จะขอเล่าจากประสบการณ์ จขกท. อย่างเดียวนะครับ ท่านไหนที่มีประสบการณ์แตกต่างก็เพิ่มเติมกันได้นะครับ
อันเนื่องจากเป็นเด็ก ตจว. เริ่มต้นนับ 1 กับลูกฟุตบอลสมัยนั้นเค้าเรียกกันว่า รุ่นจิ๋วพิเศษ จนถึง รุ่นจิ๋วสามัญ
ซึ่งเค้าจะกำหนดที่ความสูงของแต่ละคนครับ เมื่อถึงเวลาครูก็นำไปวัดส่วนสูง ในระดับประถมศึกษาล่ะครับ
จนต่อมามีการเปลี่ยนจากการวัดส่วนสูงมาเป็นการกำหนดอายุ ถ้าชั้นประถมก็จะเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี ลงไป
ถ้าเป็นมัธยมก็จะเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีลงไปถึง 14 ปี
เรื่องมันมีอยู่ว่า...
พอโตขึ้นมาได้มีโอกาสทำงานในสถานศึกษาต่าง ๆ ในระดับมัธยม ในแต่ละปีก็จะมีโครงการต่าง ๆ ทางด้านกีฬา
ส่งหนังสือให้แต่ละโรงเรียนเข้าร่วมการแข่งขัน จขกท.เองก็ได้มีโอกาสส่งเด็กไปแข่งขันในแต่ละรุ่น คือ 14,16,18
แต่มีบางรายการที่สามารถรวมเด็กๆนักฟุตบอลในแต่ละโรงเรียนมาร่วมกันเป็นทีมเดียว
ซึ่ง...จขกท.เองก็พอจะมีคอนเน็คชั่นกับโรงเรียนของแต่ละอำเภอตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม ก็ดึงผู้เล่นเก่งๆมารวมกัน
ในรายการใหญ่ๆ ทุกๆครั้ง รายการที่พาเด็กไปแข่งที่ว่านี้ก็ประมาณ นักเรียนนักศึกษา กีฬากลุ่ม ไพรมินิสเตอร์ โค้กคัพ ฯ
มีอยู่ปีหนึ่งก่อนแข่งเยาวชนโค้กคัพนั้น ก็ได้พาเด็กไปคัดตัวเพื่อหาโรงเรียนเรียนต่อในกรุงเทพ
ซึ่งโรงเรียนที่ จขกท.พาไปคัด ก็เป็นโรงเรียนดัง ระดับจตุรเทพในบรรดาขาสั้นในเมืองกรุงเลยแหล่ะครับ
ซึ่งตอนนั้นก็พาไป 4 คน คัดอยู่สองวัน กับเด็กจากที่อื่นอีกร่วมหลักร้อย
วันแรกก็ให้ลงสนามเล็กในโรงเรียนก่อนเพื่อดูเบสิค ความคล่องตัว เล็กๆน้อยๆ แล้วโค้ชโรงเรียนดังกล่าวก็ทำการคัด
เพื่อไปลงสนามใหญ่ต่อในวันที่สอง ปรากฏว่า เด็กติดอยู่ 2 คน หลังจากนั้นก็จะทราบรายละเอียดในการเข้าเรียน
บอกได้เลยว่าความเป็นอยู่ของเด็ก ๆ ถ้าเปรียบเทียบกับโรงเรียนบ้านนอกแล้วคือ พิเศษสุด
ทั้งเบี้ยเลี้ยงซ้อม รองเท้าสตั๊ด ชุดซ้อม ห้องนอนติดแอร์แบบรวม บลาๆๆ
หลังกลับจากเมืองกรุงก็หมดไปร่วมหมื่นในการไปส่งเด็กแค่ 4 คน แต่ผมก็ยังมีเด็กอยู่ในมืออีกหลายคน ทั้งรุ่นใหญ่ลงไปรุ่นเล็ก
หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสย้ายโรงเรียนไปอยู่โรงเรียนประจำตำบลแห่งหนึ่ง มีนักเรียน อยู่ประมาณ 500 กว่าคน
ก็ได้มีโอกาสได้ทำทีมฟุตบอลอยู่สองรุ่น คืออายุไม่เกิน 16 และ 18 ปี ไปต่อสู้กับโรงเรียนระดับอำเภอและจังหวัด
ที่มีนักเรียนร่วม 4000-5000 คน ทำอยู่สองปี มาได้แชมป์ในปีที่สอง
ประเด็นนี้มันมีอยู่ว่า หลังจากที่เด็กแต่ละคนเรียนจบ โครงการต่าง ๆ กลับไม่มีการต่อยอด สนับสนุนเด็กต่อ
แต่โรงเรียนใหญ่ๆก็ได้เปรียบไปที่มีทางสโมสรมาติดต่อขอร่วมเป็นอะคาเดมี่ แต่ปล่อยให้โรงเรียนเล็กๆให้เด็กตามข่าวไปคัดเอง
จนเด็กบางคนไปเรียนต่ออาชีวฯ บางคนก็เรียนจนจบ ม.6 แล้ว ไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ที่ดีหน่อยก็วิทยาลัยพลศึกษา
จนปีถัดมา จขกท.ได้ย้ายกลับบ้าน ได้มีโอกาสพาเด็กไปแข่งเยาวชนโค้กคัพ ซึ่งโค้กคัพขณะนี้ก็ได้มาจากสโมสรในปัจจุบัน
ซึ่งการคัดเด็กในขณะนั้นก็ได้จากการประกาศคัดตามวันเวลา เพราะตอนนั้นสโมสรเพิ่งเริ่มตั้งใหม่ก็ยังไม่มีเด็กอะคาเดมี่
พอเตะเสร็จกลับมาก็แยกย้าย บางคนก็เล่นฟุตบอลมาเรื่อยๆ จนเล่น D.2 ในบ้านตัวเองบ้าง ต้องระเห็ดไปคัดตามจังหวัดต่างๆบ้าง
โดนสโมสรใหญ่ซื้อไปเล่นบ้าง จนทำได้สองปีก็ต้องพักเนื่องจากงานหลักรัดตัว และไม่เหมาะกับการไปสายนี้โดยตรง
จนปัจจุบัน จขกท.ได้ย้ายมาทำงานใน กทม ก็ได้มีโอกาสดูเด็กสังกัดต่าง ๆ ไม่ว่า กทม สพฐ เอกชน เป็นต้น
แข่งฟุตบอลตามรายการต่างๆที่สนาม ตามทีวีบ้างตามโอกาส
จนปัจจุบันฟุตบอลไทยเริ่มบูมและมีสโมสรต่างๆก็มีอะคาเดมี่ จขกท.จึงคิดว่าฟุตบอลไทยน่าจะเป็นรูปเป็นร่าง
มีการฝึกเด็กตามระบบ คิดว่าจะทำให้ทีมชาติไทยตั้งแต่รุ่นเยาวชนได้เด็กมาอย่างถูกวิธีและมีนักเตะที่ดีตามโครงสร้างลีก
สุดท้าย..จากการที่สมาคมประกาศรายชื่อที่ผ่านมานั้น มันฉุดให้กลับมาคิดว่า เห้ย..นักเตะที่ได้ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง
ทำไมมาจากทีมเหล่านี้ หรือโซนนี้เท่านั้นหรือ เพราะยังมีนักเตะตามภูธรอีกมากมายนะที่ยังไม่ได้รับโอกาสอย่างจริงจัง
จขกท.คิดว่า ผลงานบอลเด็กของเราตอนนี้เป็นตัวบ่งบอกแล้วแหล่ะว่าเด็กเหล่านั้นยังไม่ดีพอ และยังมีเด็กที่รอคอยโอกาสอยู่
ช่วยลงไปหน่อยครับ ไม่ว่าจะเป็นระดับ อนุบาล ประถมศึกษา ที่มีครูพละใจดี รักฟุตบอล รักกีฬาอีกเยอะที่คอยสนับสนุนเด็กเหล่านี้
จึงอยากให้สมาคมและผู้ที่เกี่ยวข้องว่า ถ้าอยากให้ฟุตบอลไทยยกระดับขึ้น ควรลงไปสนับสนุนอย่างจริงจังในแต่ละพื้นที่
ไม่ใช่เพียงแต่จุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น เพียงเท่านี้ เราก็จะมีทีมฟุตบอลที่แกร่งขึ้นในอนาคตแน่นอนครับ..
ไม่แน่นะครับว่า เราอาจจะได้ ปีโป้2 ในฉบับที่สมบูรณ์ก็เป็นได้นะครับ ถ้าเด็กได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่
นี่ขนาดทะลุเพดานมาติดทีมชาติชุดใหญ่ทีเดียวเลยยังได้ขนาดนี้ ถ้าคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนมาแต่เนิ่นๆจะขนาดไหน..
ผมไม่รู้ว่าทุกวันนี้ทีมชาติไทยเราคัดกรองเด็กแต่ละรุ่นได้มายังไง
อันเนื่องจากเป็นเด็ก ตจว. เริ่มต้นนับ 1 กับลูกฟุตบอลสมัยนั้นเค้าเรียกกันว่า รุ่นจิ๋วพิเศษ จนถึง รุ่นจิ๋วสามัญ
ซึ่งเค้าจะกำหนดที่ความสูงของแต่ละคนครับ เมื่อถึงเวลาครูก็นำไปวัดส่วนสูง ในระดับประถมศึกษาล่ะครับ
จนต่อมามีการเปลี่ยนจากการวัดส่วนสูงมาเป็นการกำหนดอายุ ถ้าชั้นประถมก็จะเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี ลงไป
ถ้าเป็นมัธยมก็จะเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีลงไปถึง 14 ปี
เรื่องมันมีอยู่ว่า...
พอโตขึ้นมาได้มีโอกาสทำงานในสถานศึกษาต่าง ๆ ในระดับมัธยม ในแต่ละปีก็จะมีโครงการต่าง ๆ ทางด้านกีฬา
ส่งหนังสือให้แต่ละโรงเรียนเข้าร่วมการแข่งขัน จขกท.เองก็ได้มีโอกาสส่งเด็กไปแข่งขันในแต่ละรุ่น คือ 14,16,18
แต่มีบางรายการที่สามารถรวมเด็กๆนักฟุตบอลในแต่ละโรงเรียนมาร่วมกันเป็นทีมเดียว
ซึ่ง...จขกท.เองก็พอจะมีคอนเน็คชั่นกับโรงเรียนของแต่ละอำเภอตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม ก็ดึงผู้เล่นเก่งๆมารวมกัน
ในรายการใหญ่ๆ ทุกๆครั้ง รายการที่พาเด็กไปแข่งที่ว่านี้ก็ประมาณ นักเรียนนักศึกษา กีฬากลุ่ม ไพรมินิสเตอร์ โค้กคัพ ฯ
มีอยู่ปีหนึ่งก่อนแข่งเยาวชนโค้กคัพนั้น ก็ได้พาเด็กไปคัดตัวเพื่อหาโรงเรียนเรียนต่อในกรุงเทพ
ซึ่งโรงเรียนที่ จขกท.พาไปคัด ก็เป็นโรงเรียนดัง ระดับจตุรเทพในบรรดาขาสั้นในเมืองกรุงเลยแหล่ะครับ
ซึ่งตอนนั้นก็พาไป 4 คน คัดอยู่สองวัน กับเด็กจากที่อื่นอีกร่วมหลักร้อย
วันแรกก็ให้ลงสนามเล็กในโรงเรียนก่อนเพื่อดูเบสิค ความคล่องตัว เล็กๆน้อยๆ แล้วโค้ชโรงเรียนดังกล่าวก็ทำการคัด
เพื่อไปลงสนามใหญ่ต่อในวันที่สอง ปรากฏว่า เด็กติดอยู่ 2 คน หลังจากนั้นก็จะทราบรายละเอียดในการเข้าเรียน
บอกได้เลยว่าความเป็นอยู่ของเด็ก ๆ ถ้าเปรียบเทียบกับโรงเรียนบ้านนอกแล้วคือ พิเศษสุด
ทั้งเบี้ยเลี้ยงซ้อม รองเท้าสตั๊ด ชุดซ้อม ห้องนอนติดแอร์แบบรวม บลาๆๆ
หลังกลับจากเมืองกรุงก็หมดไปร่วมหมื่นในการไปส่งเด็กแค่ 4 คน แต่ผมก็ยังมีเด็กอยู่ในมืออีกหลายคน ทั้งรุ่นใหญ่ลงไปรุ่นเล็ก
หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสย้ายโรงเรียนไปอยู่โรงเรียนประจำตำบลแห่งหนึ่ง มีนักเรียน อยู่ประมาณ 500 กว่าคน
ก็ได้มีโอกาสได้ทำทีมฟุตบอลอยู่สองรุ่น คืออายุไม่เกิน 16 และ 18 ปี ไปต่อสู้กับโรงเรียนระดับอำเภอและจังหวัด
ที่มีนักเรียนร่วม 4000-5000 คน ทำอยู่สองปี มาได้แชมป์ในปีที่สอง
ประเด็นนี้มันมีอยู่ว่า หลังจากที่เด็กแต่ละคนเรียนจบ โครงการต่าง ๆ กลับไม่มีการต่อยอด สนับสนุนเด็กต่อ
แต่โรงเรียนใหญ่ๆก็ได้เปรียบไปที่มีทางสโมสรมาติดต่อขอร่วมเป็นอะคาเดมี่ แต่ปล่อยให้โรงเรียนเล็กๆให้เด็กตามข่าวไปคัดเอง
จนเด็กบางคนไปเรียนต่ออาชีวฯ บางคนก็เรียนจนจบ ม.6 แล้ว ไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ที่ดีหน่อยก็วิทยาลัยพลศึกษา
จนปีถัดมา จขกท.ได้ย้ายกลับบ้าน ได้มีโอกาสพาเด็กไปแข่งเยาวชนโค้กคัพ ซึ่งโค้กคัพขณะนี้ก็ได้มาจากสโมสรในปัจจุบัน
ซึ่งการคัดเด็กในขณะนั้นก็ได้จากการประกาศคัดตามวันเวลา เพราะตอนนั้นสโมสรเพิ่งเริ่มตั้งใหม่ก็ยังไม่มีเด็กอะคาเดมี่
พอเตะเสร็จกลับมาก็แยกย้าย บางคนก็เล่นฟุตบอลมาเรื่อยๆ จนเล่น D.2 ในบ้านตัวเองบ้าง ต้องระเห็ดไปคัดตามจังหวัดต่างๆบ้าง
โดนสโมสรใหญ่ซื้อไปเล่นบ้าง จนทำได้สองปีก็ต้องพักเนื่องจากงานหลักรัดตัว และไม่เหมาะกับการไปสายนี้โดยตรง
จนปัจจุบัน จขกท.ได้ย้ายมาทำงานใน กทม ก็ได้มีโอกาสดูเด็กสังกัดต่าง ๆ ไม่ว่า กทม สพฐ เอกชน เป็นต้น
แข่งฟุตบอลตามรายการต่างๆที่สนาม ตามทีวีบ้างตามโอกาส
จนปัจจุบันฟุตบอลไทยเริ่มบูมและมีสโมสรต่างๆก็มีอะคาเดมี่ จขกท.จึงคิดว่าฟุตบอลไทยน่าจะเป็นรูปเป็นร่าง
มีการฝึกเด็กตามระบบ คิดว่าจะทำให้ทีมชาติไทยตั้งแต่รุ่นเยาวชนได้เด็กมาอย่างถูกวิธีและมีนักเตะที่ดีตามโครงสร้างลีก
สุดท้าย..จากการที่สมาคมประกาศรายชื่อที่ผ่านมานั้น มันฉุดให้กลับมาคิดว่า เห้ย..นักเตะที่ได้ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง
ทำไมมาจากทีมเหล่านี้ หรือโซนนี้เท่านั้นหรือ เพราะยังมีนักเตะตามภูธรอีกมากมายนะที่ยังไม่ได้รับโอกาสอย่างจริงจัง
จขกท.คิดว่า ผลงานบอลเด็กของเราตอนนี้เป็นตัวบ่งบอกแล้วแหล่ะว่าเด็กเหล่านั้นยังไม่ดีพอ และยังมีเด็กที่รอคอยโอกาสอยู่
ช่วยลงไปหน่อยครับ ไม่ว่าจะเป็นระดับ อนุบาล ประถมศึกษา ที่มีครูพละใจดี รักฟุตบอล รักกีฬาอีกเยอะที่คอยสนับสนุนเด็กเหล่านี้
จึงอยากให้สมาคมและผู้ที่เกี่ยวข้องว่า ถ้าอยากให้ฟุตบอลไทยยกระดับขึ้น ควรลงไปสนับสนุนอย่างจริงจังในแต่ละพื้นที่
ไม่ใช่เพียงแต่จุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น เพียงเท่านี้ เราก็จะมีทีมฟุตบอลที่แกร่งขึ้นในอนาคตแน่นอนครับ..
ไม่แน่นะครับว่า เราอาจจะได้ ปีโป้2 ในฉบับที่สมบูรณ์ก็เป็นได้นะครับ ถ้าเด็กได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่
นี่ขนาดทะลุเพดานมาติดทีมชาติชุดใหญ่ทีเดียวเลยยังได้ขนาดนี้ ถ้าคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนมาแต่เนิ่นๆจะขนาดไหน..