“We love you uncle Tu"
ตามฉากที่กองเชียร์ แม่ยก พ่อยกชาวไทยในสหรัฐอเมริกา ถือป้ายสนับสนุนรอให้การต้อนรับคณะของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่เดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
แสดงให้เวทีโลกได้เห็นการยอมรับในตัวผู้นำรัฐบาลทหารของไทย
ซึ่งนั่นก็เป็นอะไรที่สวนทางกับกระแสกดดันจากต่างชาติที่มีต่อรัฐบาลจากการรัฐประหาร โดยสภาพการณ์สะท้อนอารมณ์คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้คิดแบบฝรั่ง
ตรงกันข้าม กลับมอง “นายกฯลุงตู่” เป็นความหวัง
ในการลุยล้างปมหมักหมมที่ฉุดให้ประเทศไทยอยู่ในวังวนของวิกฤติ ช่วยนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งไปสู่เป้าหมายปลายทางในการปฏิรูปครั้งใหญ่
แบบที่อุปมาเหมือน “ตีเช็คเปล่า” ให้
โดยสถานการณ์ของกระแสภายหลังการประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ “นายกฯลุงตู่” สามารถยกระดับการใช้อำนาจพิเศษผ่านดาบ ม.44 ได้อย่างชอบธรรม
ประชาชนเห็นดีเห็นงาม พร้อมเอาตามด้วย
ยิ่งเป็นอะไรที่ “นายกฯลุงตู่” ได้ประกาศบนเวทียูเอ็นล่าสุด รัฐบาลไทยจะยึดหลักการส่งเสริมธรรมาภิบาล ขจัดคอร์รัปชันให้หมดสิ้นไป
สำทับกับการที่เจ้าตัวได้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานความโปร่งใส อย่างที่ผ่านมา 2 ปีในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล คสช.ไม่มีปมเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบโดยส่วนตัว
หรือในส่วนของ “อาจารย์น้อง” นางนราพร จันทร์โอชา ภริยาของนายกฯ ก็ยิ่งเข้ม วางตัวอยู่ในจุดที่คนอื่นเข้าถึงยาก ว่ากันถึงขนาดไม่รับแม้แต่โทรศัพท์จากเพื่อนที่เคยร่วมเรียนหลักสูตรต่างๆด้วยกันมา
ล็อกประตูแน่นหนาทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน
เป็นที่ยอมรับกันทุกวงการ ทั้งวงนอกและวงในพูดตรงกันเลยว่า “นายกฯไม่เอา”
หัวนิ่งไม่มีอาการส่ายให้เห็นเลย
และโดยรูปการณ์ก็เป็นแรงส่งให้การเดินหน้าสะสางคดีทุจริตคอร์รัปชัน ในจังหวะที่ผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.เร่งเคลียร์ปมตกค้างมาจากอดีตรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ไล่ตั้งแต่การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
ต่อเนื่องกับการมอบอำนาจให้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ลงนามแทนนายกรัฐมนตรี ในหนังสือบังคับทางปกครองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายนักการเมืองและข้าราชการ 6 ราย กรณีทุจริตขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
และตามรูปการณ์ที่คาดกันว่า จะเป็นรูปแบบเดียวกัน ในการเดินหน้าเช็กบิล เรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
กระบวนการเคลียร์คดีสำคัญมีความก้าวหน้าอย่างเห็นเนื้อเห็นหนัง
ตามเงื่อนไขที่เอ่ยอ้างเหตุยึดอำนาจวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อสะสางปมคอร์รัปชัน
ขณะเดียวกันก็มีปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐาน “ธรรมาภิบาล”
ตามคิวที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มือกฎหมายรัฐบาล คสช. เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมเข็นกฎหมาย 4 ชั่วโคตรออกมาบังคับใช้
โดยอยู่ระหว่างคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ไขถ้อยคำและกระบวนการ คาดว่าจะส่งร่างให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาอีกครั้งในเดือนตุลาคมนี้ ก่อนส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาออกเป็นกฎหมายในขั้นต่อไป
ซึ่งสาระสำคัญเป็นกฎหมายว่าด้วยการขัดกัน ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม มีการระบุชัดห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้เครือญาติ ครอบคลุม
ตั้งแต่ ตัวเอง พ่อ แม่ ลูก เมีย
ล็อกหลายชั้น เป็นหลักประกัน ไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
มันก็ทำให้ประชาชนคนทั่วไปยิ่งมั่นอกมั่นใจในความจริงใจ คิดไม่ผิดที่ฝากความหวัง กับ “นายกฯลุงตู่” ให้เป็น กัปตัน คุมเกมไปสู่ธงปฏิรูปประเทศไทย
ตามภาพของผู้นำที่อยู่ในภาวะ “ผ่องใส” เต็มที่
แต่มันก็ต้องสะดุดอย่างจัง กับปรากฏการณ์ “ฝายแม่ผ่องพรรณ”
กับประเด็นร้อนแรงที่ “น้องสะใภ้นายกฯ” อย่างนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาของ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายในสายเลือดของ พล.อ.ประยุทธ์
โดน “จุดพลุ” แฉประจานอย่างหนัก เริ่มจากเครือข่ายโลกโซเชียลฯของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล คสช. ก่อนขยายผลปมฉาวในสื่อกระแสหลัก
กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งติดต่อกันทุกวัน
โดยประเด็นการใช้อำนาจหน้าที่สามีเอื้อประโยชน์ในทางไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นปมการสร้างฝายโดยตั้งเป็นชื่อตัวเอง การใช้เครื่องบินทหาร กำลังพลกองทัพไปในภารกิจเดียวกัน
และแนวโน้มส่อว่าจะไม่หยุดแค่นั้น
ตามสถานการณ์กระแสไหล ปมร้อนลามจากแม่ไปถึงลูกชายที่โดนขุดคุ้ยประเด็นการเอาบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นเข้าประมูลงานก่อสร้างของกองทัพภาคที่ 3 ได้งานไป 2 โครงการ
ฟันงบประมาณมูลค่ากว่า 155 ล้านบาท
ซึ่งนั่นก็ไม่พลาด ปมร้อนไหลเข้าเหลี่ยมจอมร้องเรียน
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบทั้งกรณีของ “ฝายแม่ผ่องพรรณ” และกรณีของลูกชาย พล.อ.ปรีชา ประมูลงานกองทัพภาคที่ 3
ตามเหตุผลที่ระบุเลยว่า เป็นเรื่องอยู่ในความคลางแคลงใจของสังคม
โดนร้อง ป.ป.ช.เช็กบิลทั้งลูกทั้งเมีย
ตามสถานการณ์ของ พล.อ.ปรีชา เหมือนอยู่ในตำบลกระสุนตก
ในอารมณ์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องต่อสาย
ข้ามทวีปจากประเทศสหรัฐฯ มาบอกน้องชายให้เงียบๆไว้ก่อน ระมัดระวังตัวในการเคลียร์ประเด็นร้อนให้ดีๆ
นั่นก็เพราะโดยรูปการณ์มันต้องมีคนวงในร่วมปล่อยข้อมูล “เจาะยาง”
สะท้อนอาการหมั่นไส้คนนามสกุล “จันทร์โอชา” ไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะฝ่ายต่อต้านด้านนอกเท่านั้น
แต่งานนี้ก็เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ออกหน้ามาการันตี กรณีลูกและเมียของ พล.อ.ปรีชาไม่ผิดแต่อย่างใด
อุ้มน้องชายแทน “บิ๊กตู่” เต็มที่
เรื่องของเรื่อง มันยังกระตุกปมค้างเก่าของ พล.อ.ปรีชาที่ก่อนหน้าก็เคยมีประเด็นมาแล้ว ทั้งการโยกเงินของกองทัพ 3 มาอยู่ในบัญชีภรรยา ถัดมาก็เป็นการใช้สิทธิให้ลูกชายคนเล็กเข้ารับราชการทหารในกองทัพด้วยวิธีพิเศษ
แต่ละเคส แต่ละกรณี หมิ่นเหม่ทั้งนั้น
มันจึงเป็นอะไรที่ถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง กับการที่ พล.อ.ปรีชาพยายามชี้แจงว่า กรณีของตัวเองที่ตกเป็นเป้าถล่มอย่างหนัก เพราะเป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์
เป็นจุดให้ถูกลากไปเป็นเหยื่อกระแสหมั่นไส้พี่ชาย
อย่างไรก็ดี อีกมุมหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ออก ทุกปมทุกกรณีของเมียและลูกของ “บิ๊กติ๊ก” มันก็เป็นปรากฏ-การณ์ที่มีการดำเนินการตามท้องเรื่องจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมากล่าวหากันลอยๆแต่อย่างใด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ณ จุดนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้ โดยข้อกฎหมายจะผิดหรือไม่ต้องพิสูจน์กันต่อไป เพราะจะว่าไปไม่ว่าจะเป็นกรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณ” หรือลูกชายเข้าประมูลงานของหน่วยทหาร
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติใน สังคมอุปถัมภ์แบบไทยๆ
ในอารมณ์แบบ ที่ว่าใครเขา ก็ทำกันทั้งนั้น
แต่ปัญหามันอยู่ในเชิงของจริยธรรม ในมุมของความ เหมาะสมต่างหากที่อันตราย
มันเป็นเรื่องท้าทายความรู้สึกสังคม
เทียบอารมณ์กันง่ายๆ กับตระกูลดังทางการเมืองบางตระกูลที่โดนโจมตีปมโคตรโกง โกงทั้งโคตร
ประทับตราบาปสลัดยังไงก็ไม่หลุด
และเชื้อคอร์รัปชันของบริวารใกล้ตัว ก็เป็นเหตุให้อดีตผู้นำก่อนหน้าโดนทหารใช้เป็นเหตุในการโค่นอำนาจล้มกระดานถึง 2 ครั้ง 2 คราว ตั้งแต่รัฐบาลของพี่ชาย จนมาถึงรัฐบาลของน้องสาว
แล้วมาถึงวันนี้ก็ไม่วาย เชื้อร้ายที่ว่ายังมาเกิดขึ้นกับบริวารใกล้ตัวของผู้นำอำนาจพิเศษ
ผู้ที่มีภารกิจแบกความคาดหวังของประชาชนคนไทยทั้งประเทศในการพาเมืองไทยก้าวผ่านวังวนอุบาทว์ที่ถ่วง ความเจริญของประเทศชาติมานานหลายชั่วอายุคน
ในอารมณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่มอบความไว้วางใจให้ “นายกฯลุงตู่” ผู้โปร่งใส ลุยกวาดโกงให้สิ้นซาก
เจอแบบนี้ไป แน่นอนมันทำให้กองเชียร์สะอึก
ความหวังอยากเห็นประเทศไทยในฝันชักเริ่มใจแป้ว
ในเมื่อมันส่อแววเลยว่า ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน ของบริวาร ปมร้อนๆของน้องชายและครอบครัวจะเป็นแผลที่สะกิดเรียกเลือดจาก พล.อ.ประยุทธ์ได้ตลอดเวลา
ยิ่งในภาวะเกมอำนาจกำลังเข้มข้น เครือข่ายฝ่ายต่อต้าน “นายกฯลุงตู่” โดนไล่บี้ไล่ต้อน
ถอนรากถอนโคนจากปมทุจริตคอร์รัปชัน
มันหนีไม่พ้นเสียงเย้ย “ลูบหน้าปะจมูก” ย้อนมาพันคอ.
“ทีมการเมือง”ไทยรัฐ
ทีมข่าวการเมือง 25 ก.ย. 2559 05:01
http://www.thairath.co.th/content/732635
ผลประโยชน์บริวาร “ทับซ้อน” บั่นทอนเรตติ้ง
ตามฉากที่กองเชียร์ แม่ยก พ่อยกชาวไทยในสหรัฐอเมริกา ถือป้ายสนับสนุนรอให้การต้อนรับคณะของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่เดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
แสดงให้เวทีโลกได้เห็นการยอมรับในตัวผู้นำรัฐบาลทหารของไทย
ซึ่งนั่นก็เป็นอะไรที่สวนทางกับกระแสกดดันจากต่างชาติที่มีต่อรัฐบาลจากการรัฐประหาร โดยสภาพการณ์สะท้อนอารมณ์คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้คิดแบบฝรั่ง
ตรงกันข้าม กลับมอง “นายกฯลุงตู่” เป็นความหวัง
ในการลุยล้างปมหมักหมมที่ฉุดให้ประเทศไทยอยู่ในวังวนของวิกฤติ ช่วยนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งไปสู่เป้าหมายปลายทางในการปฏิรูปครั้งใหญ่
แบบที่อุปมาเหมือน “ตีเช็คเปล่า” ให้
โดยสถานการณ์ของกระแสภายหลังการประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ “นายกฯลุงตู่” สามารถยกระดับการใช้อำนาจพิเศษผ่านดาบ ม.44 ได้อย่างชอบธรรม
ประชาชนเห็นดีเห็นงาม พร้อมเอาตามด้วย
ยิ่งเป็นอะไรที่ “นายกฯลุงตู่” ได้ประกาศบนเวทียูเอ็นล่าสุด รัฐบาลไทยจะยึดหลักการส่งเสริมธรรมาภิบาล ขจัดคอร์รัปชันให้หมดสิ้นไป
สำทับกับการที่เจ้าตัวได้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานความโปร่งใส อย่างที่ผ่านมา 2 ปีในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล คสช.ไม่มีปมเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบโดยส่วนตัว
หรือในส่วนของ “อาจารย์น้อง” นางนราพร จันทร์โอชา ภริยาของนายกฯ ก็ยิ่งเข้ม วางตัวอยู่ในจุดที่คนอื่นเข้าถึงยาก ว่ากันถึงขนาดไม่รับแม้แต่โทรศัพท์จากเพื่อนที่เคยร่วมเรียนหลักสูตรต่างๆด้วยกันมา
ล็อกประตูแน่นหนาทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน
เป็นที่ยอมรับกันทุกวงการ ทั้งวงนอกและวงในพูดตรงกันเลยว่า “นายกฯไม่เอา”
หัวนิ่งไม่มีอาการส่ายให้เห็นเลย
และโดยรูปการณ์ก็เป็นแรงส่งให้การเดินหน้าสะสางคดีทุจริตคอร์รัปชัน ในจังหวะที่ผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.เร่งเคลียร์ปมตกค้างมาจากอดีตรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ไล่ตั้งแต่การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
ต่อเนื่องกับการมอบอำนาจให้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ลงนามแทนนายกรัฐมนตรี ในหนังสือบังคับทางปกครองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายนักการเมืองและข้าราชการ 6 ราย กรณีทุจริตขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
และตามรูปการณ์ที่คาดกันว่า จะเป็นรูปแบบเดียวกัน ในการเดินหน้าเช็กบิล เรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
กระบวนการเคลียร์คดีสำคัญมีความก้าวหน้าอย่างเห็นเนื้อเห็นหนัง
ตามเงื่อนไขที่เอ่ยอ้างเหตุยึดอำนาจวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อสะสางปมคอร์รัปชัน
ขณะเดียวกันก็มีปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐาน “ธรรมาภิบาล”
ตามคิวที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มือกฎหมายรัฐบาล คสช. เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมเข็นกฎหมาย 4 ชั่วโคตรออกมาบังคับใช้
โดยอยู่ระหว่างคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ไขถ้อยคำและกระบวนการ คาดว่าจะส่งร่างให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาอีกครั้งในเดือนตุลาคมนี้ ก่อนส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาออกเป็นกฎหมายในขั้นต่อไป
ซึ่งสาระสำคัญเป็นกฎหมายว่าด้วยการขัดกัน ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม มีการระบุชัดห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้เครือญาติ ครอบคลุม
ตั้งแต่ ตัวเอง พ่อ แม่ ลูก เมีย
ล็อกหลายชั้น เป็นหลักประกัน ไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
มันก็ทำให้ประชาชนคนทั่วไปยิ่งมั่นอกมั่นใจในความจริงใจ คิดไม่ผิดที่ฝากความหวัง กับ “นายกฯลุงตู่” ให้เป็น กัปตัน คุมเกมไปสู่ธงปฏิรูปประเทศไทย
ตามภาพของผู้นำที่อยู่ในภาวะ “ผ่องใส” เต็มที่
แต่มันก็ต้องสะดุดอย่างจัง กับปรากฏการณ์ “ฝายแม่ผ่องพรรณ”
กับประเด็นร้อนแรงที่ “น้องสะใภ้นายกฯ” อย่างนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาของ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายในสายเลือดของ พล.อ.ประยุทธ์
โดน “จุดพลุ” แฉประจานอย่างหนัก เริ่มจากเครือข่ายโลกโซเชียลฯของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล คสช. ก่อนขยายผลปมฉาวในสื่อกระแสหลัก
กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งติดต่อกันทุกวัน
โดยประเด็นการใช้อำนาจหน้าที่สามีเอื้อประโยชน์ในทางไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นปมการสร้างฝายโดยตั้งเป็นชื่อตัวเอง การใช้เครื่องบินทหาร กำลังพลกองทัพไปในภารกิจเดียวกัน
และแนวโน้มส่อว่าจะไม่หยุดแค่นั้น
ตามสถานการณ์กระแสไหล ปมร้อนลามจากแม่ไปถึงลูกชายที่โดนขุดคุ้ยประเด็นการเอาบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นเข้าประมูลงานก่อสร้างของกองทัพภาคที่ 3 ได้งานไป 2 โครงการ
ฟันงบประมาณมูลค่ากว่า 155 ล้านบาท
ซึ่งนั่นก็ไม่พลาด ปมร้อนไหลเข้าเหลี่ยมจอมร้องเรียน
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบทั้งกรณีของ “ฝายแม่ผ่องพรรณ” และกรณีของลูกชาย พล.อ.ปรีชา ประมูลงานกองทัพภาคที่ 3
ตามเหตุผลที่ระบุเลยว่า เป็นเรื่องอยู่ในความคลางแคลงใจของสังคม
โดนร้อง ป.ป.ช.เช็กบิลทั้งลูกทั้งเมีย
ตามสถานการณ์ของ พล.อ.ปรีชา เหมือนอยู่ในตำบลกระสุนตก
ในอารมณ์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องต่อสาย
ข้ามทวีปจากประเทศสหรัฐฯ มาบอกน้องชายให้เงียบๆไว้ก่อน ระมัดระวังตัวในการเคลียร์ประเด็นร้อนให้ดีๆ
นั่นก็เพราะโดยรูปการณ์มันต้องมีคนวงในร่วมปล่อยข้อมูล “เจาะยาง”
สะท้อนอาการหมั่นไส้คนนามสกุล “จันทร์โอชา” ไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะฝ่ายต่อต้านด้านนอกเท่านั้น
แต่งานนี้ก็เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ออกหน้ามาการันตี กรณีลูกและเมียของ พล.อ.ปรีชาไม่ผิดแต่อย่างใด
อุ้มน้องชายแทน “บิ๊กตู่” เต็มที่
เรื่องของเรื่อง มันยังกระตุกปมค้างเก่าของ พล.อ.ปรีชาที่ก่อนหน้าก็เคยมีประเด็นมาแล้ว ทั้งการโยกเงินของกองทัพ 3 มาอยู่ในบัญชีภรรยา ถัดมาก็เป็นการใช้สิทธิให้ลูกชายคนเล็กเข้ารับราชการทหารในกองทัพด้วยวิธีพิเศษ
แต่ละเคส แต่ละกรณี หมิ่นเหม่ทั้งนั้น
มันจึงเป็นอะไรที่ถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง กับการที่ พล.อ.ปรีชาพยายามชี้แจงว่า กรณีของตัวเองที่ตกเป็นเป้าถล่มอย่างหนัก เพราะเป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์
เป็นจุดให้ถูกลากไปเป็นเหยื่อกระแสหมั่นไส้พี่ชาย
อย่างไรก็ดี อีกมุมหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ออก ทุกปมทุกกรณีของเมียและลูกของ “บิ๊กติ๊ก” มันก็เป็นปรากฏ-การณ์ที่มีการดำเนินการตามท้องเรื่องจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมากล่าวหากันลอยๆแต่อย่างใด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ณ จุดนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้ โดยข้อกฎหมายจะผิดหรือไม่ต้องพิสูจน์กันต่อไป เพราะจะว่าไปไม่ว่าจะเป็นกรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณ” หรือลูกชายเข้าประมูลงานของหน่วยทหาร
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติใน สังคมอุปถัมภ์แบบไทยๆ
ในอารมณ์แบบ ที่ว่าใครเขา ก็ทำกันทั้งนั้น
แต่ปัญหามันอยู่ในเชิงของจริยธรรม ในมุมของความ เหมาะสมต่างหากที่อันตราย
มันเป็นเรื่องท้าทายความรู้สึกสังคม
เทียบอารมณ์กันง่ายๆ กับตระกูลดังทางการเมืองบางตระกูลที่โดนโจมตีปมโคตรโกง โกงทั้งโคตร
ประทับตราบาปสลัดยังไงก็ไม่หลุด
และเชื้อคอร์รัปชันของบริวารใกล้ตัว ก็เป็นเหตุให้อดีตผู้นำก่อนหน้าโดนทหารใช้เป็นเหตุในการโค่นอำนาจล้มกระดานถึง 2 ครั้ง 2 คราว ตั้งแต่รัฐบาลของพี่ชาย จนมาถึงรัฐบาลของน้องสาว
แล้วมาถึงวันนี้ก็ไม่วาย เชื้อร้ายที่ว่ายังมาเกิดขึ้นกับบริวารใกล้ตัวของผู้นำอำนาจพิเศษ
ผู้ที่มีภารกิจแบกความคาดหวังของประชาชนคนไทยทั้งประเทศในการพาเมืองไทยก้าวผ่านวังวนอุบาทว์ที่ถ่วง ความเจริญของประเทศชาติมานานหลายชั่วอายุคน
ในอารมณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่มอบความไว้วางใจให้ “นายกฯลุงตู่” ผู้โปร่งใส ลุยกวาดโกงให้สิ้นซาก
เจอแบบนี้ไป แน่นอนมันทำให้กองเชียร์สะอึก
ความหวังอยากเห็นประเทศไทยในฝันชักเริ่มใจแป้ว
ในเมื่อมันส่อแววเลยว่า ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน ของบริวาร ปมร้อนๆของน้องชายและครอบครัวจะเป็นแผลที่สะกิดเรียกเลือดจาก พล.อ.ประยุทธ์ได้ตลอดเวลา
ยิ่งในภาวะเกมอำนาจกำลังเข้มข้น เครือข่ายฝ่ายต่อต้าน “นายกฯลุงตู่” โดนไล่บี้ไล่ต้อน
ถอนรากถอนโคนจากปมทุจริตคอร์รัปชัน
มันหนีไม่พ้นเสียงเย้ย “ลูบหน้าปะจมูก” ย้อนมาพันคอ.
“ทีมการเมือง”ไทยรัฐ
ทีมข่าวการเมือง 25 ก.ย. 2559 05:01
http://www.thairath.co.th/content/732635