“ปลัด ยธ.” เผยไทยรับข้อเสนอ UPR เพิ่ม 6 ข้อ เตรียมถกประเด็นศาลทหารกับพลเรือน รับหรือไม่รับ15 ก.ย.หลัง “หน.คสช.”ใช้ ม.44 ออกคำสั่งเลิกศาลทหารคดีความมั่นคงขึ้นศาลพลเรือน
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 13 กันยายน ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่ผลการทบทวนรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก UPR โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นางกรรณิการ์ แสงทอง อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และนายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชน รวม 120 คน เข้าร่วมประชุมด้วย
นายชาญเชาวน์กล่าวว่า การดำเนินงานของประเทศตามกลไก UPR รอบที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2555-2559 ซึ่งเป็นกระบวนการจัดทำรายงาน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนผ่านการลงพื้นที่รับฟังความเห็น เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการยกร่างรายงาน ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและส่งรายงานไปยัง สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา จากนั้น คณะผู้แทนไทย โดยการนำของตนได้นำเสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก UPR ในการประชุมคณะทำงาน UPR ครั้งที่ 25 เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการนำเสนอรายงานปรากฎว่าไทยได้รับข้อเสนอจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติวม 249 ข้อ ซึ่งไทยตอบรับทันที 181 ข้อ และนำกลับมาพิจารณาเพิ่มเติม 68 ข้อ โดยส่วนมากข้อเสนอแนะที่ไทยตอบรับ คือ การพัฒนาด้านการศึกษา สาธารณสุข การคุ้มครองกลุ่มผู้เปราะบางต่างๆ เช่น เด็ก สตรี คนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และข้อเสนอแนะที่ไทยขอรับกลับมาพิจารณา คือ ข้อเสนอที่เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การจำกัดเสรีภาพ ที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน การยกเลิกโทษประหารชีวิต การใช้ศาลทหาร และการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดททางคอมพิวเตอร์
ปลัดกระทรวงยุติธรรมกล่าวอีกว่า ภายหลังการนำเสนอรายงานดังกล่าว กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ร่วมกันจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง เพื่อแจ้งให้ทราบถึงผลการทบทวนายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก UPR รวมทั้งพิจารณาข้อเสนอแนะที่ไทยรับกลับมาพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งผลการพิจารณา คือ ไทยจะรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอีก 6 ข้อ คือ
1.พิจารณาการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 189 ซึ่งประเทศฟิลิปปินส์ เป็นผู้เสนอ
2.จัดตั้งหน่วยงานอิสระเพื่อตรวจสอบข้อกล่าวหาการทรมานทั้งหมด ซึ่งรวมถึงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยประเทศแคนาดา เป็นผู้เสนอ
3.ลดระดับการใช้โทษประหารชีวิตต่อไป ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้เสนอ
4.ดำเนินการตามข้อ 83-85 ของมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหรือ “ข้อกำหนดแมนเดลลา” ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งหน่วยตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระที่สามารถเข้าถึงผู้ต้องขังทุกประเภทในเรือนจำทุกแห่งที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ยธ. โดยสหราชอาณาจักรเป็นผู้เสนอ
5.กลุ่มสิทธิของกลุ่มต่างๆ ดำเนินการแก้ไขปัญหาความรุนแรงและการกดขี่ทางเพศทุกรูปแบบเพิ่มเติมด้วยการทบทวนข้อบทที่เกี่ยวข้องในประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ประเทศคีร์กิซสถาน ได้เสนอ และ 6.ยกเลิกข้อบทของกฎหมายที่ระบุว่าสามารถปรับลดอายุขั้นต่ำของการสมรสให้เป็น 13 ปี กรณีที่เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ และสามารถสมรสกับผู้ที่ล่วงละเมิดทางเพศได้ โดยประเทศติมอร์ เลสเต เป็นผู้เสนอ
ดังนั้น รวมข้อเสนอแนะที่ไทยรับทั้งสิ้น 187 ข้อ ไม่รับ 62 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 75.10 ซึ่งครม.ได้มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ หลังจากนี้ นายธานีจะได้แจ้งผลกรพิจารณาข้อเสนอแนะเพิ่มเติมให้สหประชาชาติทราบในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 33 ในวันที่ 23 ก.ย.นี้
นายชาญเชาวน์กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีคำสั่งของหัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกประกาศที่ 55/2559 เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ในการที่จะให้คดีบางประเภทตามประกาศดังกล่าว เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 107-112 และคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมถึงคดีที่ผิดคำสั่ง คสช. และอาวุธสงคราม ซึ่งคำสั่ง คสช. บอกว่านับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย.เป็นต้นไป ถ้ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ก็ให้ไปขึ้นที่ศาลยุติธรรม ส่วนคดีที่ค้างอยู่ก็ให้อยู่ที่ศาลทหารต่อไป ดังนั้น ตรงนี้จะมีผลอะไรหรือไม่กับข้อเสนออีก 62 ข้อที่เหลืออยู่ที่จะเกี่ยวข้องหรือไม่ เท่าที่ตนดูคร่าวๆ ก็มีข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการใช้ศาลทหารและศาลพลเรือนอยู่ เพื่อความรอบคอบตนจึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกันในวันที่ 15 ก.ย.นี้ ว่าเราจะรับข้อเสนออะไรได้เพิ่มเติมอีกหรือไม่
“มีหลายประเทศมากที่พูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งผมดูคราวๆ มี 10 กว่าประเทศที่พูดถึง ที่นี้กระบวนการของสหประชาชาติ เราจะต้องใช้ข้อความที่เขาให้เรามาอย่างเคร่งครัด หมายความว่าเขาพูดว่ายกเลิก ก็ต้องยกเลิก ถ้าเราเห็นว่าเรายกเลิกไม่ได้ เรายังคงมีค้างอยู่ เราก็รับข้อเสนอนั้นไม่ได้และจะไม่มีการเจรจาอีก ซึ่งตรงนี้เราจะต้องดูข้อความที่เขาเสนอเรามาให้ชัดๆ อีกครั้ง อีกทั้ง ข้อเสนอที่เขาให้มามันเป็นภาษาอังกฤษ เราก็ต้องมาแปลความ ตีความกันให้ชัดเจนเลย” ปลัดกระทรวงยุติธรรมกล่าว
นายชาญเชาวน์กล่าวต่อว่า ตามคำสั่ง คสช.ดังกล่าว คือคดีที่ยังค้างอยู่ในศาลทหารก็ให้ดำเนินการในศาลทหารต่อไป ไม่ได้ยุติ แต่คดีที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ให้ไปศาลยุติธรรม ซึ่งเราต้องชัดตรงนี้ก่อน ดังนั้น เราจะต้องหารือกับกรมพระธรรมนูญอีกครั้ง ว่าสิ่งที่ตนพูดใช่หรือไม่ ซึ่งมันจะต้องเป็นทางการออกมาให้ชัด เพราะตรงนี้ยังเป็นความเห็นของตนอยู่ ฉะนั้น การประชุมต้องชัด และให้เขาตีความคำสั่ง คสช. ออกมาให้ชัดว่าที่เป็นทางการคืออะไร และตนก็จะเอาข้อเสนอของประเทศสมาชิกมาพิจารณาว่าอันไหนที่เราจะสามารถรับเพิ่มได้หรือไม่ ก่อนเสนอให้ ครม.มีความเห็นชอบต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในคำสั่ง คสช.ดังกล่าว หัวหน้า คสช. สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ นายชาญเชาวน์กล่าวว่า ข้อสังเกตตรงนี้ ตนก็จะนำไปดูข้อเสนอแนะของประเทศสมาชิกว่าเขาเสนอแนะอะไรลงมาตรงๆ ส่วนโทษประหารชีวิตที่เรามีการรับข้อเสนอนั้น เป็นการข้อเสนอที่ให้ลดระดับการใช้โทษประหารชีวิต ซึ่งตรงกับที่เราตั้งใจทำอยู่แล้ว ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ซึ่งยังไม่ได้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด
/
JJNY : ปลัดยธ.เผยไทยรับข้อเสนอ UPR เพิ่ม 6 ข้อ นัดถก รับ-ไม่รับ ประเด็นศาลทหารกับพลเรือน 15 ก.ย.นี้
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 13 กันยายน ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่ผลการทบทวนรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก UPR โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นางกรรณิการ์ แสงทอง อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และนายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชน รวม 120 คน เข้าร่วมประชุมด้วย
นายชาญเชาวน์กล่าวว่า การดำเนินงานของประเทศตามกลไก UPR รอบที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2555-2559 ซึ่งเป็นกระบวนการจัดทำรายงาน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนผ่านการลงพื้นที่รับฟังความเห็น เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการยกร่างรายงาน ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและส่งรายงานไปยัง สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา จากนั้น คณะผู้แทนไทย โดยการนำของตนได้นำเสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก UPR ในการประชุมคณะทำงาน UPR ครั้งที่ 25 เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการนำเสนอรายงานปรากฎว่าไทยได้รับข้อเสนอจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติวม 249 ข้อ ซึ่งไทยตอบรับทันที 181 ข้อ และนำกลับมาพิจารณาเพิ่มเติม 68 ข้อ โดยส่วนมากข้อเสนอแนะที่ไทยตอบรับ คือ การพัฒนาด้านการศึกษา สาธารณสุข การคุ้มครองกลุ่มผู้เปราะบางต่างๆ เช่น เด็ก สตรี คนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และข้อเสนอแนะที่ไทยขอรับกลับมาพิจารณา คือ ข้อเสนอที่เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การจำกัดเสรีภาพ ที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน การยกเลิกโทษประหารชีวิต การใช้ศาลทหาร และการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดททางคอมพิวเตอร์
ปลัดกระทรวงยุติธรรมกล่าวอีกว่า ภายหลังการนำเสนอรายงานดังกล่าว กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ร่วมกันจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง เพื่อแจ้งให้ทราบถึงผลการทบทวนายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก UPR รวมทั้งพิจารณาข้อเสนอแนะที่ไทยรับกลับมาพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งผลการพิจารณา คือ ไทยจะรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอีก 6 ข้อ คือ
1.พิจารณาการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 189 ซึ่งประเทศฟิลิปปินส์ เป็นผู้เสนอ
2.จัดตั้งหน่วยงานอิสระเพื่อตรวจสอบข้อกล่าวหาการทรมานทั้งหมด ซึ่งรวมถึงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยประเทศแคนาดา เป็นผู้เสนอ
3.ลดระดับการใช้โทษประหารชีวิตต่อไป ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้เสนอ
4.ดำเนินการตามข้อ 83-85 ของมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหรือ “ข้อกำหนดแมนเดลลา” ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งหน่วยตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระที่สามารถเข้าถึงผู้ต้องขังทุกประเภทในเรือนจำทุกแห่งที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ยธ. โดยสหราชอาณาจักรเป็นผู้เสนอ
5.กลุ่มสิทธิของกลุ่มต่างๆ ดำเนินการแก้ไขปัญหาความรุนแรงและการกดขี่ทางเพศทุกรูปแบบเพิ่มเติมด้วยการทบทวนข้อบทที่เกี่ยวข้องในประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ประเทศคีร์กิซสถาน ได้เสนอ และ 6.ยกเลิกข้อบทของกฎหมายที่ระบุว่าสามารถปรับลดอายุขั้นต่ำของการสมรสให้เป็น 13 ปี กรณีที่เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ และสามารถสมรสกับผู้ที่ล่วงละเมิดทางเพศได้ โดยประเทศติมอร์ เลสเต เป็นผู้เสนอ
ดังนั้น รวมข้อเสนอแนะที่ไทยรับทั้งสิ้น 187 ข้อ ไม่รับ 62 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 75.10 ซึ่งครม.ได้มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ หลังจากนี้ นายธานีจะได้แจ้งผลกรพิจารณาข้อเสนอแนะเพิ่มเติมให้สหประชาชาติทราบในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 33 ในวันที่ 23 ก.ย.นี้
นายชาญเชาวน์กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีคำสั่งของหัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกประกาศที่ 55/2559 เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ในการที่จะให้คดีบางประเภทตามประกาศดังกล่าว เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 107-112 และคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมถึงคดีที่ผิดคำสั่ง คสช. และอาวุธสงคราม ซึ่งคำสั่ง คสช. บอกว่านับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย.เป็นต้นไป ถ้ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ก็ให้ไปขึ้นที่ศาลยุติธรรม ส่วนคดีที่ค้างอยู่ก็ให้อยู่ที่ศาลทหารต่อไป ดังนั้น ตรงนี้จะมีผลอะไรหรือไม่กับข้อเสนออีก 62 ข้อที่เหลืออยู่ที่จะเกี่ยวข้องหรือไม่ เท่าที่ตนดูคร่าวๆ ก็มีข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการใช้ศาลทหารและศาลพลเรือนอยู่ เพื่อความรอบคอบตนจึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกันในวันที่ 15 ก.ย.นี้ ว่าเราจะรับข้อเสนออะไรได้เพิ่มเติมอีกหรือไม่
“มีหลายประเทศมากที่พูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งผมดูคราวๆ มี 10 กว่าประเทศที่พูดถึง ที่นี้กระบวนการของสหประชาชาติ เราจะต้องใช้ข้อความที่เขาให้เรามาอย่างเคร่งครัด หมายความว่าเขาพูดว่ายกเลิก ก็ต้องยกเลิก ถ้าเราเห็นว่าเรายกเลิกไม่ได้ เรายังคงมีค้างอยู่ เราก็รับข้อเสนอนั้นไม่ได้และจะไม่มีการเจรจาอีก ซึ่งตรงนี้เราจะต้องดูข้อความที่เขาเสนอเรามาให้ชัดๆ อีกครั้ง อีกทั้ง ข้อเสนอที่เขาให้มามันเป็นภาษาอังกฤษ เราก็ต้องมาแปลความ ตีความกันให้ชัดเจนเลย” ปลัดกระทรวงยุติธรรมกล่าว
นายชาญเชาวน์กล่าวต่อว่า ตามคำสั่ง คสช.ดังกล่าว คือคดีที่ยังค้างอยู่ในศาลทหารก็ให้ดำเนินการในศาลทหารต่อไป ไม่ได้ยุติ แต่คดีที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ให้ไปศาลยุติธรรม ซึ่งเราต้องชัดตรงนี้ก่อน ดังนั้น เราจะต้องหารือกับกรมพระธรรมนูญอีกครั้ง ว่าสิ่งที่ตนพูดใช่หรือไม่ ซึ่งมันจะต้องเป็นทางการออกมาให้ชัด เพราะตรงนี้ยังเป็นความเห็นของตนอยู่ ฉะนั้น การประชุมต้องชัด และให้เขาตีความคำสั่ง คสช. ออกมาให้ชัดว่าที่เป็นทางการคืออะไร และตนก็จะเอาข้อเสนอของประเทศสมาชิกมาพิจารณาว่าอันไหนที่เราจะสามารถรับเพิ่มได้หรือไม่ ก่อนเสนอให้ ครม.มีความเห็นชอบต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในคำสั่ง คสช.ดังกล่าว หัวหน้า คสช. สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ นายชาญเชาวน์กล่าวว่า ข้อสังเกตตรงนี้ ตนก็จะนำไปดูข้อเสนอแนะของประเทศสมาชิกว่าเขาเสนอแนะอะไรลงมาตรงๆ ส่วนโทษประหารชีวิตที่เรามีการรับข้อเสนอนั้น เป็นการข้อเสนอที่ให้ลดระดับการใช้โทษประหารชีวิต ซึ่งตรงกับที่เราตั้งใจทำอยู่แล้ว ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ซึ่งยังไม่ได้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด
/