คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
อยากเรียนหลายท่านที่ผ่านมาและได้อ่านว่า ที่เขียนบทความนี้ ไม่ได้มีเจตนาที่เขียนเพื่อยกคนอีสานให้โดดเด่นอะไรเลย เพราะเชื่อว่ายังมีคนอีสานอยู่จำนวนไม่น้อยที่ยังด้อยโอกาสได้สัมผัสและรับรู้การเมืองในมิติที่ซับซ้อน หรือจะเรียกว่าโง่ในสายตาบางคนก็ได้
ไม่ได้กำลังเขียนให้กลุ่มคนอีสานโดดเด่น แต่ที่เขียนเพราะอยากจะดึงให้พวกเขากลับมายังจุดหนึ่งในสังคมที่พวกเขาควรจะอยู่และถูกมองโดยถูกต้อง ตลอดมา.....ถ้าคุณเป็นคนที่ใจไม่คับแคบนัก ก็ย่อมมองเห็นว่าพวกเขาถูกกดด้วยวาทกรรมและการกระทำที่ทำให้เขาต่ำ
สำหรับพวกเขา(กลุ่มคนอีสาน ซึ่งรวมทั้งตัวผมเองด้วย) การเมืองไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ยาก มันไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่พวกดอกเตอร์หรือศาสตราจารย์พยายามจะพูดให้ซับซ้อน พรรคไหนทำตามสัญญาประชาคมสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติก็เลือกพรรคนั้น ส่วนพรรคเคยเลือกมาแล้วแต่มาปรากฏภายหลังว่าดีแต่พูดอย่างเดียวก็เลิกเลือกพรรคนั้น ไม่ทู่ซี้ปักใจมั่นอยู่แต่พรรคเดียวตลอดกาลทั้งๆ ที่พรรคนั้นไม่เคยสร้างผลงานอะไรให้ประจักษ์....ก็แค่นั้นแหละ!! แค่นั้นจริงๆ ....ไม่เห็นจำเป็นต้องอ้างตำรานู่นนี่นั่น จากเมกา จากอังกฤษ หรือคำพูดสวยหรูจากคนดังๆ ไอ้ลินคอล์นมันพูดอย่างนี้ ไอ้เจฟเฟอร์สันมันอ้างอย่างนู้น... ใครหรือพรรคไหนทำดีก็สนับสนุน ทำไม่ดีก็เลิกสนับสนุนแค่นั้นเอง....
ไม่ได้กำลังเขียนให้กลุ่มคนอีสานโดดเด่น แต่ที่เขียนเพราะอยากจะดึงให้พวกเขากลับมายังจุดหนึ่งในสังคมที่พวกเขาควรจะอยู่และถูกมองโดยถูกต้อง ตลอดมา.....ถ้าคุณเป็นคนที่ใจไม่คับแคบนัก ก็ย่อมมองเห็นว่าพวกเขาถูกกดด้วยวาทกรรมและการกระทำที่ทำให้เขาต่ำ
สำหรับพวกเขา(กลุ่มคนอีสาน ซึ่งรวมทั้งตัวผมเองด้วย) การเมืองไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ยาก มันไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่พวกดอกเตอร์หรือศาสตราจารย์พยายามจะพูดให้ซับซ้อน พรรคไหนทำตามสัญญาประชาคมสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติก็เลือกพรรคนั้น ส่วนพรรคเคยเลือกมาแล้วแต่มาปรากฏภายหลังว่าดีแต่พูดอย่างเดียวก็เลิกเลือกพรรคนั้น ไม่ทู่ซี้ปักใจมั่นอยู่แต่พรรคเดียวตลอดกาลทั้งๆ ที่พรรคนั้นไม่เคยสร้างผลงานอะไรให้ประจักษ์....ก็แค่นั้นแหละ!! แค่นั้นจริงๆ ....ไม่เห็นจำเป็นต้องอ้างตำรานู่นนี่นั่น จากเมกา จากอังกฤษ หรือคำพูดสวยหรูจากคนดังๆ ไอ้ลินคอล์นมันพูดอย่างนี้ ไอ้เจฟเฟอร์สันมันอ้างอย่างนู้น... ใครหรือพรรคไหนทำดีก็สนับสนุน ทำไม่ดีก็เลิกสนับสนุนแค่นั้นเอง....
แสดงความคิดเห็น
....ไหนบอกว่าประชาธิปไตยคือความเสมอภาค??....
เป็นที่น่าสลดว่าไม่นานมานี้ ประชาธิปไตยได้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือใช้ชี้หน้าคนกลุ่มนั้นคนกลุ่มนี้ว่าไม่ประสีประสา และไปไกลเกือบจะถึงขั้นริดรอน “สิทธิ์ในการออกเสียงและเลือกตั้ง” ที่พวกเขามี และสลดหนักลงไปอีกที่พฤติกรรมตรงนั้นมาจากคนที่เรียกตัวเองว่ามีการศึกษาสูงระดับดอกเตอร์ ....
เอาเข้าจริงๆ....เมื่อไล่เลียงความเป็นมาของการเมืองไทยและประชาธิปไตยลงไปเรื่อยๆ จะเห็นว่ากลุ่มคนที่พยายามเรียกร้องความเป็นธรรม ความเสมอภาค และภราดรภาพ มาโดยตลอดจะเป็นกลุ่มคนจากภาคอีสาน ตั้งแต่ “กบฏบุญกว้าง” ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชาอยุธยาตอนกลาง จนมาถึง “กบฏหมอลำ” สิลา วงศ์สิน ในรัชกาลปัจจุบัน(2502)
“การเมือง” มีมาพร้อมๆ กับการถือกำเนิดของมนุษยชาติก็ว่าได้ คือนับตั้งแต่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันสองคนขึ้นไป ในโลกตะวันตก....การเมืองเริ่มขึ้นตั้งแต่พระเจ้าสร้างอดัมกับอีฟคู่กัน รวมไปถึงการท้าทายอำนาจของพระเจ้า การเมืองไม่ได้เกิดขึ้นบนแผ่นกระดาษหรือที่เรียกว่าตำราเรียนเหมือนคัมภีร์พระเวทที่จำเพาะเจาะจงไว้ให้เฉพาะคนชั้นพราหมณ์ได้ศึกษาเท่านั้น หากแต่การเมืองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของทุกๆ คนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้(เว้นแต่หนีไปอยู่ถ้ำคนเดียว) ดังนั้น การที่คนๆ หนึ่งเอาความรู้จากตำรับตำราที่เรียนมา แล้วนำไปวางทาบกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมไม่ตรงตามตำรา หรือไม่ตรงตาม “คำคม”(Quotes) ของนักปรัชญาการเมืองและนักการที่มีชื่อเสียงที่ตัวเองนับถือ แล้วมองกลุ่มคนเหล่านั้นว่าไม่รู้เรื่องการเมือง การมองเช่นนั้น....กลับกลายเป็นว่าคนที่ไม่รู้เรื่องการเมื่องจริงๆ เลยก็น่าจะเป็นคนที่กอดตำรายืนชี้หน้าคนอื่นว่าไม่ประสีประสานั่นแหละ
ส่วนเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงนั้น จริงๆ แล้ว...คนอีสานไม่ได้มีคุณธรรมสูงส่งอะไรมากมายขนาดนั้น คือสูงส่งชนิดที่ว่าเมื่อเขาให้เงินมากาเลือกเขาแล้ว ก็ต้องยึดมั่นคุณธรรมเรื่องกตัญญูต้องกาเลือกเขาเพื่อตอบแทน ผมอยากจะบอกอย่างนี้ว่า.....เมื่อชีวิตๆ หนึ่งผ่านหนาวผ่านร้อนมาได้ถึงวัยมีสิทธิ์ได้เลือกตั้ง เขาคงได้เห็นและรับรู้ผลกระทบจากการเมืองต่อชีวิตเขาอย่างไร (อย่างน้อยๆ คนอายุสิบแปดก็ได้เห็นรัฐบาลบริหารบ้านเมืองมาสี่ชุด ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทุกๆ สี่เทอม)
สมองของมนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาเพื่อการพัฒนาและเรียนรู้ แค่การหยิบยื่นเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อ “ซื้อเสียง” อย่างที่หลายๆ คนพยายามประณามคนอีสาน ผมเชื่อว่าคนอีสานส่วนใหญ่ไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าเงินแค่นั้นเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ไม่ทันข้ามวันหรอก และส่วนใหญ่เขาก็ฉลาดพอที่จะรับเงินนั้นมา แต่กากบาทให้พรรคการเมืองที่ทำประโยชน์ให้เขาในระยะยาว การเมืองจึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์โดยแท้จริง คนที่เสียผลประโยชน์กลับเป็นคนที่มองว่าคนอื่นไม่ประสีประสาเรื่องการเมืองนั่นเอง