สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
มุมนี้เพิ่งเคยรู้เลย ยุคเสียกรุงครั้งที่ 2
Credit : Worapong Keddit Facebook

บทความนี้น่าจะช่วยตอบคำถามในระดับนึงว่า เหตุใดพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยามาตั้งปีกว่า อยู่ๆถึงเร่งระดมกำลังตีเมืองโดยฉับพลัน จากนั้นก็เผาเมืองแล้วก็ทิ้งทหารเฝ้าไว้แค่สามพัน ให้แม่ทัพปลายแถวอย่างสุกี้พระนายกองคุมทัพเฝ้าไว้ที่โพธิ์สามต้น จนทำให้พระเจ้าตากสินสามารถไล่พม่าออกไปได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน และมีเวลาเตรียมตัวนานกว่าพม่าจะยกทัพมาตีกรุงธนบุรีจริงๆจังๆ ไม่ใช่แค่ "เห็นเมืองไทยอ่อนแอก็เลยยกทัพมาปล้น" ดังที่กรมพระยาดำรงทรงสัณนิษฐานแน่ๆ(แต่ก็ต้องเห็นใจว่าเพราะพระองค์ไม่มีความรู้ด้านภาษาจีน พระองค์ไม่เคยอ่านชิงสือลู่กับชิงสือเก่า ย่อมไม่ทรงทราบว่าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นในขณะนั้น)
-----------------------
"สงครามต้าชิง - คองบอง (สงครามจีน - พม่า) ตอนที่สาม : ชาวฮั่นไม่ได้เรื่อง ถึงคราวแมนจูออกศึกเอง"
หลังความพ่ายแพ้ของต้าชิงถึงสองครั้ง จักรพรรดิเฉียนหลงและราชสำนักชิงได้สรุปประสบการณ์จากความพ่ายแพ้สองครั้งว่า เป็นเพราะลำพังอาศัยทัพกองธงเขียวซึ่งประกอบด้วยชาวฮั่นที่ไร้ฝีมือและศักยภาพในการรบเป็นกำลังหลัก และอาศัยเพียงขุนนางชาวฮั่นที่ไม่มีฝีมือการรบเป็นแม่ทัพบัญชาการรบอย่างเดียว ต้าชิงจึงต้องปราชัยย่อยยับ เป็นที่ขายหน้าเช่นนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องให้นักรบผู้กล้าแห่งแมนจูออกศึกเองแล้ว24 กันยายน 2014 ·
ดังนั้นแล้ว จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระบัญชาให้ราชบุตรเขยชาวแมนจู "หมิงรุ่ย" นายพลผู้เคยมีประสบการณ์สู้รบกับพวกเติร์กในเอเชียกลางมาแล้ว รับตำแหน่งข้าหลวงอวิ๋นกุ้ย และแม่ทัพพิชิตพม่าในคราวนี้ หมิงรุ่ยเดินทางถึงยูนนาน พร้อมด้วยกองทหารทีค่ประกอบด้วยทหารแปดกองธงและทหารมองโกล ซึ่งถือเป็นกำลังหลักของกองทัพราชวงศ์ชิง จำนวนสามหมื่นนาย และมีทหารกองธงเขียวเป็นกองหนุนอีกหนึ่งหมื่นสองพันนาย มาสมทบกับกองทัพพันธมิตรเจ้าฟ้าไทใหญ่ ในเดือนเมษายน ค.ศ.1767
สภาพการณ์ของกองทัพต้าชิงในครั้งนี้ แม้จะได้ชื่อว่าประกอบด้วยกองทหารที่เข้มแข็งที่สุดอย่างนักรบแปดกองธงแมนจู และนักรบมองโกลก็ตาม แต่ทว่าเมื่อจะต้องมารบในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยภูสูงป่าทึบอย่างแดนพม่านี้ ก็ทำให้นักรบมองโกลและแมนจูซึ่งจะเปล่งอานุภาพไร้ผู้ต้านได้ก็ต่อเมื่ออยู่บนหลังม้า จำต้องสละม้ามาเป็นเดินรบเป็นทหารราบแทน นี่จึงทำให้ศักยภาพที่แท้จริงของนักรบเหล่านี้ต้องลดน้อยถอยลงไป
แต่กระนั้น การมาของกองทัพต้าชิงในครานี้ ก็สร้างแรงกดดันอันใหญ่หลวงให้แก่ราชสำนักคองบองของพม่ามากกว่าครั้งก่อนๆ เนื่องจากการมาของกองทัพต้าชิงในครั้งนี้ นอกจากจะมาด้วยกองทัพที่ใหญ่และแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนๆแล้ว ยังมาช่วงในจังหวะเวลาที่ฝ่ายพม่าขาดแคลนกำลังพล อันเนื่องมาจากกำลังพลส่วนใหญ่ของพม่ายังติดพันสงครามกับล้านช้าง(ลาว) และอยุธยา (สยาม - สงครามเสียกรุงครั้งที่สอง) และโดยเฉพาะยังขาดแม่ทัพคนสำคัญอย่างเนเมียวสีหปติ ซึ่งต้องไปทำศึกกับอยุธยา ไม่อาจปลีกตัวมารับศึกต้าชิงเหมือนครั้งก่อนได้ ครั้งนี้ภาระหนักจึงตกกับมหาสีตู ผู้เคยร่วมทำศึกพิชิตทัพต้าชิงในสงครามต้าชิง - คองบอง ครั้งที่สอง มาแล้ว ร่วมกับพลามินดินที่ถูกเรียกตัวให้ไปรับศึกป้องกันเมืองปูเตาอีกครั้งหนึ่ง
ในการศึกครั้งนี้ แม่ทัพหมิงรุ่ยแห่งแมนจูวางแผนแบ่งกำลังเป็นสองทัพ กำหนดให้บุกโจมตีหลังฤดูฝน โดยทัพที่หนึ่ง ซึ่งหมิงรุ่ยนำทัพเอง จะเข้าโจมตีทางแสนหวี หล่าโชว สีป่อ จากนั้นล่องลงใต้ตามลำน้ำนัมตู มุ่งสู่เมืองอังวะ(ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่อู๋ซานกุ้ยเคยใช้บุกพม่าเพื่อบีบบังคับให้พระเจ้าตองอูส่งตัวฮ่องเต้หย่งลี่แห่งหมิงใต้ให้แก่ตน) ส่วนทัพที่สองจะรุกไปตามเส้นทางเมืองภามอ ปูเตา ล่องใต้ตามลำน้ำอิระวดี วึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่แม่ทัพหยางอิงจวี่เคยใช้ ส่วนฝ่ายพม้ากำหนดให้เนเมียวสีตูไปรับศึกทัพที่สองของต้าชิงที่ภามอ ส่วนทัพที่หนึ่งของต้าชิงนั้นให้มหาตีหตุระและมหาสีตูจัดการสงครามต้าชิง - คองบอง ครั้งที่สามระเบิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1767 โดยทัพที่สองของต้าชิงบุกเข้าโจมตีเมืองภามอแตก หลังสู้รบกันอยู่แปดวัน ส่วนทัพที่หนึ่งซึ่งแม่ทัพใหญ่หมิงรุ่ยนำทัพเองได้เข้ายึดเมืองแสนหวีเป็นฐานที่มั่น โดยทิ้งทหารรักษาการณ์ไว้ห้าพันนาย และระดมกำลังอีกหนึ่งหมื่นห้าพันนายบุกอังวะต่อไปปลายเดือนธันวาคม ค.ศ.1767 ทัพใหญ่ของหมิงรุ่ยและมหาสีตูหเผชิญหน้ากันที่
Goteik Gorge ทางตอนใต้ของเมืองสีป่อ ศึกครานี้ มหาสีตูเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มหาตีหตุระก็มิอาจเข้าช่วยเหลือได้ เพราะถูกดึงเอาไว้ที่แสนหวี ขยับไปไหนไม่ได้ พระเจ้ามังระเมื่อทราบข่าวว่ากองทัพของมหาสีตูและมหาตีหตุระอาจต้านทานทัพแปดกองธงของแมนจูไม่อยู่ ก็ทรงหวั่นวิตกยิ่ง ในที่สุดพระองค์จึงจำต้องมีราชโองการเร่งให้กองทัพของเนเมียวสีหปติที่ไปตีกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น ให้เร่งกลับมารับศึกทัพแปดกองธงของแมนจูโดยเร็วฝ่ายแม่ทัพใหญ่หมิงรุ่ยก็ฉวยจังหวะที่ฝ่ายตนได้เปรียบนี้เร่งรุดบุกหนัก จนสามารถเข้าถึงเมืองจิงกู ซึ่งอยู่ห่างกรุงอังวะเพียงสามสิบไมล์ได้ในช่วงต้นปี ค.ศ.1768เมื่อข้าศึกเข้าประชิดประตูบ้านเช่นนี้แล้ว ในที่สุด สายเลือดแห่งกษัตริย์นักรบราชวงศ์อลองพญาก็สูบฉีดพล่าน ให้พระเจ้ามังระนำทัพออกศึก เผชิญหน้ากับหมิงรุ่ยด้วยพระองค์เองโอ้ อนิจจา เหมือนเทพชัยชนะจะเข้าข้างพม่าอีกคำรบหนึ่ง เนื่องเพราะการที่หมิงรุ่ยยกทัพรุกลึกเข้ามาในดินแดนพม่าไกลเกินไป จากแสนหวีซึ่งเป็นฉานที่มั่นหลัก มาถึงเมืองจิงกู ระยะทางห่างกันหลายร้อยไมล์ เส้นทางการส่งกำลังบำรุงแสนยาวไกลและยากลำบากยิ่ง นี่จึงกลายเป็นโอกาสทองของมหาตีหตุระในการตอบโต้ จึงให้รองแม่ทัพของตนนำกำลังคอยซุ่มโจมตีกองลำเลียงของต้าชิงไม่หยุดหย่อน สถานการณ์ของฝ่ายหมิงรุ่ยย่ำแย่หนัก ขณะเดียวกันกองทัพที่สองของต้าชิงเองซึ่งเคลื่อนพลมาทางลำน้ำอิระวดี ก็เผชิญกับการต่อต้านที่เมืองปูเตาอย่างหนัก จนแม่ทัพกองทัพที่สองสั่งถอยทัพกลับยูนนานโดยพลการเอาดื้อๆ
ในช่วงต้นปี ค.ศ.1768 นี้เอง กองทัพที่แข็งแกร่งของพม่าที่นำโดยเนเมียวสีหปติ ที่ยกไปตีกรุงศรีอยุธยา ก็กลับมาถึงอังวะพอดิบพอดี สถานการณ์ของพม่าพลิกกลับมาเป็นต่อ เป็นโอกาสให้เนเมียวสีตูและมหาตีหตุระสามารถรวมกำลังกันเข้าโจมตีชิงเมืองแสนหวีคืนจากต้าชิงได้สำเร็จ นายพลต้าชิงผู้รักษาเมืองแสนหวีหมดปัญญาต้านทานจึงฆ่าตัวตาย ทัพของหมิงรุ่ยถูกตัดทางถอยไปโดยปริยาย พอเข้าสู่เดือนมีนาคม ทัพหมิงรุ่ยซึ่งไร้ทางกลับ ก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคมาลาเรียระบาดอีก หมิงรุ่ยผู้เคยวาดฝันจะกรีธาทัพเข้าสู่เมืองอังวะอย่างสวยหรู มาบัดนี้ขนาดจะกลับยูนนานก็ยังมิรู้ที่จะทำประการใด
ในที่สุดฝ่ายพม่าก็ทำการตอบโต้โดยระดมกำลังกว่าหมื่นคน เข้าปิดล้อมทัพของหมิงรุ่ยทุกด้าน สองฝ่ายเปิดศึกแตกหักกันที่เมย์เมียว ห่างจากกรุงอังวะห้าสิบไมล์ การสู้รบครั้งนี้ดุเดือดรุนแรงยิ่ง "เลือดไหลนองเป็นท้องธาร ศพดารดาษดั่งขอนไม้" ในที่สุดกองทัพผสมแมนจูและมองโกลของหมิงรุ่ยก็พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
หมิงรุ่ยในฐานะแม่ทัพใหญ่และราชบุตรเขยผู้มีเกียรติภูมิและผลงานในการศึกมาไม่น้อย ทั้งก่อนหน้านี้ก็สามารถสร้างผลงานในศึกพม่าได้ยิ่งหว่าแม่ทัพคนก่อนๆ เพราะสามารถบุกเข้ามาจนเกือบประชิดหรุงอังวะของพม่าได้แล้ว ย่อมไม่มีหน้าที่จะกลับไปยังแผ่นดินต้าชิงอีก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจผูกคอตายล้างความอัปยศในครั้งนี้ที่แดนพม่านั่นเอง

สงครามต้าชิง - คองบอง ครั้งที่สาม ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของต้าชิงอีกคำรบหนึ่ง
กำลังดู the voice 😎😎😎😎
Credit : Worapong Keddit Facebook

บทความนี้น่าจะช่วยตอบคำถามในระดับนึงว่า เหตุใดพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยามาตั้งปีกว่า อยู่ๆถึงเร่งระดมกำลังตีเมืองโดยฉับพลัน จากนั้นก็เผาเมืองแล้วก็ทิ้งทหารเฝ้าไว้แค่สามพัน ให้แม่ทัพปลายแถวอย่างสุกี้พระนายกองคุมทัพเฝ้าไว้ที่โพธิ์สามต้น จนทำให้พระเจ้าตากสินสามารถไล่พม่าออกไปได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน และมีเวลาเตรียมตัวนานกว่าพม่าจะยกทัพมาตีกรุงธนบุรีจริงๆจังๆ ไม่ใช่แค่ "เห็นเมืองไทยอ่อนแอก็เลยยกทัพมาปล้น" ดังที่กรมพระยาดำรงทรงสัณนิษฐานแน่ๆ(แต่ก็ต้องเห็นใจว่าเพราะพระองค์ไม่มีความรู้ด้านภาษาจีน พระองค์ไม่เคยอ่านชิงสือลู่กับชิงสือเก่า ย่อมไม่ทรงทราบว่าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นในขณะนั้น)
-----------------------
"สงครามต้าชิง - คองบอง (สงครามจีน - พม่า) ตอนที่สาม : ชาวฮั่นไม่ได้เรื่อง ถึงคราวแมนจูออกศึกเอง"
หลังความพ่ายแพ้ของต้าชิงถึงสองครั้ง จักรพรรดิเฉียนหลงและราชสำนักชิงได้สรุปประสบการณ์จากความพ่ายแพ้สองครั้งว่า เป็นเพราะลำพังอาศัยทัพกองธงเขียวซึ่งประกอบด้วยชาวฮั่นที่ไร้ฝีมือและศักยภาพในการรบเป็นกำลังหลัก และอาศัยเพียงขุนนางชาวฮั่นที่ไม่มีฝีมือการรบเป็นแม่ทัพบัญชาการรบอย่างเดียว ต้าชิงจึงต้องปราชัยย่อยยับ เป็นที่ขายหน้าเช่นนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องให้นักรบผู้กล้าแห่งแมนจูออกศึกเองแล้ว24 กันยายน 2014 ·
ดังนั้นแล้ว จักรพรรดิเฉียนหลงจึงทรงมีพระบัญชาให้ราชบุตรเขยชาวแมนจู "หมิงรุ่ย" นายพลผู้เคยมีประสบการณ์สู้รบกับพวกเติร์กในเอเชียกลางมาแล้ว รับตำแหน่งข้าหลวงอวิ๋นกุ้ย และแม่ทัพพิชิตพม่าในคราวนี้ หมิงรุ่ยเดินทางถึงยูนนาน พร้อมด้วยกองทหารทีค่ประกอบด้วยทหารแปดกองธงและทหารมองโกล ซึ่งถือเป็นกำลังหลักของกองทัพราชวงศ์ชิง จำนวนสามหมื่นนาย และมีทหารกองธงเขียวเป็นกองหนุนอีกหนึ่งหมื่นสองพันนาย มาสมทบกับกองทัพพันธมิตรเจ้าฟ้าไทใหญ่ ในเดือนเมษายน ค.ศ.1767
สภาพการณ์ของกองทัพต้าชิงในครั้งนี้ แม้จะได้ชื่อว่าประกอบด้วยกองทหารที่เข้มแข็งที่สุดอย่างนักรบแปดกองธงแมนจู และนักรบมองโกลก็ตาม แต่ทว่าเมื่อจะต้องมารบในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยภูสูงป่าทึบอย่างแดนพม่านี้ ก็ทำให้นักรบมองโกลและแมนจูซึ่งจะเปล่งอานุภาพไร้ผู้ต้านได้ก็ต่อเมื่ออยู่บนหลังม้า จำต้องสละม้ามาเป็นเดินรบเป็นทหารราบแทน นี่จึงทำให้ศักยภาพที่แท้จริงของนักรบเหล่านี้ต้องลดน้อยถอยลงไป
แต่กระนั้น การมาของกองทัพต้าชิงในครานี้ ก็สร้างแรงกดดันอันใหญ่หลวงให้แก่ราชสำนักคองบองของพม่ามากกว่าครั้งก่อนๆ เนื่องจากการมาของกองทัพต้าชิงในครั้งนี้ นอกจากจะมาด้วยกองทัพที่ใหญ่และแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนๆแล้ว ยังมาช่วงในจังหวะเวลาที่ฝ่ายพม่าขาดแคลนกำลังพล อันเนื่องมาจากกำลังพลส่วนใหญ่ของพม่ายังติดพันสงครามกับล้านช้าง(ลาว) และอยุธยา (สยาม - สงครามเสียกรุงครั้งที่สอง) และโดยเฉพาะยังขาดแม่ทัพคนสำคัญอย่างเนเมียวสีหปติ ซึ่งต้องไปทำศึกกับอยุธยา ไม่อาจปลีกตัวมารับศึกต้าชิงเหมือนครั้งก่อนได้ ครั้งนี้ภาระหนักจึงตกกับมหาสีตู ผู้เคยร่วมทำศึกพิชิตทัพต้าชิงในสงครามต้าชิง - คองบอง ครั้งที่สอง มาแล้ว ร่วมกับพลามินดินที่ถูกเรียกตัวให้ไปรับศึกป้องกันเมืองปูเตาอีกครั้งหนึ่ง
ในการศึกครั้งนี้ แม่ทัพหมิงรุ่ยแห่งแมนจูวางแผนแบ่งกำลังเป็นสองทัพ กำหนดให้บุกโจมตีหลังฤดูฝน โดยทัพที่หนึ่ง ซึ่งหมิงรุ่ยนำทัพเอง จะเข้าโจมตีทางแสนหวี หล่าโชว สีป่อ จากนั้นล่องลงใต้ตามลำน้ำนัมตู มุ่งสู่เมืองอังวะ(ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่อู๋ซานกุ้ยเคยใช้บุกพม่าเพื่อบีบบังคับให้พระเจ้าตองอูส่งตัวฮ่องเต้หย่งลี่แห่งหมิงใต้ให้แก่ตน) ส่วนทัพที่สองจะรุกไปตามเส้นทางเมืองภามอ ปูเตา ล่องใต้ตามลำน้ำอิระวดี วึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่แม่ทัพหยางอิงจวี่เคยใช้ ส่วนฝ่ายพม้ากำหนดให้เนเมียวสีตูไปรับศึกทัพที่สองของต้าชิงที่ภามอ ส่วนทัพที่หนึ่งของต้าชิงนั้นให้มหาตีหตุระและมหาสีตูจัดการสงครามต้าชิง - คองบอง ครั้งที่สามระเบิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1767 โดยทัพที่สองของต้าชิงบุกเข้าโจมตีเมืองภามอแตก หลังสู้รบกันอยู่แปดวัน ส่วนทัพที่หนึ่งซึ่งแม่ทัพใหญ่หมิงรุ่ยนำทัพเองได้เข้ายึดเมืองแสนหวีเป็นฐานที่มั่น โดยทิ้งทหารรักษาการณ์ไว้ห้าพันนาย และระดมกำลังอีกหนึ่งหมื่นห้าพันนายบุกอังวะต่อไปปลายเดือนธันวาคม ค.ศ.1767 ทัพใหญ่ของหมิงรุ่ยและมหาสีตูหเผชิญหน้ากันที่
Goteik Gorge ทางตอนใต้ของเมืองสีป่อ ศึกครานี้ มหาสีตูเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มหาตีหตุระก็มิอาจเข้าช่วยเหลือได้ เพราะถูกดึงเอาไว้ที่แสนหวี ขยับไปไหนไม่ได้ พระเจ้ามังระเมื่อทราบข่าวว่ากองทัพของมหาสีตูและมหาตีหตุระอาจต้านทานทัพแปดกองธงของแมนจูไม่อยู่ ก็ทรงหวั่นวิตกยิ่ง ในที่สุดพระองค์จึงจำต้องมีราชโองการเร่งให้กองทัพของเนเมียวสีหปติที่ไปตีกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น ให้เร่งกลับมารับศึกทัพแปดกองธงของแมนจูโดยเร็วฝ่ายแม่ทัพใหญ่หมิงรุ่ยก็ฉวยจังหวะที่ฝ่ายตนได้เปรียบนี้เร่งรุดบุกหนัก จนสามารถเข้าถึงเมืองจิงกู ซึ่งอยู่ห่างกรุงอังวะเพียงสามสิบไมล์ได้ในช่วงต้นปี ค.ศ.1768เมื่อข้าศึกเข้าประชิดประตูบ้านเช่นนี้แล้ว ในที่สุด สายเลือดแห่งกษัตริย์นักรบราชวงศ์อลองพญาก็สูบฉีดพล่าน ให้พระเจ้ามังระนำทัพออกศึก เผชิญหน้ากับหมิงรุ่ยด้วยพระองค์เองโอ้ อนิจจา เหมือนเทพชัยชนะจะเข้าข้างพม่าอีกคำรบหนึ่ง เนื่องเพราะการที่หมิงรุ่ยยกทัพรุกลึกเข้ามาในดินแดนพม่าไกลเกินไป จากแสนหวีซึ่งเป็นฉานที่มั่นหลัก มาถึงเมืองจิงกู ระยะทางห่างกันหลายร้อยไมล์ เส้นทางการส่งกำลังบำรุงแสนยาวไกลและยากลำบากยิ่ง นี่จึงกลายเป็นโอกาสทองของมหาตีหตุระในการตอบโต้ จึงให้รองแม่ทัพของตนนำกำลังคอยซุ่มโจมตีกองลำเลียงของต้าชิงไม่หยุดหย่อน สถานการณ์ของฝ่ายหมิงรุ่ยย่ำแย่หนัก ขณะเดียวกันกองทัพที่สองของต้าชิงเองซึ่งเคลื่อนพลมาทางลำน้ำอิระวดี ก็เผชิญกับการต่อต้านที่เมืองปูเตาอย่างหนัก จนแม่ทัพกองทัพที่สองสั่งถอยทัพกลับยูนนานโดยพลการเอาดื้อๆ
ในช่วงต้นปี ค.ศ.1768 นี้เอง กองทัพที่แข็งแกร่งของพม่าที่นำโดยเนเมียวสีหปติ ที่ยกไปตีกรุงศรีอยุธยา ก็กลับมาถึงอังวะพอดิบพอดี สถานการณ์ของพม่าพลิกกลับมาเป็นต่อ เป็นโอกาสให้เนเมียวสีตูและมหาตีหตุระสามารถรวมกำลังกันเข้าโจมตีชิงเมืองแสนหวีคืนจากต้าชิงได้สำเร็จ นายพลต้าชิงผู้รักษาเมืองแสนหวีหมดปัญญาต้านทานจึงฆ่าตัวตาย ทัพของหมิงรุ่ยถูกตัดทางถอยไปโดยปริยาย พอเข้าสู่เดือนมีนาคม ทัพหมิงรุ่ยซึ่งไร้ทางกลับ ก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคมาลาเรียระบาดอีก หมิงรุ่ยผู้เคยวาดฝันจะกรีธาทัพเข้าสู่เมืองอังวะอย่างสวยหรู มาบัดนี้ขนาดจะกลับยูนนานก็ยังมิรู้ที่จะทำประการใด
ในที่สุดฝ่ายพม่าก็ทำการตอบโต้โดยระดมกำลังกว่าหมื่นคน เข้าปิดล้อมทัพของหมิงรุ่ยทุกด้าน สองฝ่ายเปิดศึกแตกหักกันที่เมย์เมียว ห่างจากกรุงอังวะห้าสิบไมล์ การสู้รบครั้งนี้ดุเดือดรุนแรงยิ่ง "เลือดไหลนองเป็นท้องธาร ศพดารดาษดั่งขอนไม้" ในที่สุดกองทัพผสมแมนจูและมองโกลของหมิงรุ่ยก็พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
หมิงรุ่ยในฐานะแม่ทัพใหญ่และราชบุตรเขยผู้มีเกียรติภูมิและผลงานในการศึกมาไม่น้อย ทั้งก่อนหน้านี้ก็สามารถสร้างผลงานในศึกพม่าได้ยิ่งหว่าแม่ทัพคนก่อนๆ เพราะสามารถบุกเข้ามาจนเกือบประชิดหรุงอังวะของพม่าได้แล้ว ย่อมไม่มีหน้าที่จะกลับไปยังแผ่นดินต้าชิงอีก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจผูกคอตายล้างความอัปยศในครั้งนี้ที่แดนพม่านั่นเอง

สงครามต้าชิง - คองบอง ครั้งที่สาม ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของต้าชิงอีกคำรบหนึ่ง
กำลังดู the voice 😎😎😎😎

แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม....มีแต่เสียง 25/9/2016.../sao..เหลือ..noi
กระทู้นี้ เป็นมุมพักผ่อน มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม....แต่มีเสียง.........
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกัน
แล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
https://www.youtube.com/watch?v=m66PQxydbRk
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป
ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพส
สิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลง
จึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
สุขสันต์เย็นวันอาทิตย์นะคะ .... สวัสดีเพื่อนๆ ห้องเพลง
วันนี้ ขอแนะนำ พิธีกร นักร้อง หญิงเก่ง ของวงการบันเทิงค่ะ "ผุสชา โทณะวณิก"
อยากรู้เหมือนกัน ใครไม่รู้จักเธอบ้าง เพราะคุณเธอดังมาก ในรายการ "จันทร์กระพริบ"
วันนี้รายการหายไปแล้ว เธอเปลี่ยนบทบาท เป็นวิทยากร นักเขียน และเป็นจิตอาสาค่ะ
ผุสชา โทณะวณิก
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ผุสชา โทณะวณิก
ชื่อเล่น ตุ้ม
เกิด 8 มกราคม พ.ศ. 2503 (56 ปี)
อาชีพ พิธีกร นักเล่านิทาน สอน เขียน กำกับ นักร้อง
ผุสชา โทณะวณิก (ชื่อเล่น ตุ้ม) มีความสามารถหลากหลาย ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
มีชื่อเสียงจากการเป็นพิธีกรโทรทัศน์รายการจันทร์กะพริบ และคอนเสิร์ตคอนเทสต์ เป็น
นักร้องเสียงหวานที่มีผลงานมาแล้ว 4 อัลบั้มเพลงที่โด่งดังคือ ฝัน ฝันหวาน
ผุสชา โทณะวณิก ศึกษาที่โรงเรียนสมถวิล ราชดำริ เมื่อเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.2 ได้เรียนเปียโนที่ศูนย์ดนตรีวาทินี
และเป็นนักร้องนำประจำวงวาทินี ได้ออกรายการโทรทัศน์และงานต่างๆร่วมกับวง จนเรียนจบ ม.ศ.5 จาก
โรงเรียนสตรีวิทยา 2 จากนั้นผุสชาเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เอกการละคร เมื่อเรียนปี 2 ได้ตั้งวงดนตรีหญิงชื่อ "เบลลาดอนน่า" ซึ่งมีสมาชิกอย่าง ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์,
พิไลวรรณ บุญล้น เวนิกา วิล ออกแสดงตามงานของมหาวิทยาลัยและเล่นตามงานข้างนอกด้วย
จึงทำให้รู้จักกับ ชรัส เฟื่องอารมย์ และ พนเทพ สุวรรณะบุณย์(วงแฟลช)ที่เล่นประจำอยู่ที่เดอะ ไนล์ โรงแรม
แมนดาริน ขณะนั้น ชรัสกำลังทำอัลบั้มชุดแรกกับวงแฟลช และเมื่อมาพบผุสชาขณะกำลังซ้อมอยู่กับวงเบลลาดอนน่า
ก็รู้สึกพอใจกับการร้องและน้ำเสียง จึงขอให้ไปช่วยบันทึกเสียงร้องประสานในชุดแรกของเขา และต่อมาชรัส
เฟื่องอารมย์ ก็ได้ชวนผุสชาให้ออกงานเดี่ยว โดยเขาจะทำหน้าที่ดูแลการผลิต ผุสชาออกผลงานชุดแรก ฝัน ฝันหวาน
ในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 ภายใต้สังกัดแกรมมี่ อัลบั้มชุดนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดียิ่ง ทำให้ในวันแรกมียอด
สั่งจองเทปถึง 70,000 ม้วน และส่งผลให้ชื่อ " ผุสชา โทณะวณิก" เป็นนักร้องโด่งดังในทันที ผุสชามีผลงานชุดที่ 2
ตามมา ชื่อ โปรดฟังฉัน ในปี พ.ศ. 2531 และผลงานชุดที่ 3 คือ "วันและคืน" ในปี พ.ศ. 2537 โดยมี ธเนส สุขวัฒน์
เป็นโปรดิวเซอร์ และออกผลงานชุดสุดท้าย "ริธึ่ม ออฟ ผุสชา" (Rhythm of Pusacha) ในปี
พ.ศ. 2544 กับยูนิเวอร์แซล เป็นการคัพเวอร์เพลงเก่าผลงานประพันธ์ของ สุรพล โทณะวณิก คุณอาของเธอ
มาร้องใหม่ในแนวละตินแจ๊ซ โดยธเนส สุขวัฒน์ เป็นโปรดิวเซอร์ ในขณะที่ผุสชาเป็นนักร้องที่โด่งดัง แต่เธอกลับยัง
ทำงานในสิ่งที่เธอเรียนมาไปพร้อมๆกัน คือ งานผลิตรายการโทรทัศน์ที่บริษัทเจเอสแอล และได้เริ่มงานเป็นพิธีกร
รายการโทรทัศน์ในเวลาต่อมา ผลงานที่สร้างชื่อเสียงในการเป็นพิธีกร คือ รายการเพลง"น้ำแข็งใส่น้ำหวาน"
รายการประกวดเพลงที่โด่งดัง "คอนเสิร์ตคอนเทสต์" คู่กับปัญญา นิรันดร์กุล ในปี 2529 และรายการที่ยังคงอยู่ในใจ
ผู้ชมอย่างรายการ "จันทร์กะพริบ" คู่กับ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร ความสามารถด้านการเป็นพิธีกรของผุสชานั้นได้
รับการยอมรับจากสถาบันต่างๆ โดยเธอได้รับรางวัลพิธีกรยอดเยี่ยมถึง 6 รางวัล
ผุสชาถ่ายทอดความรู้ของการเป็นคนเบื้องหน้าโดยสอนพิธีกรรุ่นใหม่มากมายหลายคน ไม่ว่าจะเป็น สุวนันท์ คงยิ่ง ณัฐวุฒิ
สกิดใจ พนิตนาฏ ฉัตรวิไล เจนนิเฟอร์ คิ้ม ศิระพันธ์ วัฒนจินดา ฯลฯ และยังเป็นวิทยากรอบรมพิธีกร และการพูด การเสนอ
งานให้แก่บุคลากรให้แก่องค์กรต่างๆ ด้วย
ผุสชาใช้เสียงในการทำงานอีกมากมาย. ทั้งอ่านสารคดี พากย์การ์ตูน เธอเป็นนักเล่านิทานในสื่อการศึกษา "เล่า ร้อง ทำนองสนุก"
ที่เด็กๆรู้จักในชื่อ "อาตุ้ม" ที่ทั้งเล่านิทานได้สนุกสนาน ทั้งร้องเพลงได้หวานไพเราะและร่าเริงสดใส และยังอ่านทำนองเสนาะได้
เจื้อยแจ้ว. ด้วยความที่เป็นคนพูดชัดถ้อยชัดคำเธอจึงได้รับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นจากกรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงวัฒนธรรม
ผุสชายังคงใช้ความสามารถในการเขียน โดยเขียนหนังสือ"ลูกชายช่างพูด"เล่าเรื่องราวของลูกชายตัวน้อยๆไว้ได้อย่างขำๆน่าเอ็นดู
และยังเขียนบทให้แก่รายการโทรทัศน์ งานละคร งานแสดง อีเว้นท์ คอนเสิร์ต ซึ่งเธอก็เป็นผู้กำกับด้วย อาทิ แดนนภาเดอะมิวสิคัล
ใน คอนเสิร์ตทัพฟ้าคู่ไทย
ผุสชาสมรสแล้วกับ ธเนส สุขวัฒน์ ( มิวสิคกูรู ) มีบุตรชาย 1 คน คือ ธชา สุขวัฒน์
เธอและสามีเป็นครอบครัวจิตอาสาสร้างสรรค์งานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยมักนำความรู้ความสามารถในการดนตรีมาเรียงร้อย
ให้เกิดงานกุศล เช่น สร้างสรรค์งานอัลบัมเพื่อจิตวิญญานให้แก่เสถียรธรรมสถาน โดยมีอัลบัมเพลงเพื่อเด็ก ในชุด ชมสวน-
ดอกไม้บาน-25ปีเสถียรธรรมสถาน และเพลงของสถาบันวิมุตตยาลัย ทั้งยังเป็นจิตอาสาจัดงานคอนเสิร์ตให้แก่เสถียรธรรมสถาน
อย่างต่อเนื่องนานนับสิบปี
นอกจากนี้ ยังเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตการกุศล Tribute to BeeGees เพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง /
Musicguru Charity เพื่อสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา รพ. ศิริราช
และยังก่อตั้งโครงการวงดนตรีจิตอาสา Musicguru Band ทำให้เกิดวงดนตรีของนักดนตรีสูงวัย
ที่มีฝีมือซึ่งได้ออกงานกุศลมาแล้วหลายต่อหลายงาน สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมทุกครั้ง
ผุสชายังคงสร้างงานที่ท้าทายตนเองอยู่เสมอ ล่าสุด เธอแสดงงิ้วโดยรับบท นางฟ้าจื๋อหนี่ ในงิ้วเทิดพระเกียรติ 8 เซียน
ถวายพระพร แสดง 26 มิถุนายน 2558 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์
รางวัลต่าง ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การศึกษา
- อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกการละคร จบปีการศึกษา 2524 (อบ.45)
- นักศึกษาดีเด่น BCF 1 (Broadcasting Executive Forum)
- นักบริการระดับสูงกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ รุ่นที่ 1 ปี พ.ศ. 2556
เพราะ เป็นกระทู้ห้องเพลง เรามาฟังเพลงกัน
เพลง - ผุสชา โทณะวณิก【OFFICIAL MV】
https://www.youtube.com/watch?v=FRVHCc-TLJk
ผุสชา ...มีเพลงเพราะมากมาย ชวนเพื่อนๆ มารำลึกถึงพิธีกร คนเก่ง กันหน่อย