม่กล้าแสดงความเห็นมากนัก เพราะอาจไม่สามารถตอบโต้กับผู้รู้ได้อย่างมั่นใจ
การปฏิเสธผลวิจัยมักเกิด ขึ้นเมื่อผลการวิจัยกระทบกับผลประโยชน์และ
ความเชื่อของบางกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามเสรีภาพในการวิจัย และการยอมรับ
ผลการวิจัยเป็นเสรีภาพพื้นฐาน ของพลเมือง การเรียกร้องให้แก้ไขหรือ
ทบทวนผลวิจัยนั้น ควรแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของกระบวนการวิจัย
ที่ทำให้การวิจัยนั้นไม่น่าเชื่อถือควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ใช้สามัญสำนึก
ของความไม่ถูกใจและเสียประโยชน์เท่านั้น
รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
ที่มา...http://www.thairath.co.th/content/248144