สวัสดีค่ะ จะมาแชร์ประสบการณ์ไปเที่ยวเมืองกวงโจว ณ ประเทศจีนด้วยตัวเองครั้งแรกในชีวิต
เนื่องด้วยทริปนี้ของเรากับน้องสาวมันฉุกละหุกตามหัวกระทู้เลย มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปประเทศจีน ไม่ใช่เรื่องงานของบริษัทด้วย เพราะงั้นทุกอย่างจะต้องเตรียมเอง
แต่เวลามันกระชั้นชิดมากๆ ด้วยเงื่อนไขอะไรหลายๆ อย่าง มีเวลาเตรียมตัวได้ 2 อาทิตย์
คือไม่พร้อมเลย งงเงินนี่ก็มีไม่เยอะเพราะนี่เป็นทริปต่างประเทศทริปที่สามในปีนี้ แน่นอนว่าเงินสะสมในส่วนของการเที่ยวของเราร่อยหรอมากกกกก
แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า ไปก็ไป!!
พอตัดสินใจว่าไป ก็หาตั๋วโปรฯสิครัชชช
น้องสาวนั่งหาโปรโมชั่นของสายการบินต่างๆ ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ แต่ก็ตัดสินใจไม่ถูกค่ะ เราเลยปรึกษาเพื่อนที่ทำงานบริษัททัวร์จีน
คือนับว่าโชคดีมากๆ เพราะเพื่อนช่วยหาตั๋วให้ มีโปรฯ ของหลายสายการบินมาให้เลือก
สุดท้ายเราก็ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินสายการบิน Kenya Airways ผ่านบริษัททัวร์ของเพื่อนนั่นแหละค่ะ
ราคาตั๋วตก Net อยู่ที่ 7,000 บาท/คน รวมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
ความดีงามคือ โหลดกระเป๋าได้คนละ 2 ใบ นน.รวม 46 กก. !!!
โหวววววว!!! คือ นี่ไปช้อปปิ้งได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องแพคกระเป๋ากันเลย
นอกจากหาตั๋วให้แล้ว เพื่อนยังจัดการเรื่องทำวีซ่าให้ด้วย เพราะค่อนข้างเร่งด่วน และเราไม่มีเวลา เลยเตรียมเอกสารสำคัญให้บ.ทัวร์ของเพื่อนจัดการให้เลยค่ะ
ภายใน 4 วันก็ได้ตั๋ว และวีซ่ามานอนกอดให้ชื้นใจ
แล้ววันเดินทางก็มาถึงโดยที่เรายังไม่มีเวลาให้ตื่นเต้นเลย (ปกติเป็นคนตื่นเต้นก่อนเดินทางตลอด ตื่นเต้นเป็นเดือน ฮ่าๆๆๆ)

ก่อนออกเดินทางก็ไม่ลืมที่จะเตรียมเสบียงไปด้วย กลัวอาหารไม่ถูกปากค่ะ เพราะเราไม่ใช่สายกินเท่าไหร่ >.< (ไม่ว่าจะไปประเทศไหนเราจะตุนอาหารไปด้วยค่ะ มันเป็นประโยชน์มากๆ ในวันท้ายๆ ของการเที่ยวที่เงินเริ่มหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆ)
วันเดินทาง : 2 ก.ย. 2559
สายการบินที่เราเลือกจองอย่างที่บอกไปข้างต้นคือ Kenya Airways ค่ะ ตอนแรกคิดว่าเครื่องจะโล่ง เพราะคนในเกทน้อยมากกกกกกกก
สรุปพอขึ้นเครื่องไปคนเต็มเครื่องเลย ส่วนมากเป็นคนเคนย่าที่นั่งมาจากเคนย่านั่นแหละค่ะ แต่มาพักเครื่องที่สุวรรณภูมิก่อนต่อไปกวงโจว
ส่วนตัวเรานั้น... คิดว่าคนเคนย่านี่เหมือนคนจีนเวอร์ชั่นตัวใหญ่เลยอ่ะ... ขาไปกลุ่มผู้ชายที่นั่งใกล้ๆ คุยกันตลอดทาง แล้วยิ่งคนเคนย่าตัวใหญ่ เสียงเลยก้องๆ ดังๆ ทุ้มๆ โหยยย คุยอะไรก๊านนนนนนน
เราช่างเขาไปก่อน มาพูดถึงในส่วนของสายการบิน Kenya Airways กัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการสายการบินนี้ (ทุกการเดินทางเราใช้สายการบินไม่ซ้ำกันเลย ฮ่าๆๆ) นับว่าประทับใจมากเมื่อเทียบกับสายการบินอื่ๆ ที่เคยใช้บริการมานะคะ
ความประทับใจแรกเลยคือพี่สจ๊วต ด้วยเพราะตอนเราขึ้นมาคนเคนย่านั่งมาเต็มลำแล้ว เราเข้าใจว่าเขาคงคิดว่าที่นั่งที่ว่างมันนั่งได้ เลยสลับกันนั่งให้วุ่น... รวมถึงที่นั่งตามตั๋วเราด้วย
เราเดินมาถึงที่นั่งมีคนเคนย่านั่งอยู่แล้ว เรากับน้องสาวก็ยืนเอ๋อๆ งงๆ ทำตัวไม่ถูกว่าจะเอาไงดี ไม่ทันจะเรียกแอร์มาช่วย พี่สจ๊วตก็เดินตรงมาให้ความช่วยเหลือเลยค่ะ
สจ๊วตแจ้งว่า ที่นั่งไม่เต็มนะ เราสามารถเลือกที่นั่งตรงไหนก็ได้ แต่ถ้าอยากนั่งที่ตามตั๋วเขาจะจัดการให้
เราซึ่งจองตั๋วติดริมหน้าต่างไว้เพราะชอบนั่งดูวิวริมหน้าต่างเลยบอกเขาว่าอยากนั่งที่ตามตั๋ว
สิ้นคำปุบ พี่สจ๊วตเดินกระฉับกระเฉงไปคุยกับคนเคนย่าที่นั่งที่เราให้ทันที แล้วเขาก็ลุกย้ายให้เราด้วยหน้าไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
พอเรากับน้องจัดแจงนั่งที่ตัวเองแล้วแอร์ก็เดินมาแจกหูฟังเพิ่มเติม
ชอบมากคือ มีหน้าจอส่วนตัวให้ด้วยค่าาาา

แถมมีช่องเสียบ USB ด้วย... น่าจะเอาซีรี่ส์ใส่ USB มาเปิดดูเหมือนกันนะเนี่ยยยยย
ฟังชั่นหน้าจอค่อนข้างหลากหลายค่ะ มีหนังทั้งใหม่และเก่า มีรายการทีวีหลายสไตล์ให้เลือก มีรายการเด็ก มีเพลง ...แค่นี้การเดินทางก็ไม่น่าเบื่อละ : )
ไม่นานเครื่องก็ Take off พอระดับการบินเข้าที่ก็ถึงเวลาเสิร์ฟอาหารที่รอคอย~~~
อาหารมีให้เลือกสองอย่างคือ สเต๊กปลา กับเขียวหวานไก่ เรากับน้องเลือกมาคนละอย่างมาแบ่งกันชิม

อันนี้เขียวหวานไก่ ใช้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ด้วย อร่อยดีค่ะ

สเต๊กปลา อร่อยเช่นกัน
หลังจากเก็บถาดอาหารแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อนบนเครื่องตามอัธยาศัยค่ะ~~~ เราก็เล่นหน้าจอวนไปค่ะ กดโน่นนั่นนี่ รู้ตัวอีกที อ้าว ถึงที่หมายแล้ว~
ไฟล์ทลงจอดอย่างนิ่มนวลยังสนามบิน Bai Yun Airport เวลา 07.00PM ตามกำหนดการเป๊ะ
แต่ที่ล่าช้าคือการวนเครื่องก่อนเข้าเกทค่ะ... ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการจัดการของสนามบินด้วยรึป่าว (เพราะบางประเทศก็วนนานก่อนจะจอด บางประเทศก็ไม่ได้วนอะไรมากมาย แลนดิ้งแล้วก็ต่องวงช้าลงเครื่องได้เลย) วนอยู่ค่อนข้างนาน 15-20 นาทีได้
หลังจากเครื่องจอดก็รอประกาศเรียกชื่อคนเคนย่ารายคนก่อน... แงงงงง ฉันยังต้องรอเธออีกนานม๊ายยยย
ในที่สุดก็ได้ลงจากเครื่องค่ะ สิ่งแรกที่เจอแล้วกรี๊ดมากคือ

Cr. Vivo Weibo
ป้ายโฆษณาซง จุงกิ ฮือออออออ สามีแห่งชาติยิ้มต้อนรับอยู่
เดี๋ยวๆๆๆ ม่ายช่ายยย!!! (#ติ่งยังไงก็คือติ่ง ฮ่าๆๆๆ)
ต่อจากป้ายจุงกิ เป็นป้ายภาพนักกีฬาโอลิมปิคค่ะ สัมผัสได้เลยว่าเขาแสดงความภาคภูมิใจต่อกีฬาโอลิมปิดมากกกกกกก
แต่ไม่มีเวลาให้ชื่นชมเหล่าป้ายพวกนี้นาน เรารีบเดินไปตามทางเพื่อเข้า Arrival กว่าจะไปถึงตม. ตอนนั้นก็คือแถวยาวมากกกกกก
แถวยาวไม่พอ ตม.ตรวจละเอียดมากกกกกกกก
อาจจะเพราะไฟล์ทเรามีคนเคนย่ากว่า 96% ทางจีนดูเข้มงวดกับคนเคนย่ามากๆ
ในที่สุด หลังผ่านไปเกือบๆ 30 นาที ราวกับต่อคิวเครื่องเล่นใน USJ ในวันหยุด ก็ถึงคิวเรากับน้องสาว (ได้คิวพร้อมกันแต่คนละช่องค่ะ ก็แอบกลัวๆ เพราะน้องสาวพูดอังกฤษไม่ค่อยเก่ง ไม่รู้ภาษจีนอีก แต่ตอนนั้นคนคุมแถวหน้าโหดใส่ แถมคนเคนย่าทำท่าเหมือนจะแซงคิว เราเลยต้องเข้าตามคิวล่ะ)
ด้วยเพราะเราเพิ่งไปตัดหน้าม้าซีทรูมา และตัดผมสั้น แต่รูปในพาสปอร์ต และวีซ่ามันไม่ใช่ทรงหน้าม้า และเป็นตอนผมยาว จนท.มองเราสลับกับพาสปอร์ตหลายครั้งมาก ทำหน้าเหมือนกับพยายามหาจุดเหมือนของตัวจริงกับพาสปอร์ต เราก็กลัวว่าจะไม่ผ่าน เลยปาดผมหน้าม้าไปด้านข้าง พยายามทำผมให้เหมือนในรูปที่สุด เขาก็มองสลับกันหลายรอบ
ใจเรานี่เต้นตึกตักเลย น้องสาวเราผ่านตม.ไปได้แล้ว แต่ทางเราจนท. ยังไม่มีท่าทีอะไรเลย โอยย... ทำไงดี
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก และเปิดหน้าพาสปอร์ตเราที่มีตราปั๊มทุกหน้า (โชคดีที่มีตราปั๊มอยู่หลายประเทศ และมีวีซ่าไต้หวันด้วย) เขาก็ให้เราผ่าน แสกนนิ้ว มองกล้อง แล้วปั๊มปึ่ง!! ลงบนพาสปอร์ตเรา
เย้~~~
สวัสดีประเทศจีน เรามาถึงแล้วนะ เขายอมให้เราเข้ามาแล้ว ฮ่าๆๆๆ
หลังจากรับประเป๋าเดินออกประตูมา หน้าประตูมีขายซิม ไอ้เราก็กลัวจะหลงหาโรงแรมไม่เจอไม่มีอินเตอร์เนตใช้ เลยรีบซื้อแบบงงๆ เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินออกมาก็หยุดแวะซื้อแทบทุกคน เราเลยเดินตามเขาไป
สรุปคือ ได้ซิมมาในราคาคนละ 150 หยวนกับน้องสาว คูณๆ เป็นเงินไทยแล้วก็ 750 บาทเลยนะ โคตตตต แพง T^T
(เพื่อนมาบอกทีหลังว่าอย่าซื้อในสนามบินมันแพง ให้เดินไปซื้อตามค่ายมือถือเอาดีกว่า แงงงง)
หลังจากเจ็บแค้นที่เสียตังไปแบบงงๆ เราก็มุ่งไปยัง Metro เพื่อเข้าเมือง โดยซื้อบัตร Yang Cheng Tong จ่ายเงินไปคนละ 50 หยวนค่ะ
และเราก็ได้เจอ Culture Shock แรกในการมาจีน
ตอนยืนรอ Metro อยู่นั้น เรากับน้องยืนคิวแรกหน้าประตูเลยค่ะ พอรถมา ประตูเปิดเท่านั้นแหละ... คนจีนจากหางแถวฝั่งไหนต่อฝั่งไหนไม่รู้ กรูกันเข้าไป แทรกตัวไปเพื่อจับจองที่นั่ง... กว่าเราจะตั้งสติทัน ที่นั่งก็เต็มแล้ว
โห!! อะไรจะรวดเร็วปานนั้น ขนาดเรายืนคิวแรก TwT
เราลงที่สถานี Guangzhou East Railway เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมที่จองไว้ผ่านอโกด้า
ความบรรลัยเกิดเมื่อเราไม่มีข้อมูลว่า เราต้องออกทางออกไหนเพื่อไปโรงแรม!!!
แล้วทางออกมีตั้งแต่ A-I โอ้ววววว ออกทางไหนแว๊!!!
ด้วยไปเห็นป้ายนึงบอกว่าทางออก E เป็นทางออกไปโรงแรมชื่อดังคุ้นหูคุ้นตาหลายแห่ง นี่ก็คิอว่าโรงแรมมันจะต้องรวมอยู่ที่จุดนั้นแน่เลย เลยเดินไปเลยค่ะะะะ... พอออกประตูมาเจอถนน งงสิคะ ฮือออ
หลงไง!!!
น้องสาวคิดแก้ปัญหาด้วยการโทรไปที่โรงแรมตามเบอร์ในใบจองอะโกด้า เราเป็นคนคุย... ข้อมูลในอะโกด้าบอกว่ารร.พูดอิ๊งได้ค่ะ
สรุปคือ คนรับสื่อสารกับเราไม่รู้เรื่อง เราพยายามพูดช้าๆ ว่าเราหลงทาง อยู่แถวๆ ทางออก E หาทางไปรร.ไม่ได้ นางก็ถามชื่อเรา ถามโน่นนั่นนี่เยอะแยะไปหมด
สุดท้ายเขาก็สารภาพว่าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ พูดจีนได้มั้ย
ฮือออออออออออออออออออออออออ
ตอนนั้นจะร้องไห้แล้วอ่ะ... เราเลยรวบรวมลมปราณ ขุดความรู้ภาษาจีนที่คืนเหล่าซือตั้งแต่เรียนจบไปแทบหมดแล้วขึ้นมา พูดประโยคง่ายๆ ไปว่า ฉันไม่รู้ว่าจะไปโรงแรมยังไง ตอนนี้ฉันอยู่ทางออก E
เท่านั้นแหละครัชท่านผู้โช้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ฝั่งนั้นถึงบางอ้อ แล้วก็ตอบกลับมา (ภาษาจีน) ว่า ให้เรามาออกทางออก F
โห!!!!
พูดจีนแต่แรกก็จบ T^T
พอวางสายจากโรงแรมก็เดินกลับเข้าไปใน Metro แถวถามเจ้าหน้าที่เลยว่าทางออก F ไปทางไหน... ถามภาษาจีนด้วยนะ เอาเซะ!! ตอนนั้นมั่นหน้าระดับ 10 แล้ว ลืมตัวไปมั้ยว่ารู้จีนแค่นิดหน่อย 5555
พอออกทางออก F มาเดินไม่กี่ก้าวก็เจอโรงแรมเลยค่า... ฮือออออ ในที่สุดดดดด ฮัลเลลูยา~~~
** เรื่องราวในจีนวันแรกยังไม่จบ ตามต่อในคอมเม้นต่อไปเลยค่า **
ฉุกละหุกทริป :: จู่ๆ ก็ได้ไป Guangzhou :: เที่ยวจีนครั้งแรกโหดๆ มันๆ งงๆ
สวัสดีค่ะ จะมาแชร์ประสบการณ์ไปเที่ยวเมืองกวงโจว ณ ประเทศจีนด้วยตัวเองครั้งแรกในชีวิต
เนื่องด้วยทริปนี้ของเรากับน้องสาวมันฉุกละหุกตามหัวกระทู้เลย มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปประเทศจีน ไม่ใช่เรื่องงานของบริษัทด้วย เพราะงั้นทุกอย่างจะต้องเตรียมเอง
แต่เวลามันกระชั้นชิดมากๆ ด้วยเงื่อนไขอะไรหลายๆ อย่าง มีเวลาเตรียมตัวได้ 2 อาทิตย์
คือไม่พร้อมเลย งงเงินนี่ก็มีไม่เยอะเพราะนี่เป็นทริปต่างประเทศทริปที่สามในปีนี้ แน่นอนว่าเงินสะสมในส่วนของการเที่ยวของเราร่อยหรอมากกกกก
แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า ไปก็ไป!!
พอตัดสินใจว่าไป ก็หาตั๋วโปรฯสิครัชชช
น้องสาวนั่งหาโปรโมชั่นของสายการบินต่างๆ ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ แต่ก็ตัดสินใจไม่ถูกค่ะ เราเลยปรึกษาเพื่อนที่ทำงานบริษัททัวร์จีน
คือนับว่าโชคดีมากๆ เพราะเพื่อนช่วยหาตั๋วให้ มีโปรฯ ของหลายสายการบินมาให้เลือก
สุดท้ายเราก็ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินสายการบิน Kenya Airways ผ่านบริษัททัวร์ของเพื่อนนั่นแหละค่ะ
ราคาตั๋วตก Net อยู่ที่ 7,000 บาท/คน รวมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
ความดีงามคือ โหลดกระเป๋าได้คนละ 2 ใบ นน.รวม 46 กก. !!!
โหวววววว!!! คือ นี่ไปช้อปปิ้งได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องแพคกระเป๋ากันเลย
นอกจากหาตั๋วให้แล้ว เพื่อนยังจัดการเรื่องทำวีซ่าให้ด้วย เพราะค่อนข้างเร่งด่วน และเราไม่มีเวลา เลยเตรียมเอกสารสำคัญให้บ.ทัวร์ของเพื่อนจัดการให้เลยค่ะ
ภายใน 4 วันก็ได้ตั๋ว และวีซ่ามานอนกอดให้ชื้นใจ
แล้ววันเดินทางก็มาถึงโดยที่เรายังไม่มีเวลาให้ตื่นเต้นเลย (ปกติเป็นคนตื่นเต้นก่อนเดินทางตลอด ตื่นเต้นเป็นเดือน ฮ่าๆๆๆ)
วันเดินทาง : 2 ก.ย. 2559
สายการบินที่เราเลือกจองอย่างที่บอกไปข้างต้นคือ Kenya Airways ค่ะ ตอนแรกคิดว่าเครื่องจะโล่ง เพราะคนในเกทน้อยมากกกกกกกก
สรุปพอขึ้นเครื่องไปคนเต็มเครื่องเลย ส่วนมากเป็นคนเคนย่าที่นั่งมาจากเคนย่านั่นแหละค่ะ แต่มาพักเครื่องที่สุวรรณภูมิก่อนต่อไปกวงโจว
ส่วนตัวเรานั้น... คิดว่าคนเคนย่านี่เหมือนคนจีนเวอร์ชั่นตัวใหญ่เลยอ่ะ... ขาไปกลุ่มผู้ชายที่นั่งใกล้ๆ คุยกันตลอดทาง แล้วยิ่งคนเคนย่าตัวใหญ่ เสียงเลยก้องๆ ดังๆ ทุ้มๆ โหยยย คุยอะไรก๊านนนนนนน
เราช่างเขาไปก่อน มาพูดถึงในส่วนของสายการบิน Kenya Airways กัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการสายการบินนี้ (ทุกการเดินทางเราใช้สายการบินไม่ซ้ำกันเลย ฮ่าๆๆ) นับว่าประทับใจมากเมื่อเทียบกับสายการบินอื่ๆ ที่เคยใช้บริการมานะคะ
ความประทับใจแรกเลยคือพี่สจ๊วต ด้วยเพราะตอนเราขึ้นมาคนเคนย่านั่งมาเต็มลำแล้ว เราเข้าใจว่าเขาคงคิดว่าที่นั่งที่ว่างมันนั่งได้ เลยสลับกันนั่งให้วุ่น... รวมถึงที่นั่งตามตั๋วเราด้วย
เราเดินมาถึงที่นั่งมีคนเคนย่านั่งอยู่แล้ว เรากับน้องสาวก็ยืนเอ๋อๆ งงๆ ทำตัวไม่ถูกว่าจะเอาไงดี ไม่ทันจะเรียกแอร์มาช่วย พี่สจ๊วตก็เดินตรงมาให้ความช่วยเหลือเลยค่ะ
สจ๊วตแจ้งว่า ที่นั่งไม่เต็มนะ เราสามารถเลือกที่นั่งตรงไหนก็ได้ แต่ถ้าอยากนั่งที่ตามตั๋วเขาจะจัดการให้
เราซึ่งจองตั๋วติดริมหน้าต่างไว้เพราะชอบนั่งดูวิวริมหน้าต่างเลยบอกเขาว่าอยากนั่งที่ตามตั๋ว
สิ้นคำปุบ พี่สจ๊วตเดินกระฉับกระเฉงไปคุยกับคนเคนย่าที่นั่งที่เราให้ทันที แล้วเขาก็ลุกย้ายให้เราด้วยหน้าไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
พอเรากับน้องจัดแจงนั่งที่ตัวเองแล้วแอร์ก็เดินมาแจกหูฟังเพิ่มเติม
ชอบมากคือ มีหน้าจอส่วนตัวให้ด้วยค่าาาา
แถมมีช่องเสียบ USB ด้วย... น่าจะเอาซีรี่ส์ใส่ USB มาเปิดดูเหมือนกันนะเนี่ยยยยย
ฟังชั่นหน้าจอค่อนข้างหลากหลายค่ะ มีหนังทั้งใหม่และเก่า มีรายการทีวีหลายสไตล์ให้เลือก มีรายการเด็ก มีเพลง ...แค่นี้การเดินทางก็ไม่น่าเบื่อละ : )
ไม่นานเครื่องก็ Take off พอระดับการบินเข้าที่ก็ถึงเวลาเสิร์ฟอาหารที่รอคอย~~~
อาหารมีให้เลือกสองอย่างคือ สเต๊กปลา กับเขียวหวานไก่ เรากับน้องเลือกมาคนละอย่างมาแบ่งกันชิม
หลังจากเก็บถาดอาหารแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อนบนเครื่องตามอัธยาศัยค่ะ~~~ เราก็เล่นหน้าจอวนไปค่ะ กดโน่นนั่นนี่ รู้ตัวอีกที อ้าว ถึงที่หมายแล้ว~
ไฟล์ทลงจอดอย่างนิ่มนวลยังสนามบิน Bai Yun Airport เวลา 07.00PM ตามกำหนดการเป๊ะ
แต่ที่ล่าช้าคือการวนเครื่องก่อนเข้าเกทค่ะ... ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการจัดการของสนามบินด้วยรึป่าว (เพราะบางประเทศก็วนนานก่อนจะจอด บางประเทศก็ไม่ได้วนอะไรมากมาย แลนดิ้งแล้วก็ต่องวงช้าลงเครื่องได้เลย) วนอยู่ค่อนข้างนาน 15-20 นาทีได้
หลังจากเครื่องจอดก็รอประกาศเรียกชื่อคนเคนย่ารายคนก่อน... แงงงงง ฉันยังต้องรอเธออีกนานม๊ายยยย
ในที่สุดก็ได้ลงจากเครื่องค่ะ สิ่งแรกที่เจอแล้วกรี๊ดมากคือ
ป้ายโฆษณาซง จุงกิ ฮือออออออ สามีแห่งชาติยิ้มต้อนรับอยู่
เดี๋ยวๆๆๆ ม่ายช่ายยย!!! (#ติ่งยังไงก็คือติ่ง ฮ่าๆๆๆ)
ต่อจากป้ายจุงกิ เป็นป้ายภาพนักกีฬาโอลิมปิคค่ะ สัมผัสได้เลยว่าเขาแสดงความภาคภูมิใจต่อกีฬาโอลิมปิดมากกกกกกก
แต่ไม่มีเวลาให้ชื่นชมเหล่าป้ายพวกนี้นาน เรารีบเดินไปตามทางเพื่อเข้า Arrival กว่าจะไปถึงตม. ตอนนั้นก็คือแถวยาวมากกกกกก
แถวยาวไม่พอ ตม.ตรวจละเอียดมากกกกกกกก
อาจจะเพราะไฟล์ทเรามีคนเคนย่ากว่า 96% ทางจีนดูเข้มงวดกับคนเคนย่ามากๆ
ในที่สุด หลังผ่านไปเกือบๆ 30 นาที ราวกับต่อคิวเครื่องเล่นใน USJ ในวันหยุด ก็ถึงคิวเรากับน้องสาว (ได้คิวพร้อมกันแต่คนละช่องค่ะ ก็แอบกลัวๆ เพราะน้องสาวพูดอังกฤษไม่ค่อยเก่ง ไม่รู้ภาษจีนอีก แต่ตอนนั้นคนคุมแถวหน้าโหดใส่ แถมคนเคนย่าทำท่าเหมือนจะแซงคิว เราเลยต้องเข้าตามคิวล่ะ)
ด้วยเพราะเราเพิ่งไปตัดหน้าม้าซีทรูมา และตัดผมสั้น แต่รูปในพาสปอร์ต และวีซ่ามันไม่ใช่ทรงหน้าม้า และเป็นตอนผมยาว จนท.มองเราสลับกับพาสปอร์ตหลายครั้งมาก ทำหน้าเหมือนกับพยายามหาจุดเหมือนของตัวจริงกับพาสปอร์ต เราก็กลัวว่าจะไม่ผ่าน เลยปาดผมหน้าม้าไปด้านข้าง พยายามทำผมให้เหมือนในรูปที่สุด เขาก็มองสลับกันหลายรอบ
ใจเรานี่เต้นตึกตักเลย น้องสาวเราผ่านตม.ไปได้แล้ว แต่ทางเราจนท. ยังไม่มีท่าทีอะไรเลย โอยย... ทำไงดี
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก และเปิดหน้าพาสปอร์ตเราที่มีตราปั๊มทุกหน้า (โชคดีที่มีตราปั๊มอยู่หลายประเทศ และมีวีซ่าไต้หวันด้วย) เขาก็ให้เราผ่าน แสกนนิ้ว มองกล้อง แล้วปั๊มปึ่ง!! ลงบนพาสปอร์ตเรา
เย้~~~
สวัสดีประเทศจีน เรามาถึงแล้วนะ เขายอมให้เราเข้ามาแล้ว ฮ่าๆๆๆ
หลังจากรับประเป๋าเดินออกประตูมา หน้าประตูมีขายซิม ไอ้เราก็กลัวจะหลงหาโรงแรมไม่เจอไม่มีอินเตอร์เนตใช้ เลยรีบซื้อแบบงงๆ เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินออกมาก็หยุดแวะซื้อแทบทุกคน เราเลยเดินตามเขาไป
สรุปคือ ได้ซิมมาในราคาคนละ 150 หยวนกับน้องสาว คูณๆ เป็นเงินไทยแล้วก็ 750 บาทเลยนะ โคตตตต แพง T^T
(เพื่อนมาบอกทีหลังว่าอย่าซื้อในสนามบินมันแพง ให้เดินไปซื้อตามค่ายมือถือเอาดีกว่า แงงงง)
หลังจากเจ็บแค้นที่เสียตังไปแบบงงๆ เราก็มุ่งไปยัง Metro เพื่อเข้าเมือง โดยซื้อบัตร Yang Cheng Tong จ่ายเงินไปคนละ 50 หยวนค่ะ
และเราก็ได้เจอ Culture Shock แรกในการมาจีน
ตอนยืนรอ Metro อยู่นั้น เรากับน้องยืนคิวแรกหน้าประตูเลยค่ะ พอรถมา ประตูเปิดเท่านั้นแหละ... คนจีนจากหางแถวฝั่งไหนต่อฝั่งไหนไม่รู้ กรูกันเข้าไป แทรกตัวไปเพื่อจับจองที่นั่ง... กว่าเราจะตั้งสติทัน ที่นั่งก็เต็มแล้ว
โห!! อะไรจะรวดเร็วปานนั้น ขนาดเรายืนคิวแรก TwT
เราลงที่สถานี Guangzhou East Railway เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมที่จองไว้ผ่านอโกด้า
ความบรรลัยเกิดเมื่อเราไม่มีข้อมูลว่า เราต้องออกทางออกไหนเพื่อไปโรงแรม!!!
แล้วทางออกมีตั้งแต่ A-I โอ้ววววว ออกทางไหนแว๊!!!
ด้วยไปเห็นป้ายนึงบอกว่าทางออก E เป็นทางออกไปโรงแรมชื่อดังคุ้นหูคุ้นตาหลายแห่ง นี่ก็คิอว่าโรงแรมมันจะต้องรวมอยู่ที่จุดนั้นแน่เลย เลยเดินไปเลยค่ะะะะ... พอออกประตูมาเจอถนน งงสิคะ ฮือออ
หลงไง!!!
น้องสาวคิดแก้ปัญหาด้วยการโทรไปที่โรงแรมตามเบอร์ในใบจองอะโกด้า เราเป็นคนคุย... ข้อมูลในอะโกด้าบอกว่ารร.พูดอิ๊งได้ค่ะ
สรุปคือ คนรับสื่อสารกับเราไม่รู้เรื่อง เราพยายามพูดช้าๆ ว่าเราหลงทาง อยู่แถวๆ ทางออก E หาทางไปรร.ไม่ได้ นางก็ถามชื่อเรา ถามโน่นนั่นนี่เยอะแยะไปหมด
สุดท้ายเขาก็สารภาพว่าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ พูดจีนได้มั้ย
ฮือออออออออออออออออออออออออ
ตอนนั้นจะร้องไห้แล้วอ่ะ... เราเลยรวบรวมลมปราณ ขุดความรู้ภาษาจีนที่คืนเหล่าซือตั้งแต่เรียนจบไปแทบหมดแล้วขึ้นมา พูดประโยคง่ายๆ ไปว่า ฉันไม่รู้ว่าจะไปโรงแรมยังไง ตอนนี้ฉันอยู่ทางออก E
เท่านั้นแหละครัชท่านผู้โช้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ฝั่งนั้นถึงบางอ้อ แล้วก็ตอบกลับมา (ภาษาจีน) ว่า ให้เรามาออกทางออก F
โห!!!!
พูดจีนแต่แรกก็จบ T^T
พอวางสายจากโรงแรมก็เดินกลับเข้าไปใน Metro แถวถามเจ้าหน้าที่เลยว่าทางออก F ไปทางไหน... ถามภาษาจีนด้วยนะ เอาเซะ!! ตอนนั้นมั่นหน้าระดับ 10 แล้ว ลืมตัวไปมั้ยว่ารู้จีนแค่นิดหน่อย 5555
พอออกทางออก F มาเดินไม่กี่ก้าวก็เจอโรงแรมเลยค่า... ฮือออออ ในที่สุดดดดด ฮัลเลลูยา~~~
** เรื่องราวในจีนวันแรกยังไม่จบ ตามต่อในคอมเม้นต่อไปเลยค่า **