ร้องเรียนจากข่าวดีแทคฟ้องร้องผู้เสียหาย 4แสนกว่าบาท ยังไม่จบนะคะ

กระทู้สนทนา
เรียนประชาชนทุกท่านค่ะ
ขออนุญาตแจ้งเรื่องร้องเรียนนะคะ จากกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับ คดีทีแทคฟ้องร้องเงิน 4 แสนกว่าบาทจาก นางสาว จงจิตร อยู่ไพร เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาที่เป็นข่าวและกระแสในโลกโซเชี่ยล รวมถึงการออกสื่อต่างๆนั้น หลายๆท่านอาจจะคิดว่าเรื่องดังกล่าวจบลงด้วยดีใช่ไหมคะ เพราะล่าสุดมีการออกสื่อว่าจะมีการนัดเคลียร์กันที่ชั้นศาลของวันที่ 5 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา หลายๆคอมเมนท์ก็เป็นกำลังใหผู้เสียหาย และอีกหลายคอมเมนท์ก็เห็นพ้องว่าดีแทคถูก
โดยมีเพียงดีแทคเท่านั้นที่พยายามจะออกมาพูดในลักษณะที่ตัวเองถูกเสมอและดูดีค่ะ โดยตัวผู้เสียหายได้ออกสื่อเพียงบางส่วนเท่านั้นค่ะ วันนี้ดิฉันในฐานะผู้เสียหายขอออกมาพูดและชี้แจงบ้างนะคะ เพื่อคลายข้อสงสัยและพร้อมที่จะตอบคำถามต่างๆค่ะ
จากกรณีที่ดิฉันชี้แจงออกสื่อไปนั้น ว่าดิฉันถูกบุคคลอื่นทำการสวมรอยและมีการนำสำเนาบัตรประชาชนไปทำการซื้อซิมของ 3 เครือข่าย คือ เอไอเอส ทรูและดีแทคนั้น ดิฉันซึ่งขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงทุกประการว่าทุกอย่างดิฉันไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับเบอร์เหล่านั้นที่มิจฉาชีพนำไปแอบอ้าง ซึ่งทาง 2 เครือข่าย คือ เอไอเอส และ ทรูก็ได้ข้อพิสูจน์เรื่องลายเซนต์แล้วว่าต่างกันจึงมีการยุติเรื่องนี้ไปค่ะ บางท่านสงสัยว่า ทำไมดิฉันทราบเรื่องแล้วถึงเพิ่งมีการขอรับความช่วยเหลือ ขอแจ้ง ณ ตรงนี้นะคะ ว่า เรื่องนี้ ดิฉันทราบเรื่องและทางบ้านเป็นคนรับเอกสารจากทาง ดีแทคส่งมา ในช่วง พ.ค 2558 ค่ะ ทางบ้านทำการแจ้งความทันทีค่ะ แต่เนื่องจากดิฉันทำงานอยู่ฟิลิปปินส์จึงไม่สะดวกที่จะกลับมายังประเทศไทยได้ ณ เดือนนั้น แต่พอช่วงเดือน ต.ค 2558 ดิฉันก็ได้เดินทางกลับไทยและทำการยื่นอรื่องเพื่อขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้เปิดใช้ซิมดังกล่าวที่ ดีแทคสาขา โรบินสันมุกดาหาร พร่อมกับ อีก 2 เครือข่ายเลย โดยมีการแนบเอกสารดังต่อไปนี้ คือ
1.แบบเขียนคำร้อง
2.สำเนาบัตรประชาชนพร้อมลายเซนต์
3.สำเนาพาสปอร์ตพร้อมลายเซนต์
4.สำเนาทะเบียนบ้า
5.สำเนาหน้าพาสปอร์ตที่มีการประทับตราการเข้า-ออกระหว่างไทยและฟิลิปปินส์
แต่หลังจากนั้น คุณพ่อก็ไปตรวจเช็คว่าเรื่องเรียบร้อยหรือยังของทุกเครือข่าย เครือข่าย เอไอเอส เป็นที่แรกที่ยุติค่ะ เพราะลายเซนต์ไม่ตรงกัน ของทรูมีการตรวจสอบและมียอดค้างอยู่แต่ก่อนหน้า ทางผู้จัดการสาขาทรูที่เดอะมอล์บางกะปิ แจ้งว่า ไม่พบข้อมูลแล้ว ซึ่งก่อนนี้มีการขอเปิดใช้ถึง 4 หมายเลขด้วยกัน
ประเด็นคือ ดีแทคแจ้งรายละเอียดดังนี้นะคะ ดิฉันขออนุญาตชี้แจงเป็นข้อๆไปนะคะ คือ
1.กรณีที่ลูกค้าอ้างว่าไม่เคยจดทะเบียนเปิดเบอร์กับ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด นั้น บริษัทฯ พบว่ามีหลักฐานยืนยันว่าลูกค้ามาจดทะเบียนจริง ทั้ง 2 เลขหมาย คือ 09-4994-5529 และ 09-4994-5592 โดยใช้หลักฐานเป็นบัตรประชาชนในการจดทะเบียน เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ที่สำนักงานดีแทค เดอะมอลล์ บางกะปิ เจ้าหน้าที่ดีแทคได้ทำการจดทะเบียนถูกต้องตามกระบวนการขั้นตอนของบริษัทฯ โดยขอยืนยันว่า ผู้มาเปิดใช้บริการได้นำบัตรประชาชนตัวจริงมายื่นแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอ จดทะเบียนเบอร์ดังกล่าว
1.1ขอถามนะคะ ว่าไหนคือหลักฐานที่คุณกล่าวว่าดิฉัน นำสำเนาบัตรประชาชนมาเปิดใช้บริการจริงที่สาขา เดอะมอล์บางกะปิ มีกล้องวงจรปิดไหมคะ ถ้ามีนำมาออกสื่อค่ะ
1.2.เจ้าหน้าที่ที่แจ้งว่าเป็นคนที่รับยื่นบัตรประชาชนตัวจริงเพื่อที่ดิฉันมาขอสมัคร อยู่ที่ไหนคะ นำมาเจอค่ะ ตัวต่อตัวค่ะ
1.3.ถ้าดีแทคคิดว่าใช่ดิฉันจริงนำลายเซนต์เข้ากองพิสูจน์หลักฐานเลยค่ะ พิสูจน์กันไปเลยค่ะ ขนาดชื่อที่มิจฉาชีพเซนต์นั้นยังเขียนผิดเลยค่ะ
2.สำหรับค่าใช้จ่ายที่ถูกเรียกเก็บตามที่กล่าวอ้างนั้น จากการตรวจสอบบันทึกการใช้งานทั้ง 2 เลขหมาย ซึ่งลูกค้าเป็นผู้จดทะเบียนเปิดบริการนั้น พบว่า เป็นค่าใช้จ่ายจากการใช้งานบริการข้ามแดนอัตโนมัติ (โรมมิ่ง) ในประเทศฟิลิปปินส์ และการติดต่อกลับมาประเทศไทย โดยมีการเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนในการใช้งานที่เกิดขึ้นตามหลักฐานเจ้า ของหมายเลขตามปกติ ทั้งนี้ในขณะที่ลูกค้ากำลังมีการใช้งานโรมมิ่งนั้น บริษัทฯ ตรวจพบในชั้นแรกว่า มีค่าบริการที่สูงเกิดขึ้นจากการใช้งานทั้ง 2 เลขหมาย ประมาณ 40,000 บาท บริษัทฯ จึงได้ติดต่อแจ้งเตือนไปยังลูกค้าเพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับอัตราค่าบริการ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนปกติ หากบริษัทฯ พบว่ามีการใช้งาน และมีค่าใช้จ่ายที่สูงต่อเนื่อง แต่ลูกค้ายืนยันที่จะขอใช้บริการโรมมิ่งต่อไป โดยไม่ต้องการให้บริษัทฯ ทำการระงับบริการ โดยลูกค้าแจ้งว่าอยู่ต่างประเทศ และรับทราบค่าบริการและค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะจำเป็นต้องใช้งาน
2.1 ถูกต้องค่ะ ที่ดิฉันได้ทำงานอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ จริงโดยมีการเดินทางไปทำงานช่วงวันที่ 2 ก.พ 2557 และ มีการเดินทางกลับมาที่ไทย วันที่ 8 พ.ค 2557 จริง เนื่องจากป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบปอด เพิ่งขอย้ายการรักษาจากฟิลิปปินส์มาไทยเนื่องจากสะดวกกว่าอยู่ต่างประเทศ โดยเข้ามาทำการรักษาที่รพ.มงกุฎวัฒนะจริงค่ะ เริ่มการรักษาตั้งแต่ วันที่ 8 พ.ค 2257 – 17 ส.ค 2557และมีหลีกฐานการรักษาค่ะ  โดยไม่ได้มีการเดินทางไปที่ฟิลิปปินส์เลยในช่วงเวลา ดังกล่าว และมีหลักฐานการประทับตราจากอิมมิเกรชั่นค่ะ
2.2 ทางดีแทคแจ้งมาว่าดิฉันมีการนำ 2 หมายเลขดังกล่าวกลับไปใช้ที่ฟิลิปปินส์  โดยมีการขอเปิดโรมมิ่งข้ามแดนอัตโนมัติและกล่าวว่าดิฉันเป็นผู้โทรกลับมายังศูนย์บริการดีแทคเพื่อยืนยันการขอเปิดใช้โรมมิ่งต่อ ทั้งๆที่ดีแทคอ้างว่าเคยแจ้งดิฉันไปแล้วว่ายอดค่าใช้จ่ายตอนนี้4 หมื่นบาทแล้วแต่ดิฉันก็ยืนยันที่จะใช้ต่อ รบกวนนะคะ ขอบันทึกเสียงทั้งหมดค่ะ อย่ากล่าวหาลอยๆ อีกนิดนะคะ ประเทศฟิลิปปินส์ก็มีหลายเครือข่ายที่ให้บริการ ดังนั้นผู้ที่พำนักอยู่ที่ฟิลิปปินส์จะทราบกันดีอยู่แล้วค่ะว่า ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องทำการขอเปิดโรมมิ่งเพื่อใช้แทนเบอร์ที่ฟิลิปปินส์ อีกอย่างนะคะ ทุกวันนี้นะบบโซเชี่ยลเยอะค่ะ คงไม่จำเป็นต้องโทรจากการใช้โรมมิ่งเพื่อให้สิ้นเปลืองเงินทองหรอกค่ะ และดิฉันก็ไม่ใช้นักธุระกิจที่จำเป็นจะต้องขอใช้โรมมิ่งดังกล่าว อันที่จริงดีแทคคุณเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายอยู่แล้วคุณสามารถเช็ครายละเอียดทั้งหมดได้นะคะ เรื่องการโทรรวมถึงอีมี่เครื่องนะคะ
3.ลูกค้าได้มีการใช้งานต่อเนื่อง และรับทราบวิธีการเปิด-ปิด ระงับสัญญาณโรมมิ่งที่สามารถทำได้ด้วยตนเองผ่านมือถือที่ใช้งาน โดยลูกค้ามีพฤติกรรมเปิด-ปิดระงับสัญญาณโรมมิ่งด้วยตนเองอีกหลายครั้ง และมีการใช้งานเลขหมายดังกล่าวจนมีค่าบริการเพิ่มถึงประมาณ 4 แสนบาท บริษัทฯ จึงทำการระงับบริการ ต่อมา ลูกค้าได้ติดต่อมาแจ้งว่าจะขอชำระค่าบริการทั้งหมดในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2557
31.อย่างที่กล่าวไว้นะคะ เรื่องการทราบวิธีขั้นตอนการเปิด-ปิดการใช้งานของโรมมิ่ง ทุกท่านที่มีความเข้าใจก็จะทราบกันอยู่แล้วนะคะว่าทุกครั้งก่อนที่เราจะดำเนินการดังกล่าว เราต้องรู้ด้วยว่าเรามีความจำเป็นไหมที่จะต้องขอเปิดใช้โรมมิ่งไหม ซึ่งทางเครือข่ายก็ต้องมีการแนะนำลูกค้าก่อนการเปิดใช้ ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาที่เดินทางไปเที่ยวก็อาจจะมีการขอเปิดใช้ แต่สำหรับพนักงานทั่วไปอย่างดิฉันคงไม่มีความจำเป็นต้องมีการขอใช้หรอกค่ะ เนื่องจากยอดการใช้เกือบ5 แสนบาท มากกว่าเงินเดทอนดิฉันอีกค่ะ เงิน 5 แสนสำหรับพนักงานธรรมดาอย่างดิฉัน มันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ดิฉันเดินทางไปทำงานต่างประเทศเนื่องด้วยมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัวนะคะ
4.อย่าง ไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ ซึ่งลูกค้าได้ปฏิเสธการชำระหนี้มาโดยตลอด บริษัทฯ จึงดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2559 และศาลได้กำหนดนัดวันสืบพยานในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2559 ที่จะถึงนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่