๙ แล้ว ๖ ๖ แล็ว ๙ เก็บตกเรื่องที่ไม่ได้พูดในรายการมันนีทอล์คเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๙

เนื่องจากเวลาในการสนทนา มีจำกัด

หัวข้อที่อาจารย์ไพบูลย์ ได้ให้ไว้เป็นการบ้าน ๔ ข้อ เลยได้พูดไปเพียงบางส่วน

เมื่อวานได้รู้ข้อมูลค่าเช่าสถานที่ จากอาจารย์ไพบูลย์แล้วตกใจกับตัวเลข

ราคาค่าเช่าหอประชุมศาสตราจารย์สังเวียนฯ  คือ ๑ แสนบาทต่อวัน !!!!
เนืองจาก รายการนี้ตลาดหลักทรัพย์เห็นว่ามีประโยชน์ต้อนักลงทุน
ก็เลยลดให้เหลือ ๓ หมื่นบาท  
โดยมีบริษัทจดทะเบียนต่างๆ  หมุนเวียนกันออกค่าใช้จ่ายให้กับรายการ
เพื่อให้คนฟัง ไม่ต้องเสียเงินเข้ามาฟัง

ความจริงตลาดหลักทรัพย์ได้ขอให้จำนวนคนเข้าฟัง มีไม่เกินจำนวนเก้าอี้
แต่ลงท้าย   ทางทีมงานก็ต้องยอมให้  คนที่วอล์คอินบางส่วน  นั่งฟังกับพื้น


หัวข้อที่อาจารย์ไพบูลย์ ได้ให้มาคือ

"ประสบการณ์เซียนหุ้น ฝ่าวิกฤตหุ้น"
ขอโพสต์เฉพาะส่วนที่ผมพูด  และตั้งใจจะพูด แต่ไม่ได้พูดดังนี้



หัวข้อย่อย

คำถามข้อที่ ๑ ประสบการณ์ฝ่าวิกฤตที่เคยประสบมา



เริ่มพูดจากความหมายของคำว๋า "เซียน"
จริงๆแล้ว  ความหมายตามตัวอักษรจีน เป็นไปตามภาพประกอบคือ

ดังนั้น  ถ้าเอาเฉพาะความหมายในตลาดหุ้น  เซียนหุ้นมีเต็ม....เลย   ฮาฮา




พูดถึงวิกฤตที่ตัวเองเจอโดยตรง

ได้แยกเป็น  

๑ วิกฤตแบบเรื้อรัง และไม่เรื้อรัง

แบบเรื้อรังที่เจอครั้งแรกคือ
วิกฤตบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ราชาเงินทุน ในปี 2523  
ซึ่งจุดสิ้นสุดของวิกฤตคือ  

การปิดกิจการของบริษัทเงินทุน ที่ไม่มีธนาคารเป็นผู้ถือหุ้น

ที่ไม่ได้พูดคือ  
คนฝากเงินได้รับเงินต้นคืน โดยไม่ได้รับดอกเบี้ย  ปีละสิบเปอร์เซนต์ของเงินต้น  จนได้เงินต้นครบในเวลาสิบปี
ช่วงนั้น ยังไม่มีวิกฤตศรัทธาของระบบธนาคาร  ความเสียหายจึงจำกัดอยู่ในวงแคบๆ
ที่คนเล่นหุ้นจำนวนไม่ถึงหมื่นคน และคนถือตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่ไม่มีธนาคารถือหุ้น


แบบเรื้อรังที่เจอครั้งที่สองคือ  ช่วงฟองสบู่แตกจากปี ๒๕๔๐
ความเสียหายครั้งนี้หนักหน่วงกว่าครั้งแรกมาก
เพราะวิกฤตไปสิ้นสุดที่ วิกฤตศรัทธาต่อระบบธนาคาร  
จนมีธนาคารขนาดเล็กและกลางล้มไปหลายแห่ง

และคนซื้อขายหุ้นเริ่มมีมากขึ้นถึงระดับแสนคน ??
ซึ่งหมายถึงว่า  คนจำนวนมาก จะสูญเงินออมไปจนหมด ในตลาดหุ้นเพราะ  หัวข้อ ๒

สำหรับข่วงซับไพร์ม  ปี 2508  พอร์ตไม่ได้เสียหายมาก
คือเท่าทุน เมื่อบวกเงินปันผลกลับเข้าไป
แถมเป็นโอกาสดี ให้ได้ซื้อหุ้นทื่มีแต้มต่อด้านเงินปันผลมากๆ

ที่ไม่ได้พูดบนเวทีคือ  ซับไพร์มต่างกับวิกฤตราชาเงินทุน และฟองสบู่แตกอย่างสิ้นเชิงในแง่
ดอกเบี้ยเงินฝาก  ต่างกันมากจากวิกฤตสองครั้งก่อน ถึงสี่ห้าเท่าตัว

๒  วิกฤค ที่มีโอกาสให้แก้ตัว และ ไม่มีโอกาสให้แก้ตัว


คนที่สูญเงินออมไปจนหมด แถมอาจจะมีหนี้สินเพิ่มตามมาในช่วงนั้น  คือคนที่กู้ยืมเงินมาซื้อขายหุ้น
และคนที่ถือหุ้นของบริษัทที่ล้มละลายจากวิกฤตฟองสบู่แตก

ลองตีความเอาเอง  จากภาพประกอบว่า
ใครคือคนที่เกิดวิกฤตแล้วมีโอกาสได้แก้ตัว  ใครที่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัว

ตัวอย่างของวิกฤต ที่มีโอกาสได้แก้ตัวคึอ
คนถือหุ้น ที่ราคาหุ้นของบริษัทได้รับผลกระทบชั่วคราว  แต่ธุรกิจของบริษัทยังดำเนินต่อไปได้ดี

วันนั้นหยิบใบหุ้นนี้ไปด้วย แต่ไม่สะดวกจะหยิบขึ้นมาให้ดู

เป็นเศษหุ้นที่ถือไว้แบบใบหุ้น  
เพิ่งเอาไปเป็นเปลี่ยนเป็นใบหุ้นพาร์หนึ่งบาท เมื่อสามปีก่อน
หุ้นส่วนใหญ่ได้ทะยอยขายทำกำไร เอาเงินที่ได้เปลี่ยนไปซื้อ  pb แทน







ส่วนคนที่เจอวิกฤตแล้วไม่มีโอกาสได้แก้ตัวคือ
คนที่ถือหุ้นของบริษัทที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว  และถูกตลาดหลักทรัพย์ถอดออกจากตลาดหุ้น
เมื่ออาทิตย์แล้ว ก็โดนไปสี่ตัว  โดยตลาดหลักทรัพย์ให้ออกไปเลย ไม่ยอมให้ซื้อขายอีกรอบก่อนออก

http://www.set.or.th/set/newsdetails.do?newsId=14745877572791&language=th&country=TH






ตัวอย่างของวิกฤต ที่ไม่มีโอกาสให้แก้ตัว







ตัวนี้ยังดี ให้โอกาสได้กินบุฟเฟต์ฟรีหลายมื้อ  จนกว่าจะชำระบัญชีเพื่อยกเลิกบริษัทเสร็จสิ้น ฮาฮา



เมื่อวานได้พูดไปว่า

ถ้าเงินกำไรจากวิกฤต ที่มีโอกาสให้แก้ตัว  สามารถกลบเงินขาดทุนจากวิกฤต ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวได้อย่างสบายๆ
ยังไงถึงไม่รวยมาก  ก็เอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้

ที่ไม่ได้พูดคือ
ตอนนี้เอาแบบมวยวัด   ขายหุ้นบางส่วน
ทำคลายเครียดเรโชมหภาค  ถอนเงินลงทุนออกจากตลาดไปหกสิบเท่าของเงินต้น
หุ้นที่เหลือก็ กินปันผล เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำปี  


สำหรับวิฤตที่ต้องการพูด แต่ไม่ได้พูดคือ

วิกฤตจากการเปรียบเทียบ แล้วก้าวข้ามจากระดับความคิด ไปเป็นการกระทำ

บทเรียนครั้งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือ ครึ่งปีหลังของ ๒๕๓๖
ที่ต้องทนดู คนอื่นกำไรเอา กำไรเอา จากราคาหุ้นที่ขึ้นจนหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้
ร่ำๆจะตามเข้าไปตะลุมบอน แต่ก็เบรคไว้ได้แค่ตรงระดับความคิดอิจฉาคนอื่นรวยเอา รวยเอา
ก็เราเป็นแค่ปุถุชน  จะเสแสร้งบอกว่าไม่คิด ไม่ได้อิจฉา   มันคงไม่ใช่หรอก อมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม06

แต่ผมสามารถหยุดไว้ตรงแนวต้าน ที่ระดับความคิด  ฮาฮา

ตอนหุ้นใน mai  ขั้นอย่างบ้าเลือด ช่วงต้นปี 2558  เลยนั่งดูได้อย่างสบายมากๆ
เพราะรู้จุดจบว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ส่วนคนที่ก้าวข้ามจากระดับความคิด ไปเป็นการกระทำ
โดยไม่มีเครื่องมืออะไร ในการก้าวข้าม
คือคนที่ขาดทุน  ตั้งแต่  เก้าสิบเปอร์เซนต์ ลงไปถึงห้าสิบเปอร์เซนต์
คนที่กำไรคือ คนที่มีเครื่องมือ และวินัยในการเล่นหุ้นปั่น หุ้นต้มตุ๋นอย่างเคร่งครัด



คำถามข้อที่ ๒
กลยุทธการลงทุนที่ควรใช้  กลยุทธ์ทำใจที่ควรใช้


คำถามนี้ ไม่ได้ตอบ แต่อยากตอบดังนี้


ก่อนถึงขั้นต้องทำใจ  เราต้องหาทางวิธีไม่ต้องทำใจก่อน
ถ้าเชื่อว่า ราคาหุ้นมันเกินความรู้ ความสามารถของเรา  ต้องไม่เข้าไปยุ่งแต่แรก
ถ้าเข้ายุ่ง เพราะเชื่อว่าตัวเองมีแต้มต่อ  
ถ้าพลาดเป็นขาดทุน  ก็ต้องมีตัวชี้วัดที่ใช้ในการขายขาดทุน เพื่อไม่ให้ความเสียหายลุกลามออกไป
ถ้าได้กำไรตัวเลขจำนวนมาก   ก็ต้องขายเอาเงินต้นออกมาก่อน
ด้วย คลายเครียดเรโขจุลภาค  




คำถามที่ ๓
อุตสาหกรรมไหนที่น่าสนใจ  หุ้นลักษณะใดที่ควรลงทุน



หัวข้อนี้ไม่มีเวลาให้ออกความเห็น
คือต้องการตอบว่า

บางทีอุตสาหกรรมไหนน่าสนใจ  ยังสำคัญน้อยกว่า ราคาหุ้นที่เราจะเข้าไปซื้อ ราคาไหนน่าสนใจ
ถ้าซื้อตอนไม่มีแต้มต่อเหลือมากพอ  หุ้นดีแค่ไหน ก็ขาดทุนได้ทั้งนั้น
ถ้ามันเป็นราคาหุ้นที่อนาคต  ที่ขึ้นไปรอรับกับผลประกอบการในอนาคตล่วงหน้าแล้ว

ส่วนหุ้นแย่  ก็อาจจะได้กำไร  เพราะตลาดหุ้นจะมีรอบใหญ่ๆ ให้หุ้นไม่ว่าดีหรือเน่า
ขึ้นไปให้เราได้ขายทำกำไร  ถ้ารู้จักอดทนรอให้มีการปั่นราคาหุ้นขึ้นไป
ทีต้องทำคือ ต้องซื้อตอนยังไม่มีใครปั่น แล้วเอาไปขายตอนมีคนปั่น
ไม่ใช่ซื้อตอนที่ทุกคนเช้าร่วมตะลุมบอน  
แล้วหวังว่าตัวเองจะไม่เป็นคนสุดท้ายที่ถือหุ้นในราคาที่ไปต่อไม่ได้แล้ว


สำหรับผม  ไม่ว่าเราจะลงทุนแบบไหน
จุดเริ่มต้น กับจุดจบก็เหมือนกับหมดคือ
ราคาหุ้นที่เราซื้อ  หักลบกับราคาหุ้นที่เราขาย



สำหรับคนถือกินปันผล  บางทีจะไม่ได้กำไรจากราคาหุ้นที่ขาย
แต่ได้จากเงินปันสะสมรับ  ซึ่งมีหุ้นหลายตัวในพอร์ต
ได้เงินต้นคืนจากเงินปันผลสะสมรับ  เพราะเข้าไปซิ้อตอนราคาหุ้นมีแต้มต่อด้านพีอี พีบีวี  มากๆๆๆๆๆ

ตัวที่ดีที่สุดในพอร์ต    
ได้คืนสามเท่าของเงินต้น  จากเงินปันผลสะสมรับ โดยไม่ต้องขายหุ้นทิ้ง


คำถามข้อที่ ๔  
คำแนะนำอื่นๆ หรือหลักการอื่นๆ ที่คิดว่าเป็นประโยชน์



ข้อนี้ไม่มีเวลาให้ตอบ

แต่อยากจะตอบว่า

ในปัจจุบัน  วิกฤตของผลตอบแทนของการอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องเสี่ยงจากเงินฝากธนาคาร  ต่ำอย่างเรื้อรังมาหลายปี
จึงเป็นโอกาสของการทำราคาหุ้นไปที่ราคาไหนก็ได้   โดยที่เหตุผลของการขึ้น การลงมันจะตามมาเอง

ข่วงนี้ที่เอาข่าวมาเล่นก็คือ   เฟตจะขึ้นดอกเบี้ย  

ลองย้อนกลับไปดู แล้วจะขำกลิ้งกับเหตุผลนี้

ความจริง fed fund rate เคยสวิงอย่างบ้าเลือดมาแล้วตามภาพประกอบ

https://www.thebalance.com/fed-funds-rate-history-highs-lows-3306135



ถ้าเอาเหตุผลนี้    ราคาหุ้น จะไม่ลงทีละห้าสิบเปอร์เซนต์ ขึ้นทีร้อยเปอร์เซนต์ภายในสองสามเดือนหรือ

ผมได้พูดไปว่า
ตอนนี้มีวิกฤตของการเสพติดข้อมูลข่าวสาร  จนสุขภาพจิตเสียแบบรายวัน

แถม  วิกฤตกับโอกาสสลับข้างกันอย่างรวดเร็วแบบรายวัน

โดยโอกาสเป็นของคนที่แทงถูกข้าง  และเป็นวิกฤตของคนที่แทงผิดข้าง  
ผู้ร่วมสนทนาบนเวที  นึกว่าผมหมายถึงหุ้น

ผมเลยบอกไปว่า  ผมหมายถึงการแทง tfex  อมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม06

เราเริ่มเข้าสู่ยุค วิกฤต ไม่ได้เป็นวิกฤตสำหรับทุกคน
อย่างช่วงวิกฤตซับไพร์ม  
ได้กลายเป็นโอกาสของคนที่แทงว่า ตราสารส่วนควบของพันธบัตรเงินกู้ขยะ ของอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ
จะต้องลดลงอย่างหนัก   เป็นคนที่ทำกำไรอย่างมหาศาลจากการแทง   "ลง"



มีประเด็นที่ได้พูดบนเวที คือข้อความตามภาพประกอบ
แต่ได้ลดระดับความแรงลง  โดยใช้คำว่า แม่นยำ  แทนคำว่าไม่เคยหลอก




พร้อมยกตัวอย่าง นักลงทุนรายใหญ๋ (ตอนนั้นไม่ได้บอกว่าแนววีไอ)  เทขายล้างพอร์ตหุ้นพลังงานทางเลือกตัวหนึ่ง
เพราะ..........................


ส่วนที่อยากจะพูดมากที่สุด แต่ไม่มีเวลาพูดก็คือ

จะอยู่ในตลาดหุ้น  ความเสี่ยงที่ต้องเอามาคำนวณด้วยก็คือ


๑  ถ้าเราพลาด  มั่นใจว่าจะมีเวลาเหลือให้แก้ตัวอีกกี่ปี่

๒ ทุนสำรองที่จะมีไว้ให้แก้ตัว ทั้งจำนวนเงินและต้นทุนทางสังคม(หมายถึงครอบครัว) มีมากแค่ไหน  



ก็คงสรุปที่อยากโพสต์  ทั้งที่ได้พูดบนเวที และไม่ได้พูด  ก็ได้ประมาณนี้ครับ










แฟนคลับภาคบังคับให้ตามมาจากบ้าน ทั้งๆที่ไม่ได้สนใจเรื่องหุ้น  อมยิ้ม16อมยิ้ม16อมยิ้ม16อมยิ้ม16


ขอบคุณแฟนคลับภาคสมัครใจมาฟังทุกๆท่านครับ   โดยเฉพาะคุณหยงอัน
จิ๊วเก๋า หนั่งเช้งเก๋า  เหล้าเข้มข้น น้ำใจเข้มข้น  
ยอมขับรถมาจากสิงห์บุรีเพื่อมาฟัง พร้อมของฝากอร่อย ๆ  

น่าเสียดายไม่มีภาพคุณ *AQUA*   เซียนหุ้นพอร์ตเกือบสองพันล้าน
ที่ขอปลีกวิเวก พร้อมกับภรรยา  ไม่อยากออกสื่อ ฮาฮา

คนที่พอร์ตโตก้าวกระโดดมาสามปีซ้อน คือบุรุษเชิ๊ตดำ (nong 2011)  คนที่ ๓ จากซ้ายมือ  
พอร์ตโตจากฝีมือการเล่นหุ้นปั่นด้วยกราฟแท่งเทียน เฉพาะตัว
ได้ข่าวว่า  ล่าสุดซื้อการบินไทยที่ ๗ บาทกว่า เอาไปขายแถวๆ ๓๐  อมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม06




ทีมงานมันนี่ทอล์ค ได้ส่งคลิ๊บมาให้ทางอีเมล์แล้ว
ดูจากคลิ๊บ  เนื้อหาที่ผมพูดมีน้อยกว่าในกระทู้นี้มาก เพราะมีเวลาจำกัด


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่