สำนวนที่ว่า "ยิ่งไล่ตามยิ่งห่างไกล ยิ่งไม่วิ่งหนียิ่งเข้ามา" มันเป็นความจริงเสมอไปหรือไม่ ?

เคยได้ยินสำนวนที่ว่า "ยิ่งไล่ตามยิ่งห่างไกล ยิ่งวิ่งหนียิ่งเข้ามา" จริงๆแล้วมันเป็นสำนวนที่ตีแผ่สภาพสังคมการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้ได้ดีมาก คือคนเราทุกวันนี้มักจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ห่างไกลสิ่งที่ยากต่อการจะได้มา มากกว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและง่ายต่อการพบเจอเสมอ พูดง่ายๆคือเราให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าคนที่เป็นของตายเสมอนั่นเอง ตัวอย่างที่ชัดเจนก็มีมากมาย เช่นคนที่ติดเพื่อนติดแฟนจนลืมพ่อแม่ คนที่มีแฟนแต่ยังสนใจคนอื่นมากกว่า คนที่เมินเฉยคนดีที่ใกล้ตัวแต่กลับไปหลงคนแย่ๆที่เคยไม่ใส่ใจ

มันอาจจะเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่คนเรานั้นเกิดมาพร้อมความโลภไม่เคยรู้จักพอ และมักจะใขว่คว้าหาความแปลกใหม่ในชีวิตอยู่เสมอ อะไรที่มันหามาได้ง่ายๆ อะไรที่มันใกล้ตัวเกินไป เช่น อากาศหายใจ แสงแดด น้ำจืด เรามักจะเห็นว่าเป็นของไร้ค่า ไร้ความสำคัญ ถึงแม้ว่าหากวันไหนที่เราขาดมันขึ้นมาเราอาจจะอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นปัจจัยพื้นฐานในชีวิตของมนุษย์ทุกคน แต่เพราะเราอยู่ในที่ที่มีสิ่งเหล่านี้อย่างเหลือกินเหลือใช้ เราจึงให้ความสำคัญกับมันน้อยกว่าเศษกระดาษหรือเศษแร่ ที่เรียกว่าเงินทอง ที่ต่อให้ขาดไปคนเราก็อยู่ได้ ต่างกับในที่ๆห่างไกลบางประเทศ ที่ผู้คนเห็นค่าของน้ำมากกว่าเงินทอง

ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ของคน เรามักจะมองเห็นคนที่ห่างไกลและยากจะไขว้คว้ามากกว่าคนใกล้ตัวและพร้อมจะอยู่กับเราเสมอ โดยบางทีคนเราก็มักจะมองข้ามสิ่งที่เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์คือความรักและความภักดีไป เพียงเพื่อต้องการสนองความต้องการบางอย่างที่ตัวเองขาดไป เชื่อว่าหลายๆคนเราจะต้องเคยมีโมเมนต์ที่เป็นฝ่ายทิ้งใครสักคนเพราะว่าเขาดีเกินไปแต่ไม่น่าสนใจ เพื่อที่จะต้องมารู้ในภายหลังว่าเลือกคนผิด และก็มีหลายๆคนที่ต้องเป็นฝ่ายที่ถูกทิ้งเสียเองเพราะว่าเราดีกับเขาเกินไปจนกลายเป็นของตาย สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ต่างกัน เพียงเพราะเรากำลังหาคนที่ใช่โดยยึดเอาทิฐิผิดๆที่เราสร้างขึ้นมาเป็นที่ตั้ง

มันมีหลายคู่เหมือนกันแหละที่เริ่มจากฝ่ายหนึ่งไม่เห็นอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในสายตามาก่อนเลย ทั้งที่ทั้งสองคนนั้นมีอะไรคล้ายๆกันอยู่มาก มีความคิดคล้ายๆกัน ชอบอะไรหลายอย่างเหมือนๆกัน เพียงแต่อีกฝ่ายไม่เคยสนใจ ไม่เคยมองตรงจุดนั้น เลือกที่จะมองข้ามไปหาคนที่ถูกใจ แต่ แต่พอมันมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น กลับพบว่าคนที่ใช่นั้นแท้จริงแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล เพียงแต่ถูกทิฐิในใจเราบังเอาไว้ก็แค่นั้น

ส่วนตัวผมนั้นมองว่าความรักที่ดี มันไม่ควรจะเป็นความรักที่ใครคนใดคนหนึ่งต้องไล่ตามใครอีกคนหนึ่งตลอดไป แต่เป็นความรักที่คนสองคนหันหน้าและพร้อมใจกันเดินเข้ามาหากันคนละก้าวมากกว่า อยากจะฝากถึงคนที่กำลังคิดที่จะวิ่งตามใครสักคนอยู่ในตอนนี้ ว่าถ้าวิ่งแล้วเหนื่อยก็หยุดเถอะนะ ลองหันกลับหลังแล้วมองหาคนที่เขาอยู่ข้างหลังดูสักนิด คนๆนั้นอาจจะเป็นคนที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณก็ได้ เพียงแต่คุณไม่เคยรู้ เพราะคุณเลือกที่จะหันหลังวิ่งหนีเขามาตลอดก็เท่านั้นเอง ไม่หันมามองก็คงไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ก็เปิดใจรอไว้รับคนใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ ดีกว่าเอาแต่เดินตามคนที่เขาไม่เห็นค่า ไม่เห็นความสำคัญของคุณ เดินไปก็เหนื่อยเปล่า ถ้าสักวันหนึ่งเขาคิดได้ขึ้นมาเขาจะเดินกลับมาหาคุณเองนั่นแหละ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่