อันดับ 3 เป้าหมายที่แสนยากแต่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ในฟุตบอลโลกรอบ 12 ทีม

กระทู้สนทนา
จริงๆจะแนะนำตั้งแต่ก่อนเริ่มฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย  แต่มีคนเตือนว่าให้ดูสักสองนัดก่อน  เผื่อให้ทีมชาติไทยได้รู้ข้อผิดพลาด แล้วจึงค่อยแนะนำ ส่วนคนที่เขาเตือนผมเป็นคนอาบน้ำร้อนมาก่อนผมเลยต้องเชื่อเขา เท่าที่ดูนัดแรกถือว่าทำได้ดี สามารถสู้กับซาอุได้อย่างสูสี เพียงแต่ขาดดวงบวกกับการเล่นกับเจ้าบ้านทำให้เล่นยาก ส่วนนัดที่สอง ศักยภาพเราสู้ไม่ได้จริงๆ ของญี่ปุ่นคือเกรด B+ ของเราเพิ่งขึ้นมาก็แค่เกรด c- ประกอบกับขาด สารัช  อยู่เย็น ก็มีส่วนด้วยทำให้กองกลางยุบไปเลย ได้แต่โดนบุกพับสนามอย่างเดียว เรามาวิเคราะห์ทั้งสองนัดก่อนนะครับ

นัดแรกกับซาอุดิอาระเบีย
    ถือว่าพี่ซิโก้ทำการบ้านมาดีมาก งานละเอียดดีครับ สามารถสู้กับซาอุได้อย่างสูสี ขอเรียกพี่นะครับ จะได้ง่ายในการพิมพ์ ฮ่าๆๆ มีสิทธิ์ได้จุดโทษจริงๆถ้าเล่นในบ้านเราจากพี่มุ้ย แต่เล่นในบ้านเขาต้องทำใจ ซาอุได้แต่เปิดด้านข้างอย่างเดียวกองกลางของเราสามารถคุมพื้นที่ได้ อย่างน้อยความมั่นใจในที่สามารถยันได้ 0 – 0 ในครึ่งแรกมีส่วนช่วยการเล่นในครึ่งหลังกล้าที่จะเล่นมากขึ้น ถ้าไม่เสียจุดโทษแบบน่ากังขาเรามีสิทธิ์ได้ 1 แต้ม จากซาอุ แต่ถือว่ามันผ่านไปแล้วครับคงไม่ต้องพูดอะไรมากอีก

นัดสองกับญี่ปุ่น
    อืม......  สู้ไม้ได้จริง  ต้องพูดประโยคนี้ออกมา รูปเกมไม่สามารถกดดันเขาได้เลยได้แต่ตั้งรับอย่างเดียวถ้าหากเขาไม่ผ่อนเกมในครึ่งหลัง  เราคงไม่มีโอกาสไปบุกในแดนเขา แต่ปีโป้ก็ได้พิสูจน์ตนเองว่ามีดีพอจะเล่นทีมชาติได้ ขอแค่ฝึกฝนทักษะในด้านต่างๆ ทั้งการตัดสินใจ สมาธิ ประสบการณ์ น่าจะมีประโยชน์กับทีมชาติครับ ภาพรวมทั้งหมดของเกมนี้คือ “ความกลัว” ทำไมถึงต้องพูดประโยคนี้ออกมาเพราะสายตาของนักเตะไทยครับ เมื่อมีความกลัวอยู่ในใจย่อมมีสิทธิ์พ่ายแพ้ครับ เหมือนคำพูดในนิยายจีนที่บอก “นกหวาดกลัวเกาทัณฑ์” ชัดเจนนะครับ เท่าที่เห็นก็มีไม่กี่คนที่กล้าเล่นกับญี่ปุ่น คือ สิโรจน์, เจ ชนาธิป, มุ้ย ธีรศิลป์ และ ทริสตอง โด เท่าที่เห็นนะครับ นอกนั้นก็หมดความมั่นใจไปแล้ว ยิ่งขาดสารัชก็มีส่วนแต่ไม่มากเท่าไร ดีแล้วครับที่แพ้จะได้รู้จุดอ่อนของตนเอง ขนาดคุณยายอายุ 70-80 ปี ยังบอกเลยว่าสู้ไม่ได้คนละชั้นกัน พี่แท็กซี่เขาเป็นคนเล่าให้ฟังครับ เคยคุยกับพี่แท็กซี่ที่โดยสารไป ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน เป็นคนแถวบ้านแก บ้าบอลมาก เฮ้อๆ แทนที่จะไปเข้าวัดทำบุญ ดันติดบอลซะงั้น ติดตามทุกนัด ฟังแกบ่นไปนะครับ แต่นี้เป็นความจริงต้องยอมรับครับ

ส่วนตรงนี้จะเป็นคำแนะนำครับ

ผมแนะนำขอนักเตะสองคนนี้นะครับที่จะมาช่วยในทีมชาติ เป็นพวกเสียแต่มีดี หรือ เหล้าเก่าในขวดใหม่
โก้ ดัสกร  ทองเหลา และ ลีซอ  ธีรเทพ  วิโนทัย
ทำไมต้องสองคนนี้ล่ะ อ่านให้จบแล้วค่อยด่า เอาสองคนนี้มาทำไมว่ะ คนที่มาอ่านคงจะมาด่าประมาณนี้ โดยเฉพาะกองเชียร์รุ่นเดี๋ยวกับสองคนนี้ ขอเริ่มต้นด้วยลีซอ ก่อนนะครับ

ลีซอ  ธีรเทพ  วิโนทัย
     อืม....  ชือเสียเขาเยอะมากเลยนะ ทั้งขี้แอ๊ด อารมณ์ร้อน โผงผาง สุดโต่งบ้าดีเดือด บางวันก็เทพ บางก็หมา
เหล่หญิง เป็นต้น เยอะดีนะเนี่ย แต่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นน่าจะควบคุมอารมณ์ได้แล้วนะ สิ่งที่ลีซอมีแต่กองหน้าไทยชุดนี้ยังไม่มี ข้อยกเว้นสองคนนี้นะ พี่มุ้ย กับ ปีโป้  ส่วนปีโป้นี่ให้ไปดูนัดญี่ปุ่นนะครับจะเข้าใจดี
ความกล้าในการตัดสินใจครับ ต้องไปดูนัดที่ลีซอยิงที่บ้านญี่ปุ่นครับ ลูกยิงลูกนั้นสุดยอดจริงๆขอยอมรับ แม้จะไม่ได้ตั้งใจยิง เคยฟังเขาสัมภาษณ์ทางทีวี เป็นการยิงแถวๆหัวกะโหลก จังหวะที่โกลออกมายืนตรงกรอบในด้วย แล้วลีซอเห็นจึงยิงทันที นี้คือสัญชาตญาณของกองหน้าครับ ผมต้องการแบบนี้ครับ กล้าเลี้ยง กล้าเสี่ยง กล้ายิง มีทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว การยิงที่เฉียบขาด พอมั้ยที่จะติดทีมชาติ ถ้าพี่เขาได้ลงอย่างน้อยจะช่วยพี่มุ้ยได้เยอะ  ทำให้กองหน้ามีความน่ากลัวมากขึ้น

โก้  ดัสกร  ทองเหลา
    บางทีผมเรียก  ดัสโก้  ทองม้วน  ไม่รู้คนอื่นเรียกแบบผมหรือเปล่า เล่นไปเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เขาใหม่นี่แย่มากเลย ฮ่าๆๆ ชือเสียก็พอๆกันเลย คลึงแล้วม้วน ม้วนแล้วคลึง ชอบส่งหลังเวลาคิดไม่ออก อารมณ์ศิลปิน ทัศนคติในการเล่นบอลแย่ ตุกติก เจ้าเล่ห์ ไม่กลัวใคร แค่นี้พอ อืม....เนาะ สิ่งที่เขามี คือ ประสบการณ์ ความเก๋า การอ่านเกมทีมคู่แข่ง ถ้าหากเจอผู้เล่นรุม 2-3 คน เขาน่าจะเอาตัวรอดได้ ทำให้เกมตรงกลางเคลื่อนที่ต่อไปได้ ถ้าเขาปรับพฤติกรรม ปรับทัศนคติในการเล่นบอล น่าจะช่วยทีมชาติไทยได้ พอที่จะไม่ให้กองกลางไทยไม่เพลี่ยงพล้ำ เป็นตัวค้ำให้รุ่นน้องได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ด้วยอายุพอๆกับลีซอ น่าจะควบคุมตนเองได้ ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจอีก

ต่อไปเป็นกลยุทธที่จะให้พี่ซิโก้ ไปปรับใช้ดูครับ
    
เปรียบเทียบการทำสงคราม หากเจอกองทัพที่แข็งแกร่ง หลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรง แต่ใช้จุดเด่นในการโจมตีข้าศึก บวกกับใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น คราวที่พระเจ้านันทบุเรงยกทัพมาล้อมอยุธยา สิ่งที่พระนเรศทำคือ รีบเก็บเสบียง ตั้งรับในพระนคร แต่งกองโจรปล้นค่ายพระเจ้านันบุเรง ทั้งเผาเสบียงฝ่ายตรงข้าม เข้าตีค่ายร่วมกับทหารของพระองค์เองเพื่อทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับทหารอยุธยาไม่ให้เกิดความหวาดกลัว แต่สร้างความหวาดระแวงและความหวาดกลัวให้ทหารพม่าแทน จนพระเจ้านันทบุเรงต้องถอยทัพกลับไปก่อนฤดูน้ำหลากจะมาถึง

หรือวิธีรับมือน้ำหลากน้ำท่วมสิ่งที่จะทำก็คือ สร้างฝ้าย ทำนบ แก้มลิง รับมือกับน้ำ ขุดลอก คูคลอง หากน้ำมามากก็สร้างเขื่อน หากเขื่อนรับไม่ไหว ก็ขุดคลองเพิ่มเติม8-9สาย เพื่อให้น้ำได้มีที่ไป นี่คือวิธีการรับมือกับน้ำ

ถ้าหากปิดจุดอ่อนไม่ได้ก็ให้ดึงจุดเด่นออกมาให้ถึงขีดสุด ยกตัวอย่างให้เห็นจากเรื่อง KUNG FU PANDA 3
“เปลี่ยนตัวข้าให้เป็นตัวเจ้า เปลี่ยนตัวเจ้าให้เป็นตัวข้า”
นี้คือสิ่งที่ซิฝูได้บอกอาโปไว้ ตอนแรกๆอาโปยังไม่เข้าใจ จนเมื่อมาถึงหมู่บ้านแพนด้า จึงเข้าใจนั้นคือ สอนในสิ่งที่เขาถนัดแล้วนำมาใช้เพื่อรับมือกับกองทัพหยกของแม่ทัพไค

จุดเด่นของทีมชาติไทยคืออะไรก็ต้องดึงออกมาใช้ให้ถึงขีดสุด อย่าฝืนทำในสิ่งที่ไม่ถนัด หากเจอทีมมีระบบก็ใช้ความไร้ระบบเข้าปะทะ หากเจอกับความซับซ้อนให้ใช้ความทื่อด้านเข้าปะทะ ลองไปปรับใช้ดูนะครับ

หลักการของจีนคุตโดที่บรูซลีบัญญัติกล่าวว่า
“เมื่อน้ำเป็นของแข็งได้ น้ำก็ย่อมเป็นของเหลว”
รูปแบบของแผนการไม่ควรตายตัวมากเกินไป เคยมีคนกล่าวว่าอย่าเล่นตลกซ้ำสอง คือ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามจับทางได้

สิ่งที่ผมเห็นชัดในสายตาของนักฟุตบอลทีมชาติไทยตอนนี้คือ ความกลัว เห็นชัดในนัดเจอกับญี่ปุ่น
ขอยกคำพูดจากหนังเรื่องยีซุนชิน แม่ทัพคลื่นคำราม
“ความกลัวไม่เคยแบ่งเขาหรือเรามันส่งผลให้กับศัตรูได้เช่นกัน ถ้าหากเปลี่ยนความกลัวให้เป็นความกล้าก็จะส่งผลอย่างมหาศาล”
นี้คือคำพูดของแม่ทัพเรือยีซุนชิน อยู่ที่ว่านักเตะไทยจะเผชิญหน้ากับความกลัวอย่างไร

ถ้าหากอยากจะก้าวกระโดดโดยมีหลักยึดเกาะขอเสริมด้วยการฝึก “ขณิกสมาธิ” หรือ วิปัสสนากรรมฐาน จะช่วยในเรื่องสติ การคิดไวทำไว ถ้าจะฝึกเอาที่ง่ายที่สุด คือ การเดิน เช่น ขวาย่างหนอ ซ้ายหนอ แต่ถ้าจะใช้ชีวิตประจำวัน ก็ตัดคำว่าหนอออกไป คือ ขวาย่าง ซ้ายย่าง เอาจิตไปกำหนดที่เท้าเวลาเดิน อาจจะยากหน่อยในช่วงแรกๆ หรือจะฝึกโดยใช้แขน คือ ยกแขนขึ้นตั้งฉากกับพื้น แล้วพูดคำว่า คู้หนอ เหยียดหนอ ถ้าหากฝึกจนชำนาญก็ให้พูดในใจ ยกตัวอย่างแค่นี้ก่อน
ถ้าหากนักเตะไทยได้มาฝึกอาจจะโอดครวญกันว่า “ขอไปซ้อมบอลได้มั้ยพี่” มันต้องมีคนพูดออกมาบ้างแหละ ถ้าหากพี่ซิโก้สนใจให้ไปที่ จังหวัดนครนายก วัดธรรมจักร – พุทธวิหาร ลองไปฝึกดูได้ หรือไปขอคำปรึกษาจากหลวงพ่อที่วัดก็ได้ เผื่อจะทำให้นักเตะไทยพัฒนาการเล่นฟุตบอลที่ดีขึ้นโดยไม่เพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายตรงข้ามง่ายๆ นี้เป็นการช่วยทีมชาติทางอ้อมของผมครับ แต่ถ้าเข้าไปฝึกขอแนะนำอย่างหนึ่งว่า ทิ้งความเป็นตัวพี่ไป เข้าไปในฐานะคนธรรมดา ผมคงบอกเท่านี้ เพราะพี่ต้องพึ่งตนเองมากกว่าดวงหรือโชค ผมรู้สึกว่าความวุ่นวายอยู่รอบตัวพี่มากเกินไป น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ ไม่เหมือนตอนที่มาทำเป็นโค๊ชทีมชาติในช่วงแรกๆ ทั้งสายตาและน้ำเสียงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทีมชาติ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป บางทีพี่ต้องลองไปฝึกที่วัดนี้ดูเผื่อจะค้นหาคำตอบดูว่าอะไรคือสิ่งพี่ที่เปลี่ยนไป บางทีการหลบจากความวุ่นวายอาจจะเป็นการดีก็ได้ บางทีถ้าหากได้เข้าไปฝึกเสร็จแล้วกลับออกมา อาจจะมีความคิดใหม่ๆขึ้นมาใช้การพัฒนาฟุตบอลทีมชาติไทย

ถ้ามีคนมาถามผมว่า “คุณคิดยังไงกับซิโก้ เกียรติศักดิ์  เสนาเมือง” ชื่อ นามสกุล ถ้าสะกดผิดช่วยแก้ให้ด้วยนะครับ
ผมขอตอบ 2 ด้านนะครับ คือ  ด้านดี กับ ด้านเสีย
ด้านดี
มีความมุ่งมั่น มีความจริงใจ ละเอียดในการทำงาน มีความเป็นผู้นำ เป็นคนที่น่าเคารพนับถือ วางตัวดี เท่าที่ผมเห็นนะ
ด้านเสีย
มั่นใจมากเกินไปในบางครั้ง ทิฐิมานะบางครั้งมากไปหน่อย ขี้เก๊ก(คนข้างๆเขาบอกมา) อืมก็ใช้นะ ภาพลักษณ์ดีจนคนหมั่นไส้ บางครั้งไม่กล้าเสี่ยง เป็นคนประเภท ปลอดภัยไว้ก่อน พิมพ์เสร็จคงโดนพี่เขาไล่กระทืบแน่  แขวะซะเสียหาย เฮ้อๆๆๆ

ส่วนทำไมต้องเอา ลีซอ และ โก้ เข้ามาติดทีมชาติ เพื่อเข้ามาปิดจุดอ่อนครับ
กองหน้าเรายังขาดความแน่นอนในการยิงประตูครับ ส่วนกองกลางถ้าขาดตัวหลักจะรั่ว จึงต้องเอามาเสริมตรงนี้
ส่วนสองคนนี้จะเข้ากับระบบของพี่มั้ย อย่างพี่โก้ผมไม่ห่วงเพราะอยู่ทีมเมืองทอง น่าจะเข้ากับระบบของพี่ได้ ส่วนลีซอ คงใช้เวลาไม่นาน ด้วยประสบการณ์ของเขาด้วยครับ หากจะใช้งานเขาจงให้ความเชื่อใจ แต่ถ้าเป็นพี่โก้ต้องให้แนวทางกับเขาและให้อิสระในการเล่น เป็นการดึงศักยภาพของพี่โก้ออกมา อยู่ที่ว่าพี่ซิโก้จะให้เขาสองคนติดทีมชาติมั้ย อยู่ที่การตัดสินใจของพี่ซิโก้แล้วครับ ยังไงก็คงโดนด่าอยู่แล้วถ้าหากผมแนะนำให้สองคนนี้มาติดทีมชาติ ถ้าหากมีใครดีกว่าสองคนนี้ ก็แนะนำได้นะครับ ต้องขอโทษด้วยถ้าหากทำให้พี่สองคนเดือดร้อน ขอโทษจริงๆ เพราะพี่สองคนคงสำคัญในการได้อันดับ 3 ในการคัดฟุตบอลโลกผมถึงต้องพิมพ์ถึงพี่ทั้งสองคน

หากพี่ซิโก้ต้องการ 15-16 แต้มถ้าตามทฤษฎีต้องไม่แพ้มีแต่เสมอกับชนะ ต้องชนะในบ้าน 4 นัด 12 แต้ม เสมอในฐานะทีมเยือน 4 นัด 4 แต้ม ถึงจะได้อันดับ 3 ถึงจะมีโอกาสครับ ถ้าหากการพิมพ์ของผมทำให้ไม่ถูกใจใครก็ขออภัยมาตรงนี้ด้วย
สุดท้ายนี้ขอฝากประโยคนี้ครับ
“สำเร็จหรือล้มเหลว จงพยายามให้สุดความสามารถ”
ขอให้โชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่