สิ้นสุดการรอคอยยาวนานร่วม 15 ปีเสียที กับหนังภาคต่อของหนังสยองขวัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นกระแสความนิยมของหนังประเภท Found Footage (การค้นพบฟุตเตจภาพลึกลับ) อย่าง The Blair Witch Project หากไม่นับภาคต่อที่เป็นของปลอมทำเลียนแบบอย่าง Book of Shadows : Blair Witch 2 เมื่อปี 2000 หนัง Blair Witch ในปี พ.ศ. นี้ ก็นับได้ว่าเป็นภาคต่อของจริง ที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องในรูปแบบ Found Footage เหมือนต้นฉบับ รวมถึงเนื้อเรื่องที่ต่อเนื่องจากหนังต้นฉบับ
หนังเป็นเรื่องของ เจมส์ ที่หมกหมุ่นกับการเดินหน้าตามหาความจริงกับเรื่องราวของ เฮเทอร์ พี่สาวที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับกลุ่มเพื่อนในตอนที่ไปถ่ายทำสารคดีแม่มดแบลร์ที่ป่าแบล็คฮิลล์ วันหนึ่งเจมส์ได้พบคลิปที่เข้าไปในป่าและถ่ายติดคนคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายเฮเทอร์ เจมส์และพ้องเพื่อนจึงวางแผนเข้าไปในป่าเพื่อตามหาความจริงเกี่ยวกับพี่สาว แต่หารู้ไม่ว่าในป่าแห่งนั้นมีบางอย่างรอคอยพวกเขาอยู่
คืนสู่สามัญ
จากบทเรียนของ Book of Shadows : Blair Witch 2 เหมือนทำให้ผู้สร้างตระหนักรู้ว่าถ้าหากจะสร้างเรื่องราวของแม่มดแบลร์ การพยายามที่จะทำหนังในรูปแบบที่ไม่ใช่ Found Footage ก็ดูจะเป็นความผิดมหันต์ยิ่งนัก (อาจรวมถึงเนื้อเรื่องในภาคนั้นที่ตื้นเขินและไร้ซึ่งเสน่ห์ที่หนังต้นฉบับเคยทำไว้ด้วยก็ได้) ดังนั้นการคืนสู่สามัญแบบหนังต้นฉบับจึงเป็นสิ่งที่เป็นเหมือนภาคบังคับของหนังภาคนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยการเล่าเรื่องที่เน้นความสมจริงโดยผ่านกล้องวิดีโอที่หลายหลายมุมมองที่หนังนำเสนอขึ้นมาตั้งแต่ต้นจนจบ ในจุดนี้นับว่าใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีกล้องในยุคสมัยนี้ได้ฉลาดไม่น้อย เพราะกล้องที่ตัวละครนำมาใช้ถ่าย (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนดูจะเห็น) เป็นกล้องที่หลากหลาย ทั้งกล้อง DSLR, กล้องที่ติดไว้กับหู รวมถึงกล้องจากโดรน ทำให้ภาพที่คนดูเห็นมีหลากหลายมุมมอง มากกว่าหนังต้นฉบับที่เป็นกล้อง Handycam อย่างเดียว
นอกจากนั้นภาพจากกล้องยังทำหน้าที่ถ่ายให้เห็นมุมภาพที่ดูจริงแล้ว ในขณะเดียวกันมุมภาพนั้นก็สามารถเล่าเรื่องในรูปแบบที่ดู(เหมือนจะ)ไม่จริงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อผ่านกล้องที่ติดไว้กับหูของตัวละคร เพราะภาพจากมุมกล้องนั้นที่คนดูเห็น จะเป็นภาพ Close Up ที่ได้เห็นปฏิกิริยาต่อตัวละครแบบใกล้ชิด ที่สามารถทำให้เกิดอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ที่เหล่าตัวละครกำลังเผชิญอยู่ รวมทั้งคนดูที่จะได้เห็นใกล้ชิดที่ทำให้ “เข้าถึง” สถานการณ์นั้น ๆได้มากกว่าหนังต้นฉบับ ที่มักมีแต่ภาพในมุมกว้างจากกล้องที่ตัวละครถือเท่านั้น ซึ่งข้อดีของมันคือการนำพาคนดูไปสู่ภาวะบีบคั้น เปิดโอกาสที่ทำให้คนดูอินไปกับสถานการณ์ในหนังได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงความเรียลที่เป็นคอนเซปต์ของหนังอยู่เช่นเดิม
จุดจบของการคิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแม่มด
หากพิจารณาถึงภาพรวมของหนัง ทั้งเรื่องราว หรือวิธีการเล่าเรื่องด้วยรูปแบบที่กล่าวไปแล้ว จะเห็นได้ชัดถึงจุดมุ่งหมายของการสร้างหนังเรื่องนี้ ชัดเจนว่าเป็นเหมือนจดหมายรักไปถึงหนังต้นฉบับ ที่ทำด้วยความเคารพไปพร้อมกับการสร้างสรรค์แนวทางนำเสนอที่ดูใหม่ไปพร้อม ๆกัน และแน่นอนว่ากับแฟนแดนตายของหนังต้นฉบับก็จะยินดีต้อนรับหนังเรื่องนี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนได้ไปเจอเพื่อนเก่า แต่ข้อเสียคือ สำหรับคอหนังที่ไม่ได้เป็นแฟนแดนหนัง ก็สามารถคิดว่านี่เป็นหนังรูปแบบ Found Footage ที่แค่อยู่ในระดับ “ก็ดี” เท่านั้น
เพราะในยุคสมัยนี้หนังประเภทนี้มีให้เห็นง่ายและเกลื่อนกลาดไปหมด รูปแบบหนังแนวนี้ไม่ได้ดูแปลกใหม่อีกต่อไป และหากพิจารณาถึงตัวบทภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ก็เป็นบทหนังประเภทหนังสยองขวัญที่ก็เคยเห็นกันมาแล้วเช่นกัน (ว่ากันตามตรง แทบไม่ได้แตกต่างกับเรื่องราวของหนังต้นฉบับด้วยซ้ำไป) เพราะจริง ๆกับเรื่องราวที่ได้เห็นในหนัง สำหรับคอหนังที่ผ่านหนังสยองขวัญมานับไม่ถ้วน จะเดาไม่ออกจริง ๆหรือว่า เหล่าตัวละครทั้งหมดนี้จะได้ไปเจอกับอะไร ? และจุดจบของเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ? ทั้งหมดนี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงต่อการคาดเดาเลยแม้แต่น้อย เพราะหนังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ขนาดนั้น ดังนั้นเหล่าคอหนังขาจรก็คงได้แค่เข้าไปดูเอาความสนุกของหนัง ความตื่นเต้นที่ทำได้ดี ที่ก็ตอบโจทย์ในแง่ของความคาดหวังต่อหนังแนวนี้ทุกประการ แต่คงไม่ได้อินมากถึงขนาดเทิดทูนบูชาว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ดีเลิศขนาดนั้น
เพราะอย่างที่บอก นี่คือหนังที่เหมือนเป็นจดหมายรักติดแสตมป์ไปถึงสำหรับแฟนหนังต้นฉบับ ซึ่งหากมองในแง่มุมนั้น หนังเรื่องนี้ก็ทำได้สมกับที่ตั้งใจไว้ เพราะเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ตอบโจทย์ทุกความคาดหวัง ของคนที่รักหนังต้นฉบับต้องการจะเห็น
ขอบคุณภาพจาก MONGKOL MAJOR
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากหนังได้ที่เพจ
https://web.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ
รีวิว Blair Witch : จดหมายรักถึงแม่มดแบลร์
สิ้นสุดการรอคอยยาวนานร่วม 15 ปีเสียที กับหนังภาคต่อของหนังสยองขวัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นกระแสความนิยมของหนังประเภท Found Footage (การค้นพบฟุตเตจภาพลึกลับ) อย่าง The Blair Witch Project หากไม่นับภาคต่อที่เป็นของปลอมทำเลียนแบบอย่าง Book of Shadows : Blair Witch 2 เมื่อปี 2000 หนัง Blair Witch ในปี พ.ศ. นี้ ก็นับได้ว่าเป็นภาคต่อของจริง ที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องในรูปแบบ Found Footage เหมือนต้นฉบับ รวมถึงเนื้อเรื่องที่ต่อเนื่องจากหนังต้นฉบับ
หนังเป็นเรื่องของ เจมส์ ที่หมกหมุ่นกับการเดินหน้าตามหาความจริงกับเรื่องราวของ เฮเทอร์ พี่สาวที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับกลุ่มเพื่อนในตอนที่ไปถ่ายทำสารคดีแม่มดแบลร์ที่ป่าแบล็คฮิลล์ วันหนึ่งเจมส์ได้พบคลิปที่เข้าไปในป่าและถ่ายติดคนคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายเฮเทอร์ เจมส์และพ้องเพื่อนจึงวางแผนเข้าไปในป่าเพื่อตามหาความจริงเกี่ยวกับพี่สาว แต่หารู้ไม่ว่าในป่าแห่งนั้นมีบางอย่างรอคอยพวกเขาอยู่
คืนสู่สามัญ
จากบทเรียนของ Book of Shadows : Blair Witch 2 เหมือนทำให้ผู้สร้างตระหนักรู้ว่าถ้าหากจะสร้างเรื่องราวของแม่มดแบลร์ การพยายามที่จะทำหนังในรูปแบบที่ไม่ใช่ Found Footage ก็ดูจะเป็นความผิดมหันต์ยิ่งนัก (อาจรวมถึงเนื้อเรื่องในภาคนั้นที่ตื้นเขินและไร้ซึ่งเสน่ห์ที่หนังต้นฉบับเคยทำไว้ด้วยก็ได้) ดังนั้นการคืนสู่สามัญแบบหนังต้นฉบับจึงเป็นสิ่งที่เป็นเหมือนภาคบังคับของหนังภาคนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยการเล่าเรื่องที่เน้นความสมจริงโดยผ่านกล้องวิดีโอที่หลายหลายมุมมองที่หนังนำเสนอขึ้นมาตั้งแต่ต้นจนจบ ในจุดนี้นับว่าใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีกล้องในยุคสมัยนี้ได้ฉลาดไม่น้อย เพราะกล้องที่ตัวละครนำมาใช้ถ่าย (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนดูจะเห็น) เป็นกล้องที่หลากหลาย ทั้งกล้อง DSLR, กล้องที่ติดไว้กับหู รวมถึงกล้องจากโดรน ทำให้ภาพที่คนดูเห็นมีหลากหลายมุมมอง มากกว่าหนังต้นฉบับที่เป็นกล้อง Handycam อย่างเดียว
นอกจากนั้นภาพจากกล้องยังทำหน้าที่ถ่ายให้เห็นมุมภาพที่ดูจริงแล้ว ในขณะเดียวกันมุมภาพนั้นก็สามารถเล่าเรื่องในรูปแบบที่ดู(เหมือนจะ)ไม่จริงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อผ่านกล้องที่ติดไว้กับหูของตัวละคร เพราะภาพจากมุมกล้องนั้นที่คนดูเห็น จะเป็นภาพ Close Up ที่ได้เห็นปฏิกิริยาต่อตัวละครแบบใกล้ชิด ที่สามารถทำให้เกิดอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ที่เหล่าตัวละครกำลังเผชิญอยู่ รวมทั้งคนดูที่จะได้เห็นใกล้ชิดที่ทำให้ “เข้าถึง” สถานการณ์นั้น ๆได้มากกว่าหนังต้นฉบับ ที่มักมีแต่ภาพในมุมกว้างจากกล้องที่ตัวละครถือเท่านั้น ซึ่งข้อดีของมันคือการนำพาคนดูไปสู่ภาวะบีบคั้น เปิดโอกาสที่ทำให้คนดูอินไปกับสถานการณ์ในหนังได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงความเรียลที่เป็นคอนเซปต์ของหนังอยู่เช่นเดิม
จุดจบของการคิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแม่มด
หากพิจารณาถึงภาพรวมของหนัง ทั้งเรื่องราว หรือวิธีการเล่าเรื่องด้วยรูปแบบที่กล่าวไปแล้ว จะเห็นได้ชัดถึงจุดมุ่งหมายของการสร้างหนังเรื่องนี้ ชัดเจนว่าเป็นเหมือนจดหมายรักไปถึงหนังต้นฉบับ ที่ทำด้วยความเคารพไปพร้อมกับการสร้างสรรค์แนวทางนำเสนอที่ดูใหม่ไปพร้อม ๆกัน และแน่นอนว่ากับแฟนแดนตายของหนังต้นฉบับก็จะยินดีต้อนรับหนังเรื่องนี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนได้ไปเจอเพื่อนเก่า แต่ข้อเสียคือ สำหรับคอหนังที่ไม่ได้เป็นแฟนแดนหนัง ก็สามารถคิดว่านี่เป็นหนังรูปแบบ Found Footage ที่แค่อยู่ในระดับ “ก็ดี” เท่านั้น
เพราะในยุคสมัยนี้หนังประเภทนี้มีให้เห็นง่ายและเกลื่อนกลาดไปหมด รูปแบบหนังแนวนี้ไม่ได้ดูแปลกใหม่อีกต่อไป และหากพิจารณาถึงตัวบทภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ก็เป็นบทหนังประเภทหนังสยองขวัญที่ก็เคยเห็นกันมาแล้วเช่นกัน (ว่ากันตามตรง แทบไม่ได้แตกต่างกับเรื่องราวของหนังต้นฉบับด้วยซ้ำไป) เพราะจริง ๆกับเรื่องราวที่ได้เห็นในหนัง สำหรับคอหนังที่ผ่านหนังสยองขวัญมานับไม่ถ้วน จะเดาไม่ออกจริง ๆหรือว่า เหล่าตัวละครทั้งหมดนี้จะได้ไปเจอกับอะไร ? และจุดจบของเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ? ทั้งหมดนี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงต่อการคาดเดาเลยแม้แต่น้อย เพราะหนังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ขนาดนั้น ดังนั้นเหล่าคอหนังขาจรก็คงได้แค่เข้าไปดูเอาความสนุกของหนัง ความตื่นเต้นที่ทำได้ดี ที่ก็ตอบโจทย์ในแง่ของความคาดหวังต่อหนังแนวนี้ทุกประการ แต่คงไม่ได้อินมากถึงขนาดเทิดทูนบูชาว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ดีเลิศขนาดนั้น
เพราะอย่างที่บอก นี่คือหนังที่เหมือนเป็นจดหมายรักติดแสตมป์ไปถึงสำหรับแฟนหนังต้นฉบับ ซึ่งหากมองในแง่มุมนั้น หนังเรื่องนี้ก็ทำได้สมกับที่ตั้งใจไว้ เพราะเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ตอบโจทย์ทุกความคาดหวัง ของคนที่รักหนังต้นฉบับต้องการจะเห็น
ขอบคุณภาพจาก MONGKOL MAJOR
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากหนังได้ที่เพจ https://web.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ