งานวันเกิดของแม่
บางคนบอกว่าแม่รักลูกเท่ากันทุกคน ฉันคิดว่าจริงและไม่จริงแล้วแต่กรณี แต่ฉันแน่ใจว่าฉันเป็นลูกสาวที่แม่รักมากที่สุดในบรรดาลูกทั้งสามคน อาจเพราะฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวนี้ก็เป็นได้
แต่นั่นไม่สำคัญเท่าไรนัก เพราะพี่ชายและน้องชายของฉันไม่ได้สนใจเปรียบเทียบระดับความรักของแม่ รู้ว่าแม่รักเราและเราก็รักท่าน เท่านี้ก็ดีใจมีความสุขมากมาย เราทั้งสามคนต่างรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างดี เท่าที่ครอบครัวดีมีความสุขครอบครัวหนึ่งจะเป็นได้
โดยเฉพาะวันที่พิเศษเช่นวันนี้
วันคล้ายวันเกิดของแม่
ทุกคนไม่ว่าจะยุ่งยากลำบากห่างไกลเพียงใด แต่พวกเราจะมารวมพลกัน ที่บ้านของแม่เสมอไม่ขาดขาดแม้แต่ปีเดียว
ยกเว้นคุณพ่อ...ผู้จากพวกเราไปนานแล้วเพราะปัญหาแบบพวกผู้ใหญ่หลายๆคู่ชอบทำกันทุก ยุคทุกสมัย ไม่มีวันที่คุณพ่อกับคุณแม่จะมาร่วมงาน หรือมาสถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน พรมแดนเย็นชาไร้สภาพแสนเยือกเย็นจนน่ากลัวชนิดหนึ่งแผ่ม่านปีกกั้นกางขวางทางให้พวกท่านห่างหายไปจากกัน
พวกเราสามพี่น้องตกแต่งบ้านให้สวยงาม พี่ชายคนโตดูจะมีหัวศิลปะในทางตกแต่งมากกว่าใคร ถึงกระนั้นมันก็ดูไม่ค่อยเข้าท่านักเพราะเขามีความคิดแปลกแหวกแนวเสมอ ในสายตามุ่งมั่นหลังแว่นตาหนาเตอะ ส่วนน้องชายจอมพูดมากไม่ได้พยายามทำอะไรมากไปกว่าการเดินไปมา และใช้คำพูดนำหน้าการกระทำเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้บ้านของเราไม่เงียบจนเกินไป
ตัวฉันเองก็ทำอาหารง่ายๆแบบเดิมๆอย่างที่ผ่านมาทุกปี ขนมเค้กรสเดิม และเทียนไขจำนวนเท่ากับวันเกิดของแม่ จะมีก็เจ้าน้องชายตัวดีที่มักชิม ๆ ดูก่อนใครพร้อมด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เคยรื่นหูเลย
"เหมือนอาหารค้างปี ไม่มีการพัฒนา"
นั่นล่ะเป็นคำพูดของเขา ฉันได้แต่ยิ้มๆแบบไม่ถือสาหาความ และอีกอย่างฉันก็ไม่เคยแน่ใจในฝีมือทำอาหารของตัวเองเลยสักนิด
ความสุขในครอบครัว ในความหมายคนอื่นเป็นอย่างไรฉันไม่แน่ใจว่าจะหมายถึงอะไร แต่กับฉันแล้วหมายถึงการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกวันระหว่างพ่อแม่ลูก มีความรักความอาทรมีเวลาให้กันและกันเสมอ ช่วงเวลาสวยงามที่สุดนั้น คือช่วงที่ฉันอยู่ในวัยเด็ก กับหน้าที่ซึ่งดูเหมือนหนักหนาสาหัสเหลือ เกินคือการเรียนหนังสือ ภาพสวยงามที่สุดคือการได้เดินจูงแขนคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยกันตามสถานที่ต่างๆแต่ไม่ว่าเป็นแห่งหนตำบลใดก็จะอบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่นเสมอมา
แต่เหตุการณ์และเวลาอันโหดร้ายก็ได้กระชากภาพประทับใจและสวยงามจนเหลือเพียงความทรงจำไร้ตัวตน ที่ไม่มีวันหวนกลับมาเป็นจริงได้อีก พวกเราต่างแยกย้ายกันไปตามทางเส้นทางของแต่ละคน ทิ้งวัย ความสดใส และรอยยิ้มบริสุทธิ์ มาเป็นการดิ้นรนต่อสู้กับการดำรงชีวิตให้อยู่ได้ในกระแสสังคมเชี่ยวกราก
ถึงกระนั้น ทุกๆปี ในวันเกิดของคุณแม่ พวกเราจะกลับมาบ้านนี้เสมอ บ้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความทรงจำมากมาย พวกเราไม่เคยลืมวันเกิดของแม่เลย มันเหมือนเป็นวันนัดพบกันของคนในครอบครัว อย่างน้อยก็ปีละครั้ง ที่เราจะสละทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นงาน หรือเรื่องส่วนตัวก็ตาม พวกเรารักแม่และมีเวลาส่วนนี้ให้แม่เสมอ
พี่ชายตกแต่งบ้านเรียบร้อยกว่าใคร แม้ว่าจะแทบไม่ต่างจากทุกปีที่ผ่านมาแต่ก็ไม่เลวนักเมื่อเทียบกับเวลาและความเชี่ยวชาญของเขา คืนนี้เรามีเทียนไขจุดสว่างวับแวมทั่วบ้านดูสวยงามได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ไม่หลากหลายแสงสีและเสียงอึกทึกครึกโครมของดนตรีและผู้คน
และต่อจากนี้ก็คือการรอคอยคนสำคัญ คุณแม่ของพวกเรา
เราเปิดประตูบ้านไว้เพราะรู้ว่าแม่มักจะถือข้าวของพะรุงพะรังมาฝากเสมอ
แต่วันนี้การรอคอยเหมือนจะเนิ่นนานกว่าปกติ เจ้าน้องชายเริ่มกระสับกระส่าย
"หรือว่าแม่จะลืม" เสียงบ่นของน้องชายผู้ไม่เคยอยู่นิ่งทั้งความคิดและพฤติกรรม และถูกสำทับด้วยเสียงเรียบเฉยแต่เฉียบขาดอยู่ในทีของผู้เป็นพี่ชาย
"อย่าคิดมากน่า แม่ไม่เคยลืมวันเกิดของตัวเองหรอกน่า"
ใช่แล้ว ...แม่ไม่เคยลืมวันสำคัญ เพราะในที่สุดแม่ก็มา พร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนคุ้นเคย และอ้อมแขนอันอบอุ่นเท่าที่ความเป็นแม่จะให้ได้ แม่มาเงียบๆ คนเดียวเช่นทุกปี
ปีนี้แม่ดูแก่ไปบ้าง แต่สายตาของแม่ยังมีประกายเปี่ยมไปด้วยความสุขเมื่อเห็นพวกเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
จากนั้นบ้านที่ต่อนข้างสงบเงียบก็คึกคักขึ้นทันที พี่ชายเริ่มเปิดเพลงจากแผ่นเสียงที่แม่เตรียมมาให้ เพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าๆตัวโปรด สร้างความสนุกสนาน พร้อมกับเสียงหัวเราะเป็นระยะของเจ้าน้องชายผู้สนุกกับหุ่นยนต์ที่เพิ่งแกะ จากกล่องสลับกับการออกมาเต้นโชว์ลีลายึกยักด้วยท่าทางตลกอุบาทว์แบบห่ามๆ
ส่วนฉันได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ซึ่งฉันเองไม่เคยละทิ้งนิสัยชอบกอดตุ๊กตาก่อนนอนเสมอ แม้จะมีอายุเลยวัยเบญจเพสแล้วก็ตาม และคืนนั้นก็เป็นคืนที่ประทับใจและมีความสุขสำหรับทุกคน ใช่แล้ว....พวกเราจะกลับมาอีกครั้งในปีหน้า
สายลมยามดึกเย็นยะเยือก หนุ่มใหญ่ท่าทางยังแข็งแรงขยับตัวลุกขึ้นจากเบาะนั่งรถยนต์เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของภรรยาที่กำลังเดินออกจากบ้าน เขาไม่ได้รำคาญเดือดร้อนอะไรกับภารกิจที่ได้รับการขอร้องเป็นพิเศษเพียงปีละครั้ง ...ในวันคล้ายวันเกิดของภรรยาคู่ชีวิต ซึ่งอยู่กินกันมาเกือบสิบปี ทุกคืนวันเกิดของเธอ ไม่มีงานเลี้ยงสังสรรค์หรูหราตามห้องอาหารภัตตาคารใหญ่โต แต่เป็นการพาภรรยาและข้าวของต่างๆ กลับมายังบ้านหลังเก่าของเธอ บ้านซึ่งเคยอยู่กับลูกๆและสามีคนก่อน เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่เขาก็รักเธอมากพอจะยินยอมทำตามด้วยความเต็มใจ
ส่วนเขามีหน้าที่รออยู่ในรถเท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวครอบครัวดั้งเดิมของภรรยา
"เรียบร้อยดีไหม" เขาถามด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องถามเพราะสีหน้าท่าทางฉายแววความสุขปนเศร้าของอีกฝ่ายชัดเจนจนแทบไม่ต้องมีข้อสงสัยอันใด
"พวกเขาเป็นเด็กดี” เธอตอบก่อนหันไปมองตัวบ้านที่กำลังถูกม่านแห่งความมืดโอบอุ้ม
ใช่แล้ว... ลูกๆ มักเป็นเด็กในสายตาของแม่เสมอ ไม่ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
ขณะกำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอเหมือนมองเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนเดินดุ่ม ๆ ออกไปบนถนนอันเงียบเชียบด้วยท่าทางอันคุ้นเคย แต่อาจเป็นเพราะสายตาอันพร่ามัวก็ได้ ในยามค่ำคืนการถูกหลอกด้วยความรู้สึกของตัวเองไม่น่าแปลกใจอะไรเลย แต่เมื่อมองดูอีกครั้งก็ยังเห็นหลังไว ๆ ของชายยามวิกาลชัดเจน ในแสงหม่นมัวของไฟฟ้าข้างทาง ท่าทางแบบนั้น เธอจำได้เสมอแม้จะผ่านคืนวันมายาวนานก็ตาม
“คุณคะ..”
เธอกระซิบฝากไปกับสายลมเย็น
“ปีหน้าคุณจะเข้าไปร่วมงานกับเราก็ได้นะคะ....”
ไม่มีคำตอบอะไรมากไปกว่าการหยุดเดิน แล้วหันมามองเหมือนจะรับรู้น้ำเสียงลดร่องรอยแห่งความบาดหมาง สีหน้าอยู่ในการแรเงาด้วยความมืดทำให้มองไม่ถนัด แต่เธอก็เดาได้ว่าใครคนนั้นกำลังยิ้มเศร้าๆ เป็นการตอบรับคำเชิญชวนครั้งแรก... ในหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะเลือนรางจางหายไปกับอากาศธาตุ หายไปต่อหน้าต่อตาราวมายา
เหมือนกับลูกทั้งสามคนที่เพิ่งเลือนรางจางหายไปเมื่อครู่นี้เองหลังเลิกงาน ลูกทั้งสามซึ่งเสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อนขณะพากันเดินทางเดินทางมาวันเกิดของผู้เป็นแม่
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความรักอาจสามารถสร้างปาฏิหาริย์บางอย่างได้ พวกเขายังเป็นลูกที่ดี มาร่วมงานวันเกิดของแม่เสมอเป็นประจำทุกปี แม้จะตายไปแล้วก็ตาม และปีหน้า
งานวันเกิดคงครึกครื้นเป็นพิเศษ...เพราะคุณพ่อของลูกๆ จะมาร่วมงานด้วยเป็นครั้งแรก
หลังจากที่เขาเสียชีวิตได้ไม่กี่เดือนมานี่เอง
จบแล้วครับ
ขอบคุณมิตรรักเพลงเพลงที่ให้กำลังใจหลายๆเด้อ^^
วันเกิดของคุณแม่
บางคนบอกว่าแม่รักลูกเท่ากันทุกคน ฉันคิดว่าจริงและไม่จริงแล้วแต่กรณี แต่ฉันแน่ใจว่าฉันเป็นลูกสาวที่แม่รักมากที่สุดในบรรดาลูกทั้งสามคน อาจเพราะฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวนี้ก็เป็นได้
แต่นั่นไม่สำคัญเท่าไรนัก เพราะพี่ชายและน้องชายของฉันไม่ได้สนใจเปรียบเทียบระดับความรักของแม่ รู้ว่าแม่รักเราและเราก็รักท่าน เท่านี้ก็ดีใจมีความสุขมากมาย เราทั้งสามคนต่างรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างดี เท่าที่ครอบครัวดีมีความสุขครอบครัวหนึ่งจะเป็นได้
โดยเฉพาะวันที่พิเศษเช่นวันนี้
วันคล้ายวันเกิดของแม่
ทุกคนไม่ว่าจะยุ่งยากลำบากห่างไกลเพียงใด แต่พวกเราจะมารวมพลกัน ที่บ้านของแม่เสมอไม่ขาดขาดแม้แต่ปีเดียว
ยกเว้นคุณพ่อ...ผู้จากพวกเราไปนานแล้วเพราะปัญหาแบบพวกผู้ใหญ่หลายๆคู่ชอบทำกันทุก ยุคทุกสมัย ไม่มีวันที่คุณพ่อกับคุณแม่จะมาร่วมงาน หรือมาสถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน พรมแดนเย็นชาไร้สภาพแสนเยือกเย็นจนน่ากลัวชนิดหนึ่งแผ่ม่านปีกกั้นกางขวางทางให้พวกท่านห่างหายไปจากกัน
พวกเราสามพี่น้องตกแต่งบ้านให้สวยงาม พี่ชายคนโตดูจะมีหัวศิลปะในทางตกแต่งมากกว่าใคร ถึงกระนั้นมันก็ดูไม่ค่อยเข้าท่านักเพราะเขามีความคิดแปลกแหวกแนวเสมอ ในสายตามุ่งมั่นหลังแว่นตาหนาเตอะ ส่วนน้องชายจอมพูดมากไม่ได้พยายามทำอะไรมากไปกว่าการเดินไปมา และใช้คำพูดนำหน้าการกระทำเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้บ้านของเราไม่เงียบจนเกินไป
ตัวฉันเองก็ทำอาหารง่ายๆแบบเดิมๆอย่างที่ผ่านมาทุกปี ขนมเค้กรสเดิม และเทียนไขจำนวนเท่ากับวันเกิดของแม่ จะมีก็เจ้าน้องชายตัวดีที่มักชิม ๆ ดูก่อนใครพร้อมด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เคยรื่นหูเลย
"เหมือนอาหารค้างปี ไม่มีการพัฒนา"
นั่นล่ะเป็นคำพูดของเขา ฉันได้แต่ยิ้มๆแบบไม่ถือสาหาความ และอีกอย่างฉันก็ไม่เคยแน่ใจในฝีมือทำอาหารของตัวเองเลยสักนิด
ความสุขในครอบครัว ในความหมายคนอื่นเป็นอย่างไรฉันไม่แน่ใจว่าจะหมายถึงอะไร แต่กับฉันแล้วหมายถึงการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกวันระหว่างพ่อแม่ลูก มีความรักความอาทรมีเวลาให้กันและกันเสมอ ช่วงเวลาสวยงามที่สุดนั้น คือช่วงที่ฉันอยู่ในวัยเด็ก กับหน้าที่ซึ่งดูเหมือนหนักหนาสาหัสเหลือ เกินคือการเรียนหนังสือ ภาพสวยงามที่สุดคือการได้เดินจูงแขนคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยกันตามสถานที่ต่างๆแต่ไม่ว่าเป็นแห่งหนตำบลใดก็จะอบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่นเสมอมา
แต่เหตุการณ์และเวลาอันโหดร้ายก็ได้กระชากภาพประทับใจและสวยงามจนเหลือเพียงความทรงจำไร้ตัวตน ที่ไม่มีวันหวนกลับมาเป็นจริงได้อีก พวกเราต่างแยกย้ายกันไปตามทางเส้นทางของแต่ละคน ทิ้งวัย ความสดใส และรอยยิ้มบริสุทธิ์ มาเป็นการดิ้นรนต่อสู้กับการดำรงชีวิตให้อยู่ได้ในกระแสสังคมเชี่ยวกราก
ถึงกระนั้น ทุกๆปี ในวันเกิดของคุณแม่ พวกเราจะกลับมาบ้านนี้เสมอ บ้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความทรงจำมากมาย พวกเราไม่เคยลืมวันเกิดของแม่เลย มันเหมือนเป็นวันนัดพบกันของคนในครอบครัว อย่างน้อยก็ปีละครั้ง ที่เราจะสละทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นงาน หรือเรื่องส่วนตัวก็ตาม พวกเรารักแม่และมีเวลาส่วนนี้ให้แม่เสมอ
พี่ชายตกแต่งบ้านเรียบร้อยกว่าใคร แม้ว่าจะแทบไม่ต่างจากทุกปีที่ผ่านมาแต่ก็ไม่เลวนักเมื่อเทียบกับเวลาและความเชี่ยวชาญของเขา คืนนี้เรามีเทียนไขจุดสว่างวับแวมทั่วบ้านดูสวยงามได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ไม่หลากหลายแสงสีและเสียงอึกทึกครึกโครมของดนตรีและผู้คน
และต่อจากนี้ก็คือการรอคอยคนสำคัญ คุณแม่ของพวกเรา
เราเปิดประตูบ้านไว้เพราะรู้ว่าแม่มักจะถือข้าวของพะรุงพะรังมาฝากเสมอ
แต่วันนี้การรอคอยเหมือนจะเนิ่นนานกว่าปกติ เจ้าน้องชายเริ่มกระสับกระส่าย
"หรือว่าแม่จะลืม" เสียงบ่นของน้องชายผู้ไม่เคยอยู่นิ่งทั้งความคิดและพฤติกรรม และถูกสำทับด้วยเสียงเรียบเฉยแต่เฉียบขาดอยู่ในทีของผู้เป็นพี่ชาย
"อย่าคิดมากน่า แม่ไม่เคยลืมวันเกิดของตัวเองหรอกน่า"
ใช่แล้ว ...แม่ไม่เคยลืมวันสำคัญ เพราะในที่สุดแม่ก็มา พร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนคุ้นเคย และอ้อมแขนอันอบอุ่นเท่าที่ความเป็นแม่จะให้ได้ แม่มาเงียบๆ คนเดียวเช่นทุกปี
ปีนี้แม่ดูแก่ไปบ้าง แต่สายตาของแม่ยังมีประกายเปี่ยมไปด้วยความสุขเมื่อเห็นพวกเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
จากนั้นบ้านที่ต่อนข้างสงบเงียบก็คึกคักขึ้นทันที พี่ชายเริ่มเปิดเพลงจากแผ่นเสียงที่แม่เตรียมมาให้ เพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าๆตัวโปรด สร้างความสนุกสนาน พร้อมกับเสียงหัวเราะเป็นระยะของเจ้าน้องชายผู้สนุกกับหุ่นยนต์ที่เพิ่งแกะ จากกล่องสลับกับการออกมาเต้นโชว์ลีลายึกยักด้วยท่าทางตลกอุบาทว์แบบห่ามๆ
ส่วนฉันได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ซึ่งฉันเองไม่เคยละทิ้งนิสัยชอบกอดตุ๊กตาก่อนนอนเสมอ แม้จะมีอายุเลยวัยเบญจเพสแล้วก็ตาม และคืนนั้นก็เป็นคืนที่ประทับใจและมีความสุขสำหรับทุกคน ใช่แล้ว....พวกเราจะกลับมาอีกครั้งในปีหน้า
สายลมยามดึกเย็นยะเยือก หนุ่มใหญ่ท่าทางยังแข็งแรงขยับตัวลุกขึ้นจากเบาะนั่งรถยนต์เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของภรรยาที่กำลังเดินออกจากบ้าน เขาไม่ได้รำคาญเดือดร้อนอะไรกับภารกิจที่ได้รับการขอร้องเป็นพิเศษเพียงปีละครั้ง ...ในวันคล้ายวันเกิดของภรรยาคู่ชีวิต ซึ่งอยู่กินกันมาเกือบสิบปี ทุกคืนวันเกิดของเธอ ไม่มีงานเลี้ยงสังสรรค์หรูหราตามห้องอาหารภัตตาคารใหญ่โต แต่เป็นการพาภรรยาและข้าวของต่างๆ กลับมายังบ้านหลังเก่าของเธอ บ้านซึ่งเคยอยู่กับลูกๆและสามีคนก่อน เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่เขาก็รักเธอมากพอจะยินยอมทำตามด้วยความเต็มใจ
ส่วนเขามีหน้าที่รออยู่ในรถเท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวครอบครัวดั้งเดิมของภรรยา
"เรียบร้อยดีไหม" เขาถามด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องถามเพราะสีหน้าท่าทางฉายแววความสุขปนเศร้าของอีกฝ่ายชัดเจนจนแทบไม่ต้องมีข้อสงสัยอันใด
"พวกเขาเป็นเด็กดี” เธอตอบก่อนหันไปมองตัวบ้านที่กำลังถูกม่านแห่งความมืดโอบอุ้ม
ใช่แล้ว... ลูกๆ มักเป็นเด็กในสายตาของแม่เสมอ ไม่ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
ขณะกำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอเหมือนมองเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนเดินดุ่ม ๆ ออกไปบนถนนอันเงียบเชียบด้วยท่าทางอันคุ้นเคย แต่อาจเป็นเพราะสายตาอันพร่ามัวก็ได้ ในยามค่ำคืนการถูกหลอกด้วยความรู้สึกของตัวเองไม่น่าแปลกใจอะไรเลย แต่เมื่อมองดูอีกครั้งก็ยังเห็นหลังไว ๆ ของชายยามวิกาลชัดเจน ในแสงหม่นมัวของไฟฟ้าข้างทาง ท่าทางแบบนั้น เธอจำได้เสมอแม้จะผ่านคืนวันมายาวนานก็ตาม
“คุณคะ..”
เธอกระซิบฝากไปกับสายลมเย็น
“ปีหน้าคุณจะเข้าไปร่วมงานกับเราก็ได้นะคะ....”
ไม่มีคำตอบอะไรมากไปกว่าการหยุดเดิน แล้วหันมามองเหมือนจะรับรู้น้ำเสียงลดร่องรอยแห่งความบาดหมาง สีหน้าอยู่ในการแรเงาด้วยความมืดทำให้มองไม่ถนัด แต่เธอก็เดาได้ว่าใครคนนั้นกำลังยิ้มเศร้าๆ เป็นการตอบรับคำเชิญชวนครั้งแรก... ในหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะเลือนรางจางหายไปกับอากาศธาตุ หายไปต่อหน้าต่อตาราวมายา
เหมือนกับลูกทั้งสามคนที่เพิ่งเลือนรางจางหายไปเมื่อครู่นี้เองหลังเลิกงาน ลูกทั้งสามซึ่งเสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อนขณะพากันเดินทางเดินทางมาวันเกิดของผู้เป็นแม่
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความรักอาจสามารถสร้างปาฏิหาริย์บางอย่างได้ พวกเขายังเป็นลูกที่ดี มาร่วมงานวันเกิดของแม่เสมอเป็นประจำทุกปี แม้จะตายไปแล้วก็ตาม และปีหน้า งานวันเกิดคงครึกครื้นเป็นพิเศษ...เพราะคุณพ่อของลูกๆ จะมาร่วมงานด้วยเป็นครั้งแรก
หลังจากที่เขาเสียชีวิตได้ไม่กี่เดือนมานี่เอง
จบแล้วครับ
ขอบคุณมิตรรักเพลงเพลงที่ให้กำลังใจหลายๆเด้อ^^