หวัดดีค่า.....
เห็นมีคนสนใจน้องเยอะช่วงนี้ เลยอยากแนะนำ เอาบทความ ที่น้องเขียนมาฝากกันค่ะ (จริงๆ 😂)
ต้นฉบับ :
http://www.theplayerstribune.com/joshua-kimmich-bayern-munich/
JOSHUA KIMMICH
MIDFIELDER / BAYERN MUNICH
เสียงหน้าต่างแตก
พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทำหน้าต่างแตกอีกแล้ว
คุณแม่ผมคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างยิ่ง ท่านไม่ถามแล้วว่า เกิดอะไรขึ้น? แม่เดินออกมาจากบ้าน จ้องมาที่พวกเรา
“ใครทำล่ะคราวนี้?”
ผมเติบโตที่หมู่บ้านเล็กๆ ในเยอรมัน ที่อยู่ระหว่างป่าดำ และ สตุ๊ทการ์ท ชื่อ Bosingen มันเล็กมาก เล็กจริงๆ มีคนอาศัยแค่ 1700 คน ที่สำคัญพวกเรารักฟุตบอล ทว่า ไม่มีพื้นที่ให้เด็กๆ วิ่งไล่เตะบอลมากนัก
เป็นเหตุผลว่าทำไมหน้าต่างจึงแตก
หน้าร้อนมันเป็นจุดจบสำหรับสวนของแม่ เมื่อหน้าหนาวมาถึงพวกเราจะเฮโลไปเตะบอลที่ถนน แต่หน้าต่างก็ไม่รอดอยู่ดี
สวนของพ่อแม่ผม เป็นที่ที่ผมเรียนรู้ “ฟุตบอล” ตอน 4-5 ขวบ พ่อผมสอนให้ ส่ง และ ยิง ฝึกเท้าซ้ายก่อน ตามด้วยเท้าขวา พอโตขึ้นสักหน่อยก็เริ่มเล่นกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน สนามหญ้าเป็นที่นัดพบของพวกเรา
พออายุได้ 7 ขวบ ผมว่าหน้าต่างเริ่มแตกเยอะไป พ่อแม่ผมก็ไม่ไหวจะทนแล้ว วันนึง หลังจากกลับจากโรงเรียน ผมก็เห็น ประตูฟุตบอล ตั้งที่หน้าบ้าน สโมสรประจำหมู่บ้านไม่ต้องการมันแล้ว ท่านก็เลยไปขอมาให้พวกเรา พ่อพูดว่า
“เด็กๆ ไปเตะบอลกันได้เลย ตรงนั้น”
ดังนั้นเราจึงมีสนาม ทั้งสนามอ่ะเป็นของพวกเรา หลังจากเลิกเรียนและสุดสัปดาห์ก็จะไปเล่นฟุตบอลกัน มันคือ สเตเดี้ยมของเรา พอดีมีคนแถวนั้นปรับปรุงบ้านพวกเราก็เลยขอกระดาน ไม้ ที่ไม่เอาแล้ว มาทำเป็นที่นั่งดู นั่งเชียร์ เหมือนเราเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งนั่นคือความใฝ่ฝันที่เราต้องการจะทำ
ผมใส่เสื้อนักฟุตบอลคนโปรดของผม ซีดาน ชไวสไตเกอร์ หรือ โทมัส โรซิคกี้ จินตนการว่ากำลังวิ่งอยู่ในสนาม เต็มไปด้วยคนดู แฟนๆ ตะโกนชื่อผม ใส่เสื้อที่มีชื่อด้านหลังว่า Kimmich
แต่ว่าความฝันแบบนั้นก็จบลงในวันหนึ่ง ผมพบว่าไม่ใช่ทุกคนที่คลั่งฟุตบอล และ สนามของเราถูกซื้อไปสร้างอะไรสักอย่าง แน่นอน ตอนนั้น ผมยังเด็ก ผมไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่ของพวกเรา ผมโกรธ เสียใจ ผมมองเห็นสนามได้จากห้องนอน ต้องดูมันถูกทำลาย
มันทำให้ผมใจสลาย
เราเศร้าไม่นาน คุณปู่ของผมก็ก้าวเข้ามาช่วยไว้ ท่านอาศัยอยู่อีกฝากของเมืองและมีที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ข้างๆ บ้าน เราก็เลยขนประตูไปไว้ที่นั้น และ เริ่มต้นอีกครั้ง คราวนี้เรามีห้องเล็กๆ ด้วย ทีนี้ก็เลยเล่นฟุตบอลกันทั้งวันทั้งคืน ดึกๆ ก็ทำบาร์บีคิว ตื่นเช้าก็ไล่เตะบอลกันต่อ
ฟุตบอลคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ถ้าไม่เล่นกับเพื่อนๆ ผมก็จะไปฝึกซ้อมกับชุดเยาวชนของทีมประจำเมือง วันนึงเรามีโอกาสแข่งขันกับทีมเยาวชนของ สตุ๊ทการ์ท ผมยิงไป 3 ลูก และ เราชนะ 3-2
เป็นการเตะตาแมวมองที่ไม่เลวเลยใช่ม่ะ
ทีมงานของสตุ๊ทการ์ทมาติดต่อให้ผมเล่นให้กับพวกเขา พ่อกับแม่ ปฏิเสธ ไป เพราะตอนนั้นผมแค่ 8 ขวบ ถ้าไปในเมืองต้องขับรถหลายชั่วโมงมาก แล้ว อาทิตย์ล่ะ 2-3 วัน แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมากนะ เพราะอยู่ในทีมที่ดีอยู่แล้ว และ ถ้าไปอยู่ อคาเดมี่ เร็วไป ก็อาจจะไม่ดี เหมือนเด็กแถวบ้านผมที่ถูกส่งกลับหลังจากเข้าร่วมได้ 2-3 ปี
ผมอยากอยู่ตรงที่เดิม และ ฝึกฝน ต่อมาอีก 3 ปี ผมก็เล่นให้กับทีมภูมิภาค สตุ๊ทการ์ท มาติดต่ออีกรอบ พวกเราก็เลยตกลง คุณพ่อต้องขับรถไปส่งผมที่ตัวเมือง ต้องตื่น 7 โมงเช้า ถึงบ้านสี่ทุ่ม ทำการบ้านบนรถ อ่านหนังสือจนดึกดื่น ซึ่งมันไม่ไหวล่ะ ก็เลยจำเป็นต้องเข้าอคาเดมี่เต็มตัว
สตุ๊ทการ์ทเลือกนักเตะแค่ 18 คนต่อปี และ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น คราวนี้หมายถึงต้องจากบ้าน คุณแม่ร้องไห้ขณะกอดผม มีเด็กอีกคนในเมืองของเราได้เข้าร่วมด้วย ผมและเขาอายุน้อยสุด 14 ขวบ พยายามที่จะเป็นมิตรกับทุกคน ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก ถึงแม้ว่าการเป็นเด็กที่สุดหมายถึงต้องทำความสะอาดครัวและโต๊ะอาหารก็ตาม แต่ผมก็ได้เล่นฟุตบอล
(มีต่อ คห 1 ค่ะ)
[แปลบทความ] The Players' Tribune : Joshua Kimmich
เห็นมีคนสนใจน้องเยอะช่วงนี้ เลยอยากแนะนำ เอาบทความ ที่น้องเขียนมาฝากกันค่ะ (จริงๆ 😂)
ต้นฉบับ : http://www.theplayerstribune.com/joshua-kimmich-bayern-munich/
JOSHUA KIMMICH
MIDFIELDER / BAYERN MUNICH
เสียงหน้าต่างแตก
พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทำหน้าต่างแตกอีกแล้ว
คุณแม่ผมคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างยิ่ง ท่านไม่ถามแล้วว่า เกิดอะไรขึ้น? แม่เดินออกมาจากบ้าน จ้องมาที่พวกเรา
“ใครทำล่ะคราวนี้?”
ผมเติบโตที่หมู่บ้านเล็กๆ ในเยอรมัน ที่อยู่ระหว่างป่าดำ และ สตุ๊ทการ์ท ชื่อ Bosingen มันเล็กมาก เล็กจริงๆ มีคนอาศัยแค่ 1700 คน ที่สำคัญพวกเรารักฟุตบอล ทว่า ไม่มีพื้นที่ให้เด็กๆ วิ่งไล่เตะบอลมากนัก
เป็นเหตุผลว่าทำไมหน้าต่างจึงแตก
หน้าร้อนมันเป็นจุดจบสำหรับสวนของแม่ เมื่อหน้าหนาวมาถึงพวกเราจะเฮโลไปเตะบอลที่ถนน แต่หน้าต่างก็ไม่รอดอยู่ดี
สวนของพ่อแม่ผม เป็นที่ที่ผมเรียนรู้ “ฟุตบอล” ตอน 4-5 ขวบ พ่อผมสอนให้ ส่ง และ ยิง ฝึกเท้าซ้ายก่อน ตามด้วยเท้าขวา พอโตขึ้นสักหน่อยก็เริ่มเล่นกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน สนามหญ้าเป็นที่นัดพบของพวกเรา
พออายุได้ 7 ขวบ ผมว่าหน้าต่างเริ่มแตกเยอะไป พ่อแม่ผมก็ไม่ไหวจะทนแล้ว วันนึง หลังจากกลับจากโรงเรียน ผมก็เห็น ประตูฟุตบอล ตั้งที่หน้าบ้าน สโมสรประจำหมู่บ้านไม่ต้องการมันแล้ว ท่านก็เลยไปขอมาให้พวกเรา พ่อพูดว่า
“เด็กๆ ไปเตะบอลกันได้เลย ตรงนั้น”
ดังนั้นเราจึงมีสนาม ทั้งสนามอ่ะเป็นของพวกเรา หลังจากเลิกเรียนและสุดสัปดาห์ก็จะไปเล่นฟุตบอลกัน มันคือ สเตเดี้ยมของเรา พอดีมีคนแถวนั้นปรับปรุงบ้านพวกเราก็เลยขอกระดาน ไม้ ที่ไม่เอาแล้ว มาทำเป็นที่นั่งดู นั่งเชียร์ เหมือนเราเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งนั่นคือความใฝ่ฝันที่เราต้องการจะทำ
ผมใส่เสื้อนักฟุตบอลคนโปรดของผม ซีดาน ชไวสไตเกอร์ หรือ โทมัส โรซิคกี้ จินตนการว่ากำลังวิ่งอยู่ในสนาม เต็มไปด้วยคนดู แฟนๆ ตะโกนชื่อผม ใส่เสื้อที่มีชื่อด้านหลังว่า Kimmich
แต่ว่าความฝันแบบนั้นก็จบลงในวันหนึ่ง ผมพบว่าไม่ใช่ทุกคนที่คลั่งฟุตบอล และ สนามของเราถูกซื้อไปสร้างอะไรสักอย่าง แน่นอน ตอนนั้น ผมยังเด็ก ผมไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่ของพวกเรา ผมโกรธ เสียใจ ผมมองเห็นสนามได้จากห้องนอน ต้องดูมันถูกทำลาย
มันทำให้ผมใจสลาย
เราเศร้าไม่นาน คุณปู่ของผมก็ก้าวเข้ามาช่วยไว้ ท่านอาศัยอยู่อีกฝากของเมืองและมีที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ข้างๆ บ้าน เราก็เลยขนประตูไปไว้ที่นั้น และ เริ่มต้นอีกครั้ง คราวนี้เรามีห้องเล็กๆ ด้วย ทีนี้ก็เลยเล่นฟุตบอลกันทั้งวันทั้งคืน ดึกๆ ก็ทำบาร์บีคิว ตื่นเช้าก็ไล่เตะบอลกันต่อ
ฟุตบอลคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ถ้าไม่เล่นกับเพื่อนๆ ผมก็จะไปฝึกซ้อมกับชุดเยาวชนของทีมประจำเมือง วันนึงเรามีโอกาสแข่งขันกับทีมเยาวชนของ สตุ๊ทการ์ท ผมยิงไป 3 ลูก และ เราชนะ 3-2
เป็นการเตะตาแมวมองที่ไม่เลวเลยใช่ม่ะ
ทีมงานของสตุ๊ทการ์ทมาติดต่อให้ผมเล่นให้กับพวกเขา พ่อกับแม่ ปฏิเสธ ไป เพราะตอนนั้นผมแค่ 8 ขวบ ถ้าไปในเมืองต้องขับรถหลายชั่วโมงมาก แล้ว อาทิตย์ล่ะ 2-3 วัน แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมากนะ เพราะอยู่ในทีมที่ดีอยู่แล้ว และ ถ้าไปอยู่ อคาเดมี่ เร็วไป ก็อาจจะไม่ดี เหมือนเด็กแถวบ้านผมที่ถูกส่งกลับหลังจากเข้าร่วมได้ 2-3 ปี
ผมอยากอยู่ตรงที่เดิม และ ฝึกฝน ต่อมาอีก 3 ปี ผมก็เล่นให้กับทีมภูมิภาค สตุ๊ทการ์ท มาติดต่ออีกรอบ พวกเราก็เลยตกลง คุณพ่อต้องขับรถไปส่งผมที่ตัวเมือง ต้องตื่น 7 โมงเช้า ถึงบ้านสี่ทุ่ม ทำการบ้านบนรถ อ่านหนังสือจนดึกดื่น ซึ่งมันไม่ไหวล่ะ ก็เลยจำเป็นต้องเข้าอคาเดมี่เต็มตัว
สตุ๊ทการ์ทเลือกนักเตะแค่ 18 คนต่อปี และ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น คราวนี้หมายถึงต้องจากบ้าน คุณแม่ร้องไห้ขณะกอดผม มีเด็กอีกคนในเมืองของเราได้เข้าร่วมด้วย ผมและเขาอายุน้อยสุด 14 ขวบ พยายามที่จะเป็นมิตรกับทุกคน ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก ถึงแม้ว่าการเป็นเด็กที่สุดหมายถึงต้องทำความสะอาดครัวและโต๊ะอาหารก็ตาม แต่ผมก็ได้เล่นฟุตบอล
(มีต่อ คห 1 ค่ะ)