จากเด็กเกเรเกือบถูกไล่ออกจากโรงเรียน สู่ว่าที่ทันตแพทย์

สวัสดีครับนี้เป็นกระทู้แรกของผมนะ ที่ผมตั้งกระทู้นี้มีจุดประสงค์คืออยากจะแนะนำคนที่เคยหลงทางเหมือนผมให้กลับมาลุยใหม่อีกครั้งและให้กำลังใจคนที่กำลังจะยอมแพ้ให้กับมาสู้ต่อ
บอกก่อนนะครับปัจจุบันผมเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ แล้วตอนนี้ผมเปิดสอนพิเศษชื่อ The One tutor ร่วมกับเพื่อนๆทันตะครับ และตอนนี้ผมได้เปิดติวฟรีครับ เนื่องจากช่วงนี้ใกล้สอบGat&Pat แล้วเลยขออนุญาติประชาสัมพันธ์ครับ ว่าถ้าใครสนใจติวมาได้นะครับ ไม่มีค่าใช่จ่ายใดๆ สำหรับชาวโคราชและเขตใกล้เคียงนะครับ
จากใจคนที่เคยไม่เรียนอยากให้ทุกคนไปถึงฝันของตัวเองกันได้เยอะๆนะครับ ฝากประชาสัมพันธ์โครงการนี้หน่อยนะครับ
(เนื่องจากกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมอาจจะมีใช้คำผิดไปบ้างขอโทษมาล่วงหน้าด้วยนะครับ)
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจากชีวิตผมเองครับ ซึ่งถ้าผมมองย้อนไปผมก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ครับ
ถ้าให้เล่าผมขอเล่าย้อนไปไกลหน่อยนะครับ เพราะบางเรื่องก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน
ในตอนก่อนที่ผมจะเกิดนะครับพ่อกับแม่ผมได้แต่งงานกันในสมัยนั้นพ่อกับแม่ผมเป็นลูกจ้าง ผมได้ยินมาว่าในตอนนั้นพ่อกับแม่ผมรักกันมากครับแต่ฝั่งผู้ใหญ่ไม่ค่อยยอมรับ แต่สุดท้ายท่านก็แต่งงานกันได้ครับ และให้กำเนิดผมมา อิอิ
ตอนผมเกิดก็มีปัญหาครับผมเป็นเด็ก7เดือน เลยต้องมีค่าใช่จ่ายพอสมควร แต่โชคดีที่พ่อของแม่ผมเป็นข้าราชการเลยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายได้พอสมควร
ตอนผมอายุได้ไม่กี่ขวบตอนนั้นพ่อแม่ผมเช่าคอนโดอยู่ที่เมืองทอง ผมเรียนอนุบาลอยู่แถวนั้น จนกระทั้งวันหนึ่งซึ่งถือว่าดีมากๆพ่อกับแม่ผมสอบเป็นข้าราชการได้ เราเลยต้องย้ายโรงเรียนตอนนั้นผมยังเด็กไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็แอบเสียใจนิดๆ ผมกับครอบครัวย้ายไปอุบลครับ ไปเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญ
ซึ่งช่วงนั้นของชีวิตผมขอเรียกมันว่า"ช่วงเค้กก้อนโต"ละกันครับ
ตอนผมย้ายไปแลกๆผมกลัวมากแต่ที่ไหนได้ทุกคนที่นั้นต้อนรับดีมากครับ ผมมีความสุขกับชีวิตช่วงนั้นมาก ผมไปเรียนซักพักก็ได้เป็นที่รักของทุกคนในห้องผมสอบได้ที่ต้นๆของห้อง เล่นกีฬา และเป็นหัวหน้าห้องด้วย ในทุกๆวันเกิดผมจะสั่งเค้กก้อนโตมาฉลองให้เพื่อนๆทุกคนในห้องครับ ในตอนนั้นผมถือว่าเรียนเก่งพอสมควรผมเป็นตัวแทนชั้นตอบปัญหาภาษาจีน ชีวิตผมช่วงนั้นดีมากๆครับ ผมอยู่ที่อุบลจนถึงป.2 ก็มีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมอีกรอบ
ผมต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้งเนื่องจากอาชีพพ่อแม่ผม ช่วงนั้นผมเสียใจมากไม่อยากจากที่นั้นไปแต่สุดก็ต้องไปอยู่ดี ผมย้ายไปนครราชสีมาครับ
ผมช่วงชีวิตช่วงนั้นว่า "ช่วงตกต่ำ" ตอนนั้นผมเข้ามาเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ ผมเข้ามาครั้งแรกคิดว่าจะเหมือนกันตอนอยู่อุบลที่ไหนได้ผมเข้ามาครั้งแรกเหมือนตัวประหลาดเลยครับ ผมเข้ามาในช่วงป.3 พอผมเข้าไปเหมือนผมเป็นเด็กใหม่ไม่ค่อยมีคนคุยด้วย และมีอยู่วันหนึ่งก็มีเพื่อนผช ในห้องผมเรียกไป
เจอกับเพื่อนในห้องคนหนี่งผมให้ชื่อย่อเป็น ป. ละกันครับ ตอนมันเรียกผมเข้าไปมันให้ผมผมก้มหัวแล้วยอมเป็นลูกน้องมันครับ (ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่านายป.คนนี้เป็นคนที่รวยที่สุดในชั้น และเห็นว่าเป็นลูกนักการเมืองมั้งนะครับ) ซึ่งหลายคนก็คงรู้ว่าผมจะตอบว่าอะไร ผมตอบ " ไม่ " ครับหลังจากนั้นชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย จากที่ไม่มีเพื่อนคุยอยู่แล้วคราวนี้เงียบสนิท นายป.บอกใครคุยกับผมเจอดี เลยไม่มีใครกล้าคุยกับผมเลยครับ
กีฬาก็ไม่มีใครเล่นด้วย มีอยู่วันหนึ่งผมไปเล่นบาสกับเพื่อนต่างห้องคนหนึ่งตอนนั้นเล่นบาสกันก็สนุกดีนะครับ แต่หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นเค้าไม่คุยกับผมอีกเลย ผมว่าหลายคนคงเดาได้นะครับ ว่าฝีมือใคร แต่ผมก็ยังสู้ต่อนะครับ หลังจากที่ไม่มีเพื่อนไม่มีสังคม ไม่ได้เล่ยกีฬา ผมก็มุ่งทางด้านการเรียนครับ
ตอนเข้ามาผมตั้งใจเรียนตั้งใจจดมากครับ แต่ผมก็ยังไม่วายโดนรังควานอีกอยู่ดี มีหลายเหตุการณ์มากครับผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง
ในตอนประถมหลายท่านคงจำได้นะครับว่าเราเขียนหนังสือด้วยดินสอ ผมจำได้นะครับว่าเป็นวิชาภาษาไทยหรือสังคมอันนี้ผมไม่แน่ใจครูในตอนนั้นให้จดหลายกระดานเลยครับผมจำได้ว่าผมเขียนไปตั้ง6-7หน้ากระดาษครับ ผมบอกคำเดียวให้จดอีกรอบผมคงตายแน่
หลังจากนั้นผมลงไปซื้อของที่มินิมาทพอขึ้นมาผมตกใจมากครับน้ำตาไหลเลย หนังสือที่ผมนั่งจดตอนนี้ว่างเปล่าครับ โดนเอายางลบลบทุกหน้าเลยครับ
ตอนนั้นเสียใจมากครับ ผมว่าทุกคนต้องคิดเหมือนกันครับว่าให้ฟ้องครู ในตอนนั้นผมก็ทำครับผลปรากฎว่าไม่เกิดอะไรขึ้นเลยครับแถมครูด่าผมอีก
ผมไม่รู้นะครับว่ายังไงแต่ตอนนั้นผมสังเกตนะครับครูไม่เคยด่านายป.เลยแถมตอนผู้ปกครองนายป.มาต้อนรับผู้ปกครองนายป.อย่างกับสายการบินเลยครับ
และมีหลายเรื่องครับ พูดมาถึงตรงนี้ก็หลายคนพอเข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมครูถึงดุผมไม่ใช่ครูคนนี้คนเดียวหรอกครับ ผมฟ้องใครก็เหมือนกันครับ ส่วนครูบางคนไม่รู้เรื่องก็ให้ครูประจำชั้นจัดการ ก็คนที่ผมฟ้องคนแรกแหละครับครูประจำชั้น และตอนนั้นผมก็ไม่อยากฟ้องพ่อแม่ครับผมอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งนะครับ หลายคนคงจำตอนเด็กได้
ว่าที่โต๊ะจะมีชั้นใต้โต๊ะ ซึ่งผมว่าในสมัยนั้นเด็กหลายคนก็จะเอาหนังสือวิชาต่างๆไว้ใต้โต๊ะ ผมก็ออกไปข้างนอกเหมือนเดิม พอกลับมาหลายคนคงเดาได้นะครับ หายสิครับ หายทั้งชั้นเลย แถมมีขยะอะไรไม่รู้เต็มลิ้นชักเลย กลายเป็นว่าเทอมนั้นทั้งเทอมผมไม่มีหนังสือเรียนครับ ไหนจะรองเท้าอีก ผมเคยจอดรองเท้าไว้หน้าห้องตอนเรียนนาฎศิล ซึ่งช่วงนั้นเปิดเทอมใหม่รองเท้าคู่ใหม่ สุดท้ายออกมาหาย ผมตามหารองเท้าจนแทบไม่ได้เรียน ในโรงเรียนผมจะมีโซนขยะสกปรกๆนะครับ ถ้าจำไม่ผิดแถวสระว่ายน้ำ ถ้าจำผิดขออภัย แต่เป็นที่ๆสกปรกมากครับผมลองไปหาแถวนั้น สรุปเจอครับ สภาพแย่มากครับ
ไม่ต้องบรรยายเลย เชือกรองเท้าถูกแยกออกสภาพไม่เหมือนของใหม่เลยครับ ที่จำได้เพราะเขียนชื่อไว้ครับ
กลายเป็นว่าพอเปิดเทอมใหม่ผมต้องระวังทุกอย่างเลยครับ กระเป๋าผมนี้ติดตัวตลอดเวลาครับ คนอื่นก็มองนะครับแต่ผมไม่อายเพราะกลัวหายมากกว่า
แต่ก็มีลืมไว้ในห้องบ้างครับตามภาษาเด็กประถม พอกลับมากระเป๋ายังอยู่นะครับแต่หนังสือเรียนอะไรหายหมด ในตอนเขียนเหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งตอนม.ต้นเลยครับตอนนั้นผมอยู่โรงเรียนชายล้วยประจำจังหวัดตอนนั้นผมเอากระเป๋าราคาแพงมาในโรงเรียนแล้ววางทิ้งไว้ ผลสรุปหายตามระเบียบครับ แต่พอผมไปดูถังขยะแถวนั้นผมเจอหนังสือเรียนกับกล่องดินสอครับ ผมว่าแบบนี้ยังดีกว่า555 อย่างน้อยผมก็มีอะไรเรียน แต่ตอนอัสสัมนี้เหลือกระเป๋าข้างในหายหมดผมว่าโครตแย่เลย ต่อครับต่อ นั้นแหละครับ ผมก็โดนเหตุการณ์ต่างๆนานา จนทำให้ผมไม่เรียนไม่เอาอะไรเลยครับ ชีวิตผมตอนนั้นเหมือนไม่มีอะไรจะเสียเลยครับ จากที่เคยเข้าเรียนก็ไม่เข้า เริ่มหายไป กฎอะไรมีผมแหกหมดครับ (หลายคนอาจจะคิดว่าผมแต่งเรื่องขึ้นผมบอกเลยว่าผมสามารถยืนชี้สถานที่เกิดเหตุให้ดูได้เลยครับ ที่ผมเล่าเหตุการณ์ร้ายๆในชีวิตผมมาก็อยากให้หลายคนรู้ว่าผมเคยเจออะไรแย่แค่ไหน แต่ก็ยังสู้มาได้นะครับ)
ในตอนนั้นผมโดนบาเดอหรือถ้าโรงเรียนรัฐเรียกผอ.ครับเรียกไปตีหน้าเสาธง เรียกไปด่า ทำทันบนเกือบถูกไล่ออก จะพูดว่าตอนนั้นในโรงเรียนไม่มีใครไม่รู้จักผมเลยครับ ส่วนการเรียนหรอครับที่สุดท้ายครับรออะไร555 เอาเป็นว่าตกต่ำมากครับไม่เหลือสภาพเด็กเรียนเก่งหรือนักกีฬาหรือหัวหน้าห้องเลยครับ จนพ่อแม่ทนไม่ไหวครับ
เห็นว่าผมเรียนไม่ได้เลยให้ผมย้ายมาภาคธรรมดาครับเพราะภาคภาษาอังกฤษเรียนไม่ไหวเลยย้ายมาภาคธรรมดา ตอนย้ายมาผมไม่รู้อะไรนะครับแต่ผมเพิ่งรู้ครับว่ามีข่าวเสียหายผมออกมาเพียบเลยขนาดย้ายออกนะ ประมาณว่าครูรวมกันโหวตไล่ผมออก อันนี้ผมมารู้ตอนม.ปลายครับเพื่อนต่างห้องแบบไกลมากเล่าให้ฟัง ผมก็เพิ่งรู้ว่าผมดังขนานนั้น55 และก็พอรู้ครับว่าใครปล่อยข่าว ผมอยู่ภาคธรรมดาผมก็ตืดนิสัยไม่เรียนมาแล้วครับประกอบกับนายป.ยังคอยรังครวนอยู่แต่ไม่หนักเท่าเมื่อก่อน (ผมลืมบอกผมย้ายตอนป.5 เทอม2ครับ) ผมก็ยังแย่เหมือนเดิม จนกระทั้งผมจบป.6 ผมโครตดีใจอ่ะ ผมไปสอบเข้าโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดครับ แต่ผมจะเอาอะไรไปสอบหล่ะสุดท้ายผมสอบไม่ได้ครับ จนต้องมาลำบากพ่อแม่จนได้ ผมได้ฝากเข้าไปเรียนครับและผมก็โชคดีได้เข้าโครงการที่มีปีเดียวและยุบปีเดียวเลยครับโครงการเด็กดีเรียนได้ไม่ต้องสอบ ที่เข้าได้เพราะรายชื่อมันรัมมาห้องนี้พอดีครับ
ผมขอเรียกช่วงชีวิตจากนี้ไปว่า "ช่วงหลงผิด" ในตอนเข้ามาผมก็เข้ากับกลุ่มไม่ดีเลยครับ กลุ่มไม่เรียนอ่ะครับ ตอนนั้นผมอยู่กลุ่มที่แรกว่าคุกอยู่ไม่ไกล
ทั้งตี ทั้งบุหรี่ เหล้า กัญชา อื่นๆอีกมากมาย แต่ถึงผมจะเข้ากลุ่มนี้ผมก็ยังดีอย่างครับ ผมเคยรับปากพ่อว่าไม่ว่ายังไงจะไม่ยุ่งยาเสพติดเป็นอันขาด ทำให้ผมเข้ากลุ่มแต่ผมไม่ลองอะไรทั้งนั้น แต่ตอนที่อยู่กลุ่มนี้ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างมากนะครับที่ทำให้ชีวิตผมเสี่ยงกับคำว่า เกือบไม่รอด เช่นมีเย็นวันหนึ่งครับ พวกเพื่อนผมมันลองกัญชากันอยู่ ถ้าใครอยู่โรงเรียนเดียวกับผมในรุ่นผมจะรู้ว่าโรงอาหารใหม่เมื่อก่อนจะเป็นโต๊ะปิงปองครับ มันจะเป็นที่รวมโต๊ะปิงปองเก่าๆซึ่งติดกันเป็นกำแพงจะเป็นกำแพงที่มีรูให้โดดเรียน ผมก็นั่งอยู่กับเพื่อนดีๆครับถึงมันจะไม่ดีก็เถอะอยู่ๆอาจารย์มาจากไหนไม่รู้จะจับพวกผม พวกผมวิ่งดิครับคนละทิศคนละทางเลย อาจารย์ที่ตามตอนนี้น่าจะเกษียณไปแล้วนะครับ อาจารย์เป็นอาจารย์พละอายุเยอะนะครับ แต่วิ่งโครตเร็วเลยแข็งแรงมาก ผมเกือบโดนจับได้และ ดีนะที่ตอนนั้นมีกลุ่มอื่นโผล่มาแล้วตรงอาจารย์พอดีกลุ่มนั้นเลยโดนอาจารย์จับไปส่วนพวกผมรอด นี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ต้องใช้คำว่ารอดว่าได้เลยเพราะถ้าจับได้ผมอยู่ในวงด้วยผมคงมีความผิดไปด้วยครูคงเรียกพ่อแม่มาท่านคงเสียใจมาก นึกย้อนไปผมยังคิดเลยว่าโชคดีถ้าวันนั้นโดนจับได้คงไม่มีผมในวันนี้ ในตอนนั้นตอนวัยรุ่นเราไม่คิดหรอกครับเห็นวันสนุกไปวันวัน ผมเข้าใจหลายๆคนในช่วงนั้นนะครับ เอาแต่สนุกไปวันๆใช้เงินพ่อแม่ แล้วก็โดดไปเล่นเกม ผมบอกเลยนะครับใช้มันสนุกวันๆไม่ต้องคิดไรพ่อแม่มาส่งพอส่งเสร็จเดินไปร้านเกมเลยครับยังไม่ต้องเข้าโรงเรียน 555อันนี้พูดจากประสบการณ์จริง ผมเข้าใจนะครับว่าชีวิตแบบนั้นเป็นยังไง แต่ผมอยากให้หลายๆคนลองคิดซักนิดนะครับ ว่าชีวิตแบบนี้ไม่มีทางคงอยู่ถาวรนะครับ ขอเงินพ่อแม่เรื่อยๆซักวันเราก็โตถ้าเรายังเอาแต่ขอเงินท่านก็นะอายนะครับ หรือถ้าเราเอาแต่โดดเรียนเข้าร้านเกม ติดยา ผมบอกเลยนะครับว่าเราหน่ะอาจจะมีความสุขแต่ถ้าพ่อแม่รู้ ท่านคงทุกมาก หรือบางคนไม่สนพ่อแม่ไม่เป็นไรครับ ลองนึกถึงตัวเองก็ได้ ว่าถ้าเราเป็นงี้ต่อไปจะเอาอะไรกิน ถ้าเราเป็นงี้ต่อไปอนาคตจะเป็นไง แค่ทนอ่านหนังสือเรียนนิดหน่อยอนาคตอาจจะดีขึ้นแบบที่เราคิดไม่ถึงก็ได้ เราไม่อยากลองอะไรใหม่ๆหรอจากต่อยกันมาอ่านหนังสือ จากเล่นยามาเล่นกีฬา ผมรู้ครับว่าตอนเริ่มมันยากแต่ผมตอบแทนโครตคุ้มเชื่อผม ต่อครับต่อขออภัยผู้อ่านด้วยนะครับที่เขียนนอกเรื่องมากไปแต่ในส่วนความคิดข้างบนผมอยากเตือนหลายๆคนที่เคยคิดแบบนั้นเคยจะเดินแบบนั้นหรือเข้าใกล้เส้นทางนั้นครับ
ต่อจริงๆและ ในสมัยก่อน ผมก็อยู่อย่างงี้ไปจนกระทั้งเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับชีวิตผม
ตอนนั้นมันประมาณม.3เทอม2ครับหลายคนเตรียมตัวสอบ ผมยังไม่เรียนอยู่เลย แต่ผมบังเอิญไปได้ยินไปเห็นพ่อแม่คุยกันครับ คือทางบ้านผมมีที่ดินอยู่ชลบุรีครับ พ่อแม่ผมวางแผนจะเปิดตึกแถวให้เก็บค่าเช่าไม่ก็เปิดร้านเกี๋ยวเตี๋ยวแต่พอคุยกันก็เครียดครับกลัวผมจะโดนหลอกอีก เพราะผมไม่มีความรู้ครับ
และก็นั่งน้ำตาไหลเสียใจเรื่องผมครับ พยายามคิดหาทางให้ผมหาเลี้ยงชีพได้และเตรียมจะฝากเข้าราชสีมาต่อครับ แต่ผมจำได้ตอนพ่อแม่ฝากเข้าต้องไปขอร้องใครก็ไม่รู้ให้ช่วยยอมลดศักศรีเพื่อเรา พ่อแม่เราตอนนี่ก็เป็นข้าราชผู้ใหญ่ เราเลยคิดได้ครับ จะไม่ยอมให้ท่านทำงั้นเป็นครั้งที่2
ช่วงชีวิตนี้ผมขอเรียกว่า "ช่วงสู้สุดชีวิต"
มี (ต่อ)นะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่