Finland education....เขาทำได้ไง ???
ประเทศที่ให้ความสำคัญทางการศึกษานั้น
คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้เขาคัดแล้วคัดอีก
ตรงข้ามกับกะลาแลนด์
ที่กระทรวงนี้มักเป็นกระทรวงที่ถูกเมิน
เผลอๆถูกใช้เป็นกระทรวง "ตัวแถม" ในการแบ่งเค็กของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยซ้ำ
ครั้งนึงเมื่อ 20 กว่าปีก่อน
เราเคยมีคนอย่าง "สัมพันธ์ ทองสมัคร" มาดูแลกระทรวง ศธ.
สัมพันธ์นี่มีฉายาว่า "หมอผี" .... แหมมม...มันช่างทำให้เห็นภาพพจน์อันคร่ำครึของ ศธ.จริงๆ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าสัมพันธ์ไม่ดี แต่ที่ยก ตย.นี้เพราะภาพของไดโนเสาร์เต่าล้านปีมันชัดเจน
คนดี กับ คนเก่ง มันคนละเรื่องกัน
เพราะคนดีอาจจะไม่โกง แต่อาจขาดวิสัยทัศน์บริหารห่วย
ในขณะที่ประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้นั้น
การคัดเลือกคนมาดูแลเรื่องการศึกษานี่เขาส่องแล้วส่องอีก
ส่วนที่กะลาแลนด์
มี "ห้องคิง" สำหรับเด็กเก่ง
และ ผลักใสเด็กที่เรียนด้อยกว่าลงไปอยู่ในห้องอื่น
ตรงกันข้ามกับประเทศอย่างฟินแลนด์กลับพยายามทำให้เด็กเก่ง และ ไม่เก่ง มีระยะห่างที่ลดลงมาใกล้กัน
วิสัยทัศน์แบบฟินแลนด์
บวกกับการเอาจริงเอาจังเป็นวาระแห่งชาติขนาดนี้
จึงไม่แปลกเลยที่ฟินแลนด์จะไม่ได้มีดีแค่ Nokia เท่านั้น
เพราะค่าเฉลี่ยในด้านคุณภาพของการศึกษาของฟินแลนด์อยู่ในเกณฑ์สูงเป็นลำดับต้นๆของโลก
ฟินแลนด์ไม่มีระบบสอบเข้าเรียน
ไม่ต้องคัดเลือกอะไรทั้งนั้น แต่ทุกคนเข้าเรียนกันได้เลย
รัฐทุ่มงบประมาณลงไปที่เด็กเรียนไม่เก่ง
เพื่อที่จะพัฒนาทักษะในด้านอื่นๆให้เด็กเหล่านี้
ส่วนเด็กที่เรียนเก่งนั้น รัฐไม่ได้เข้าไปดูแลอะไรมาก
เพราะคนเก่งนั้นไม่ต้องไปดูแล มันก็เรียนเก่งของมัน และ เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
หลังจากทำงานกันอย่างเอาจริงเอาจัง
ฟินแลนด์ก็เลยสามารถลดช่องว่างระหว่างเด็กเก่ง-เด็กไม่เก่งให้แคบลง
Finland truly believes “Less is More.”
This national mantra is deeply engrained into the Finnish mindset
and is the guiding principal to Finland’s educational philosophy.
พวกฟินแลนด์เชื่อในเรื่อง "Less is More"
พวกเขายึดถือมันเป็นปรัชญาด้านการศึกษาที่จะเปลี่ยนประเทศในแบบพลิกฝ่ามือ
1.Less formal schooling = More option
"ลดโรงเรียนแบบปกติลง = ได้ทางเลือกอื่นเพิ่มขึ้น
เด็กๆฟินนิชเข้าเรียนตั้งแต่ 7 ขวบ
พวกเขาใช้ชีวิตในโรงเรียนสมกับความเป็น "เด็ก"
นั่นก็คือเรียนรู้จากการ "เล่น" และ "ผจญภัย" มากกว่าการอยู่ในห้องเรียน
เมื่อเด็กมีจินตนาการในปีแรกของความสนุก
พัฒนาการต่างๆมันจะเกิดขึ้นและมีความพร้อมที่จะเรียนไปถึงเกรด 9
จากนั้นพอพ้นเกรด 9 ไปแล้ว เด็กฟินนิชก็จะมีทางเลือกให้เดินไปได้ 3 ทาง
-มัธยมปลาย (ชอบแนวไหนก็ส่งเรื่องไป apply ที่ รร.ได้เลย)
-สายอาชีวะ (จบแล้วจะไปต่อมหาลัย ,โพลีเทคนิค หรือ ทำงานเลยก็ได้)
-กระโดดเข้าสู่ workforce ทำงานหาเงินเลย (ฝรั่งมันทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ)
2.Less time in school = more rest
"อยู่ในโรงเรียนให้น้อยลง = ได้เวลาสำราญเพิ่มขึ้น"
เด็กฟินนิชเข้าเรียนประมาณ 9.00 - 9.45 น.
ที่กรุงเฮลซิงกิถึงขนาดเคยคิดจะออกกฏหมายห้ามเข้าเรียนก่อน 9.00 น.
เพราะมันมีงานวิจัยออกมาเรื่องการนอนหลับในตอนเช้าซึ่งเป็นการหลับที่ "มีคุณภาพ"
"research has consistently proved that adolescents need quality sleep in the morning."
ส่วนเวลาเลิกเรียนนั้น
อยู่ระหว่างบ่าย 2 ถึง บ่าย 2.45 น.
แต่จริงๆแล้วเขาก็ยืดหยุ่นกันไปในแต่ละที่
เด็กฟินนิชจะเรียนประมาณ 3-4 คาบต่อวัน
เวลาเรียนในแต่ละคาบก็ประมาณคาบละ 75 นาที
75 นาทีอาจฟังดูยาวนาน แต่จริงๆแล้วเขามี break หลายครั้ง
การ break บ่อยๆก็เพื่อให้ครู และ นร.ได้พัก เพื่อที่จะพร้อมและสดชื่นที่จะร่ำเรียนกันต่อไป
3.Fewer instruction hours = more planning time
"สอนให้น้อยลง = มีเวลาเตรียมการสอนมากขึ้น"
ครู และ นักเรียนมีเวลา 24 ชม.เท่าๆกัน
คุณครูฟินนิชสอนกันประมาณปีละ 600 ชม. หรือ เฉลี่ยไม่ถึง 4 คาบต่อวัน
เมื่อเทียบกับคุณครูที่อเมริกาแล้ว ครูอเมริกันสอนมากกว่าเกือบๆจะเท่าตัว
แถมครู และ นร.ที่ฟินแลนด์ยัง ชิล ชิล ได้อีก
เพราะหากไม่มีเรียน ไม่มีสอน ก็ไม่ต้องรีบโผล่มาที่ รร.
ถ้าวิชาแรกเริ่มที่ 11 โมง ทั้งครู และ นร.ก็ไม่จำเป็นต้องมาตั้งแต่ 9 โมง
"This system allows the Finnish teacher more time to plan and think about each lesson. It allows them to create great, thought provoking lessons."
ด้วยระบบที่ว่านี้
ทำให้ครูมีเวลาเตรียมการสอนมากขึ้น
และ จะนำมาซึ่งการเรียนการสอนมีคุณภาพมากกว่าแหกขี้ตามาแต่เช้า แล้วกลับเย็นๆค่ำๆ
4.Fewer teacher = more consistency and care
"ลดจำนวนครูลง = ได้การดูแลใส่ใจกันมากขึ้น"
เด็กประถมฟินนิชมักจะได้ "ครูคนเดิม" เฉลี่ยระยะเวลา 6 ปี
6 ปีของการดูแลกัน มันทำให้ผูกพัน และ เรียนรู้ธรรมชาติของกันและกัน
6 ปีของครู 1 คน กับนักเรียน 15-20 คน มันทำให้ครูมองออกว่าจะพัฒนาเด็กคนไหน อย่างไร
6 ปีที่ว่านี้มันจะเป็น 6 ปีที่เด็กกับครูเดินไปพร้อมๆกัน
5.Fewer accepted applicants = more confident in teachers
"คัดเลือกครูอย่างเข้มข้น = ได้ครูที่มีความมั่นใจมากขึ้น"
Finland works very hard to make sure there are no “bad teachers.”
การคัดเลือกครูโรงเรียนประถมที่นั่นมีการแข่งขันกันสูงมากเพราะคนอยากเป็นเยอะ
ครูทุกคนต้องผ่านการทดสอบความรู้ การสัมภาษณ์แบบเข้มข้น เพื่อที่จะมั่นใจว่าเป็นครูที่มีคุณภาพ
ที่ฟินแลนด์นั้น
เขามองว่าครูที่ดีไม่ใช่ว่าต้องมีความรู้เพียงอย่างเดียว
แต่จะต้องมีพรสวรรค์ และ มีความอยาก ความกระหายในการสอน
Gift and passion คือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ
เมื่อพ่อแม่เชื่อถือในตัวครู
พ่อแม่ก็จะไม่กล้าที่จะแทรกแซงการเรียนการสอน
คุณครูคณิตศาสตร์คนหนึ่งได้อีเมลคอมเพลนจากผู้ปกครองเฉลี่ย 5-6 อีเมล / เทอมเท่านั้น
เมื่อเทียบกับฝั่งอเมริกาแล้ว
คุณครูที่นั่นได้อีเมลจากผู้ปกครอง 5-6 อีเมล / วัน...!!!!!!!
6.Fewer classes = more breaks
"อยู่ในห้องเรียนน้อยลง = ได้เวลาเบรคมากขึ้น"
เด็กฟินนิชเรียนกันเฉลี่ย 3-4 คาบ / วัน
แถมระหว่างคาบเรียนยังมี break มากมาย
เพราะการ break มันได้ประโยชน์ทั้งครูทั้งนักเรียน
เด็กๆได้ผ่อนคลาย ได้ขยับร่างกาย ได้สูดอากาศนอกห้องเรียน ได้ "ย่อย" ในสิ่งที่เพิ่งเรียนมา
การได้ "พัก" บ่อยๆ จะทำให้สดชื่น สมองปลอดโปร่ง และ พร้อมที่จะเรียนต่อ
ส่วนครูก็ไปพักที่ห้องพักครู
ซึ่งเป็นที่ๆครูจะผ่อนคลาย จิบกาแฟ
คุยกับเพื่อนครู เตรียมการสอน หรือ พักผ่อนไปเรื่อยเปื่อย
บางโรงเรียนมีเก้าอี้นวดไฟฟ้าให้ครูได้ ชิล ชิล อีกต่างหาก...!!!!!!
7.Less testing = more learning
"สอบให้น้อยลง = เรียนรู้ให้มากขึ้น"
จะดีแค่ไหนหากไม่ต้องกังวลกับคะแนนสอบมากนัก ??
จะดีแค่ไหนหากค่าตอบแทนของครูไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการเรียนของ นร. ??
จะดีแค่ไหนหากการเรียนการสอนเป็นเรื่องของความสนุก ความกระหายใคร่รู้ ??
ครูชาวฟินนิชไม่ได้แบกรับความกดดันมากนัก
การคัดเลือกกันมาอย่างดีทำให้ครูได้รับความไว้วางใจ
และ ครูก็แค่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ
อยากสอนแบบไหน มีความคิดสน้างสรรค์อย่างไร ก็เอาให้เต็มที่เลย
สอนงานฝีมือ , งานไม้ , การบ้านการเรือน ควบคู่ไปกับการเรียนวิชาสามัญ ฯลฯ ...ได้ทั้งนั้น
8.Fewer topics = more depth
"เนื้อหาน้อยลง = ได้ความลึกเพิ่มขึ้น"
ในขณะที่ รร.ในอเมริกาใช้วิธีคิด more is more นั้น
พวกฟินนิชเขากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเลยก็ว่าได้
เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับการรู้ลึก มากกว่ารู้เยอะแต่ไม่รู้ลึก
การกำหนดเนื้อหาเยอะ
เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กเครียด
และ พอเครียดก็อาจจะเบื่อเรียนยอมแพ้ในที่สุด
ในขณะที่การลดเนื้อหาลง แต่ค่อยๆเรียนค่อยเป็นค่อยไปแบบให้รู้ลึกนั้นได้ประโยชน์กว่า
9.Less homework = more participation
"ลดการบ้านลง = ได้การมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น"
OECD ระบุว่า
เด็กฟินนิชมีการบ้านน้อยที่สุดในโลก
ค่าเฉลี่ยของการบ้านเด็กฟินนิชต่ำกว่าครึ่ง ชม./ วัน
และ ไม่มีการไปเรียนพิเศษนอกโรงเรียน
ส่วนใหญ่เด็กฟินนิชจะทำการบ้านเสร็จตั้งแต่ในชั้นเรียน
อีกทั้งครูเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำในชั้นเรียนนั่นก็เพียงพอแล้ว
เลยมักไม่ค่อยมีการบ้านกลับไปทำที่บ้านให้เป็นภาระกับเด็ก
10.Fewer students = more individual attention
"ลดเด็กให้น้อยลง = ได้การเอาใจใส่เพิ่มขึ้น"
อันนี้ตรงๆตัวเลย
เมื่อมีจำนวนเด็กน้อยลง
ครูก็สามารถดูแลได้อย่างเข้มข้นมากขึ้น
จะเรียน จะสอน อะไรกันก็คล่องตัวกว่าเด็กเยอะๆ
โดยเฉลี่ยแล้วคุณครูฟินนิชจะสอนเด็กไม่เกิน 20 คน / ชั้น
11.Less structure = more trust
"ลดโครงสร้างต่างๆลง = ได้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น"
การมีกฏ มีกรอบ มีโครงสร้างอะไรที่มากมาย
อาจจะเป็นอุปสรรคหนึ่งในการพัฒนาก็เป็นได้
เพราะหากเราแค่เชื่อมั่นในระบบแล้วล่ะก็ อาจไม่ต้องมีกรอบอะไรมากมายมาตีครอบไว้
สังคมฟินแลนด์เชื่อมั่นว่า รร.คัดเลือกครูที่ดี
โรงเรียนก็เชื่อมั่นว่าครูของตัวเองดี และ เปิดกว้างให้ครูสอนอย่างที่อยากสอน
พ่อแม่ก็เชื่อมั่นว่าเมื่อมีระบบที่ดีแล้วล่ะก็ ครูก็จะสอนลูกตัวเองได้อย่างมีคุณภาพ
ครูเองก็เชื่อมั่นในเด็กของตัวเองที่มีระบบมาช่วยประคองให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ
เด็กฟินนิชก็มีความเชื่อมั่นในตัวครูของพวกเขาว่าจะสามารถเค้นศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ออกมาได้
เมื่อทุกคนเชื่อมั่นในตัวระบบ ทุกอย่างเลยเดินไปแบบมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเทศที่มีวิสัยทัศน์
Less is more อาจได้ผลตามที่ต้องการ
แต่สำหรับประเทศที่วิสัยทัศน์อยู่ไม่เกินหัวแม่เท้า Less is more อาจจะยิ่งพาให้ลงเหวก็เป็นได้
ฟินแลนด์ทำสำเร็จ
พวกเขาพา "เด็กเก่ง" และ "เด็กไม่เก่ง" เดินไปพร้อมๆกัน
พวกเขาสามารถลดช่องว่างของเด็กทั้งสองกลุ่มนี้จนเหลือแคบลง
เด็กเก่ง และ เด็กไม่เก่ง ต่างก็มีพื้นที่ในโรงเรียน ในสังคม
พวกเขาไม่ "ทิ้งใครไว้ข้างหลัง".....!!!!!!!!
Cr :
https://fillingmymap.com/2015/04/15/11-ways-finlands-education-system-shows-us-that-less-is-more/
จ่าพิเชษฐ์
@@@@@--------------------จ่าล่ะโคตรจะอิจฉาฟินแลนด์จริงๆว่ะ-----------------@@@@@
ประเทศที่ให้ความสำคัญทางการศึกษานั้น
คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้เขาคัดแล้วคัดอีก
ตรงข้ามกับกะลาแลนด์
ที่กระทรวงนี้มักเป็นกระทรวงที่ถูกเมิน
เผลอๆถูกใช้เป็นกระทรวง "ตัวแถม" ในการแบ่งเค็กของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยซ้ำ
ครั้งนึงเมื่อ 20 กว่าปีก่อน
เราเคยมีคนอย่าง "สัมพันธ์ ทองสมัคร" มาดูแลกระทรวง ศธ.
สัมพันธ์นี่มีฉายาว่า "หมอผี" .... แหมมม...มันช่างทำให้เห็นภาพพจน์อันคร่ำครึของ ศธ.จริงๆ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าสัมพันธ์ไม่ดี แต่ที่ยก ตย.นี้เพราะภาพของไดโนเสาร์เต่าล้านปีมันชัดเจน
คนดี กับ คนเก่ง มันคนละเรื่องกัน
เพราะคนดีอาจจะไม่โกง แต่อาจขาดวิสัยทัศน์บริหารห่วย
ในขณะที่ประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้นั้น
การคัดเลือกคนมาดูแลเรื่องการศึกษานี่เขาส่องแล้วส่องอีก
ส่วนที่กะลาแลนด์
มี "ห้องคิง" สำหรับเด็กเก่ง
และ ผลักใสเด็กที่เรียนด้อยกว่าลงไปอยู่ในห้องอื่น
ตรงกันข้ามกับประเทศอย่างฟินแลนด์กลับพยายามทำให้เด็กเก่ง และ ไม่เก่ง มีระยะห่างที่ลดลงมาใกล้กัน
วิสัยทัศน์แบบฟินแลนด์
บวกกับการเอาจริงเอาจังเป็นวาระแห่งชาติขนาดนี้
จึงไม่แปลกเลยที่ฟินแลนด์จะไม่ได้มีดีแค่ Nokia เท่านั้น
เพราะค่าเฉลี่ยในด้านคุณภาพของการศึกษาของฟินแลนด์อยู่ในเกณฑ์สูงเป็นลำดับต้นๆของโลก
ฟินแลนด์ไม่มีระบบสอบเข้าเรียน
ไม่ต้องคัดเลือกอะไรทั้งนั้น แต่ทุกคนเข้าเรียนกันได้เลย
รัฐทุ่มงบประมาณลงไปที่เด็กเรียนไม่เก่ง
เพื่อที่จะพัฒนาทักษะในด้านอื่นๆให้เด็กเหล่านี้
ส่วนเด็กที่เรียนเก่งนั้น รัฐไม่ได้เข้าไปดูแลอะไรมาก
เพราะคนเก่งนั้นไม่ต้องไปดูแล มันก็เรียนเก่งของมัน และ เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
หลังจากทำงานกันอย่างเอาจริงเอาจัง
ฟินแลนด์ก็เลยสามารถลดช่องว่างระหว่างเด็กเก่ง-เด็กไม่เก่งให้แคบลง
Finland truly believes “Less is More.”
This national mantra is deeply engrained into the Finnish mindset
and is the guiding principal to Finland’s educational philosophy.
พวกฟินแลนด์เชื่อในเรื่อง "Less is More"
พวกเขายึดถือมันเป็นปรัชญาด้านการศึกษาที่จะเปลี่ยนประเทศในแบบพลิกฝ่ามือ
1.Less formal schooling = More option
"ลดโรงเรียนแบบปกติลง = ได้ทางเลือกอื่นเพิ่มขึ้น
เด็กๆฟินนิชเข้าเรียนตั้งแต่ 7 ขวบ
พวกเขาใช้ชีวิตในโรงเรียนสมกับความเป็น "เด็ก"
นั่นก็คือเรียนรู้จากการ "เล่น" และ "ผจญภัย" มากกว่าการอยู่ในห้องเรียน
เมื่อเด็กมีจินตนาการในปีแรกของความสนุก
พัฒนาการต่างๆมันจะเกิดขึ้นและมีความพร้อมที่จะเรียนไปถึงเกรด 9
จากนั้นพอพ้นเกรด 9 ไปแล้ว เด็กฟินนิชก็จะมีทางเลือกให้เดินไปได้ 3 ทาง
-มัธยมปลาย (ชอบแนวไหนก็ส่งเรื่องไป apply ที่ รร.ได้เลย)
-สายอาชีวะ (จบแล้วจะไปต่อมหาลัย ,โพลีเทคนิค หรือ ทำงานเลยก็ได้)
-กระโดดเข้าสู่ workforce ทำงานหาเงินเลย (ฝรั่งมันทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ)
2.Less time in school = more rest
"อยู่ในโรงเรียนให้น้อยลง = ได้เวลาสำราญเพิ่มขึ้น"
เด็กฟินนิชเข้าเรียนประมาณ 9.00 - 9.45 น.
ที่กรุงเฮลซิงกิถึงขนาดเคยคิดจะออกกฏหมายห้ามเข้าเรียนก่อน 9.00 น.
เพราะมันมีงานวิจัยออกมาเรื่องการนอนหลับในตอนเช้าซึ่งเป็นการหลับที่ "มีคุณภาพ"
"research has consistently proved that adolescents need quality sleep in the morning."
ส่วนเวลาเลิกเรียนนั้น
อยู่ระหว่างบ่าย 2 ถึง บ่าย 2.45 น.
แต่จริงๆแล้วเขาก็ยืดหยุ่นกันไปในแต่ละที่
เด็กฟินนิชจะเรียนประมาณ 3-4 คาบต่อวัน
เวลาเรียนในแต่ละคาบก็ประมาณคาบละ 75 นาที
75 นาทีอาจฟังดูยาวนาน แต่จริงๆแล้วเขามี break หลายครั้ง
การ break บ่อยๆก็เพื่อให้ครู และ นร.ได้พัก เพื่อที่จะพร้อมและสดชื่นที่จะร่ำเรียนกันต่อไป
3.Fewer instruction hours = more planning time
"สอนให้น้อยลง = มีเวลาเตรียมการสอนมากขึ้น"
ครู และ นักเรียนมีเวลา 24 ชม.เท่าๆกัน
คุณครูฟินนิชสอนกันประมาณปีละ 600 ชม. หรือ เฉลี่ยไม่ถึง 4 คาบต่อวัน
เมื่อเทียบกับคุณครูที่อเมริกาแล้ว ครูอเมริกันสอนมากกว่าเกือบๆจะเท่าตัว
แถมครู และ นร.ที่ฟินแลนด์ยัง ชิล ชิล ได้อีก
เพราะหากไม่มีเรียน ไม่มีสอน ก็ไม่ต้องรีบโผล่มาที่ รร.
ถ้าวิชาแรกเริ่มที่ 11 โมง ทั้งครู และ นร.ก็ไม่จำเป็นต้องมาตั้งแต่ 9 โมง
"This system allows the Finnish teacher more time to plan and think about each lesson. It allows them to create great, thought provoking lessons."
ด้วยระบบที่ว่านี้
ทำให้ครูมีเวลาเตรียมการสอนมากขึ้น
และ จะนำมาซึ่งการเรียนการสอนมีคุณภาพมากกว่าแหกขี้ตามาแต่เช้า แล้วกลับเย็นๆค่ำๆ
4.Fewer teacher = more consistency and care
"ลดจำนวนครูลง = ได้การดูแลใส่ใจกันมากขึ้น"
เด็กประถมฟินนิชมักจะได้ "ครูคนเดิม" เฉลี่ยระยะเวลา 6 ปี
6 ปีของการดูแลกัน มันทำให้ผูกพัน และ เรียนรู้ธรรมชาติของกันและกัน
6 ปีของครู 1 คน กับนักเรียน 15-20 คน มันทำให้ครูมองออกว่าจะพัฒนาเด็กคนไหน อย่างไร
6 ปีที่ว่านี้มันจะเป็น 6 ปีที่เด็กกับครูเดินไปพร้อมๆกัน
5.Fewer accepted applicants = more confident in teachers
"คัดเลือกครูอย่างเข้มข้น = ได้ครูที่มีความมั่นใจมากขึ้น"
Finland works very hard to make sure there are no “bad teachers.”
การคัดเลือกครูโรงเรียนประถมที่นั่นมีการแข่งขันกันสูงมากเพราะคนอยากเป็นเยอะ
ครูทุกคนต้องผ่านการทดสอบความรู้ การสัมภาษณ์แบบเข้มข้น เพื่อที่จะมั่นใจว่าเป็นครูที่มีคุณภาพ
ที่ฟินแลนด์นั้น
เขามองว่าครูที่ดีไม่ใช่ว่าต้องมีความรู้เพียงอย่างเดียว
แต่จะต้องมีพรสวรรค์ และ มีความอยาก ความกระหายในการสอน
Gift and passion คือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ
เมื่อพ่อแม่เชื่อถือในตัวครู
พ่อแม่ก็จะไม่กล้าที่จะแทรกแซงการเรียนการสอน
คุณครูคณิตศาสตร์คนหนึ่งได้อีเมลคอมเพลนจากผู้ปกครองเฉลี่ย 5-6 อีเมล / เทอมเท่านั้น
เมื่อเทียบกับฝั่งอเมริกาแล้ว
คุณครูที่นั่นได้อีเมลจากผู้ปกครอง 5-6 อีเมล / วัน...!!!!!!!
6.Fewer classes = more breaks
"อยู่ในห้องเรียนน้อยลง = ได้เวลาเบรคมากขึ้น"
เด็กฟินนิชเรียนกันเฉลี่ย 3-4 คาบ / วัน
แถมระหว่างคาบเรียนยังมี break มากมาย
เพราะการ break มันได้ประโยชน์ทั้งครูทั้งนักเรียน
เด็กๆได้ผ่อนคลาย ได้ขยับร่างกาย ได้สูดอากาศนอกห้องเรียน ได้ "ย่อย" ในสิ่งที่เพิ่งเรียนมา
การได้ "พัก" บ่อยๆ จะทำให้สดชื่น สมองปลอดโปร่ง และ พร้อมที่จะเรียนต่อ
ส่วนครูก็ไปพักที่ห้องพักครู
ซึ่งเป็นที่ๆครูจะผ่อนคลาย จิบกาแฟ
คุยกับเพื่อนครู เตรียมการสอน หรือ พักผ่อนไปเรื่อยเปื่อย
บางโรงเรียนมีเก้าอี้นวดไฟฟ้าให้ครูได้ ชิล ชิล อีกต่างหาก...!!!!!!
7.Less testing = more learning
"สอบให้น้อยลง = เรียนรู้ให้มากขึ้น"
จะดีแค่ไหนหากไม่ต้องกังวลกับคะแนนสอบมากนัก ??
จะดีแค่ไหนหากค่าตอบแทนของครูไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการเรียนของ นร. ??
จะดีแค่ไหนหากการเรียนการสอนเป็นเรื่องของความสนุก ความกระหายใคร่รู้ ??
ครูชาวฟินนิชไม่ได้แบกรับความกดดันมากนัก
การคัดเลือกกันมาอย่างดีทำให้ครูได้รับความไว้วางใจ
และ ครูก็แค่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ
อยากสอนแบบไหน มีความคิดสน้างสรรค์อย่างไร ก็เอาให้เต็มที่เลย
สอนงานฝีมือ , งานไม้ , การบ้านการเรือน ควบคู่ไปกับการเรียนวิชาสามัญ ฯลฯ ...ได้ทั้งนั้น
8.Fewer topics = more depth
"เนื้อหาน้อยลง = ได้ความลึกเพิ่มขึ้น"
ในขณะที่ รร.ในอเมริกาใช้วิธีคิด more is more นั้น
พวกฟินนิชเขากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเลยก็ว่าได้
เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับการรู้ลึก มากกว่ารู้เยอะแต่ไม่รู้ลึก
การกำหนดเนื้อหาเยอะ
เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กเครียด
และ พอเครียดก็อาจจะเบื่อเรียนยอมแพ้ในที่สุด
ในขณะที่การลดเนื้อหาลง แต่ค่อยๆเรียนค่อยเป็นค่อยไปแบบให้รู้ลึกนั้นได้ประโยชน์กว่า
9.Less homework = more participation
"ลดการบ้านลง = ได้การมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น"
OECD ระบุว่า
เด็กฟินนิชมีการบ้านน้อยที่สุดในโลก
ค่าเฉลี่ยของการบ้านเด็กฟินนิชต่ำกว่าครึ่ง ชม./ วัน
และ ไม่มีการไปเรียนพิเศษนอกโรงเรียน
ส่วนใหญ่เด็กฟินนิชจะทำการบ้านเสร็จตั้งแต่ในชั้นเรียน
อีกทั้งครูเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำในชั้นเรียนนั่นก็เพียงพอแล้ว
เลยมักไม่ค่อยมีการบ้านกลับไปทำที่บ้านให้เป็นภาระกับเด็ก
10.Fewer students = more individual attention
"ลดเด็กให้น้อยลง = ได้การเอาใจใส่เพิ่มขึ้น"
อันนี้ตรงๆตัวเลย
เมื่อมีจำนวนเด็กน้อยลง
ครูก็สามารถดูแลได้อย่างเข้มข้นมากขึ้น
จะเรียน จะสอน อะไรกันก็คล่องตัวกว่าเด็กเยอะๆ
โดยเฉลี่ยแล้วคุณครูฟินนิชจะสอนเด็กไม่เกิน 20 คน / ชั้น
11.Less structure = more trust
"ลดโครงสร้างต่างๆลง = ได้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น"
การมีกฏ มีกรอบ มีโครงสร้างอะไรที่มากมาย
อาจจะเป็นอุปสรรคหนึ่งในการพัฒนาก็เป็นได้
เพราะหากเราแค่เชื่อมั่นในระบบแล้วล่ะก็ อาจไม่ต้องมีกรอบอะไรมากมายมาตีครอบไว้
สังคมฟินแลนด์เชื่อมั่นว่า รร.คัดเลือกครูที่ดี
โรงเรียนก็เชื่อมั่นว่าครูของตัวเองดี และ เปิดกว้างให้ครูสอนอย่างที่อยากสอน
พ่อแม่ก็เชื่อมั่นว่าเมื่อมีระบบที่ดีแล้วล่ะก็ ครูก็จะสอนลูกตัวเองได้อย่างมีคุณภาพ
ครูเองก็เชื่อมั่นในเด็กของตัวเองที่มีระบบมาช่วยประคองให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ
เด็กฟินนิชก็มีความเชื่อมั่นในตัวครูของพวกเขาว่าจะสามารถเค้นศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ออกมาได้
เมื่อทุกคนเชื่อมั่นในตัวระบบ ทุกอย่างเลยเดินไปแบบมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเทศที่มีวิสัยทัศน์
Less is more อาจได้ผลตามที่ต้องการ
แต่สำหรับประเทศที่วิสัยทัศน์อยู่ไม่เกินหัวแม่เท้า Less is more อาจจะยิ่งพาให้ลงเหวก็เป็นได้
ฟินแลนด์ทำสำเร็จ
พวกเขาพา "เด็กเก่ง" และ "เด็กไม่เก่ง" เดินไปพร้อมๆกัน
พวกเขาสามารถลดช่องว่างของเด็กทั้งสองกลุ่มนี้จนเหลือแคบลง
เด็กเก่ง และ เด็กไม่เก่ง ต่างก็มีพื้นที่ในโรงเรียน ในสังคม
พวกเขาไม่ "ทิ้งใครไว้ข้างหลัง".....!!!!!!!!
Cr : https://fillingmymap.com/2015/04/15/11-ways-finlands-education-system-shows-us-that-less-is-more/
จ่าพิเชษฐ์