คุณนภดล สุขเกษมได้รับแจ้งจากคุณนิติทนายความประจำตระกูลนาทองสุขว่า คุณลุงเมธินทร์ นาทองสุข เจ้าของนาทองสุข ได้ถึงแก่กรรมและยกที่นาปลูกข้าวบาสมาติ จำนวน 2,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงรายให้คุณดลภพ คุณลุงเมธินทร์ไม่ได้อยู่ประจำที่จังหวัดเชียงราย เนื่องจากท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเชียงใหม่ และได้จ้างผู้จัดการเป็นผู้บริหารนาทองสุข คุณดลภพตั้งใจจะดำเนินงานต่อจากคุณลุง หากการดำเนินงานนาทองสุขได้กำไรในช่วง 10 ปีหลัง คุณดลภพคิดว่าการทำธุรกิจปลูกข้าวบาสมาติเป็นการลงทุนที่ดีอย่างหนึ่ง เนื่องจาก
ก. ข้าวสมาติเป็นสินค้าส่งออกที่ดีอย่างหนึ่ง
ข. ขณะนี้มีบริษัทที่สนใจรับซื้อข้าวบาสมาติเพื่อส่งออก หรือรับเจ้าของนาเป็นลูกนาโดยที่บริษัทผู้ส่งออกจะส่งผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำดูแล พร้อมทั้งหาเมล็ดพันธุ์ที่ดีมาให้
ค. มูลค่าของที่ดินในแถบจังหวัดเชียงรายมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับนาทองสุข กำลังพัฒนาเป็นศูนย์การค้า
จากจดหมายของคุณนิติ ซึ่งแจ้งเกี่ยวกับมรดกจำนวนนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกำไรหรือขาดทุนจากการดดำเนินงานของนาทองสุข และไม่ได้กำหนดมูลค่าของสินค้าคงเหลือในวันสิ้นงวด แต่คุณนิติได้กล่าวถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ของนาทองสุข ซึ่งคุณนิติมีความเห็นว่าวิธีการรับรู้รายได้น่าจะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง
ดังนี้
1. วิธีรับรู้รายได้เมื่อผลิตเสร็จ โดยใช้ราคาที่บริษัทรับซื้อข้าวเพื่อส่งออกกำหนดไว้ โดยปกติบริษัทเหล่านี้จะกำหนดไว้แน่นอนในช่วงเวลาหนึ่ง
2. รับรู้รายได้เมื่อขาย ซึ่งโดยปกตินาทองสุขมักจะขายข้าวให้บริษัทรับซื้อข้าวตามราคาที่กำหนดไว้
3. วิธีรับรู้รายได้เมื่อเก็บเงินได้ ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลาหลายเดือนนับจากเดือนที่ขายเนื่องจากนาทองสุขเป็นนาขนาดใหญ่ และบริษัทรับซื้อข้าวมักจะให้ราคาข้าวสูงกว่าเกษตรกรรายย่อย 10% แต่ชำระเงินด้วยวิธีจ่ายชำระหลายงวด
อย่างไรก็ดี ในจดหมายของคุณนิติ ก็ให้ข้อมูลในเรื่องอื่นไว้ดังนี้
ค่าใช้จ่ายในนาทองสุข
ก ต้นทุนผันแปรต่อเกวียน สมมติว่าผลผลิตที่ได้จำนวน 1 เกวียนต่อ 1 ไร่ ซึ่งค่าเฉลี่ยจาก 5 ปี
เมล็ดพันธุ์ 35 บาท
ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ 210 บาท
เครื่องจักรกล,เชื้อเพลิงและซ่อมแซม 65 บาท
แรงงานชั่วคราวและต้นทุนอื่น ๆ 25 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อเกวียน 335 บาท
ข. ต้นทุนประจำปี ซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่เกี่ยวกับจำนวนการผลิต
เงินเดือนและค่าจ้างแรงงาน 450,000 บาท
ค่าเบี้ยประกันภัย 45,000 บาท
ค่าสาธารณูปโภค 150,000 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 300,000 บาท
รวม 940,000 บาท
ค่าเสื่อมราคา 190,000 บาท
สินค้าคงเหลือ
ยอดต้นปี 0 เกวียน
ผลิตข้าวได้ระหว่างปี 2,100 เกวียน
ขายไป 1,800 เกวียน
ยอดคงเหลือ 300 เกวียน
ราคาขายโดยเฉลี่ยต่อเกวียน
ขายให้พ่อค้ารับซื้อข้าวในระหว่างปี 2,200 บาท
ราคาขายต่อเกวียนในช่วงเก็บเกี่ยว 2,100 บาท
ราคาปิดต่อเกวียนวันปลายปี 2,280 บาท
ลูกหนี้
เมื่อวันสิ้นปีนาทองสุขยังไม่ได้รับเงินจากบริษัทรับซื้อข้าว จำนวน 200 เกวียน ราคาขายโดยเฉลี่ยเกวียนละ 2,200 บาท และกิจการไม่มีรายการลูกหนี้ค้างรับ ณ วันต้นปี
เงินสด
สิ้นปีมียอดเงินคงเหลือจากบัญชีเดินสะพัด 58,000 บาท
ยอดเงินคงเหลือจากบัญชีออมทรัพย์ 150,000 บาท
อาคารและอุปกรณ์
อาคารและอุปกรณ์มีราคาทุนรวม 2,750,000 บาท
ค่าเสื่อราคาสะสม 2,000,000 บาท
ค่าเสื่อมราคา 190,000 บาท
ในระหว่างปีมีการซื้ออุปกรณ์ใหม่ 250,000 บาท
ที่ดิน
ราคาทุนเดิม 250,000 บาทราคาประเมินสำหรับภาษีที่ดิน 15,000 บาทต่อไร่ หรือ 30,000,000 บาท
หนี้สินหมุนเวียน
มีตั๋วเงินจ่ายและเจ้าหนี้การค้ารวมกัน 220,000 บาท
ส่วนของเจ้าของกิจการ
ทุน 50,000 บาท
เงินถอน 3,000,000 บาท
คุณนิติไม่ทราบว่าจำนวนกำไรสุทธิที่สะสมไว้เป็นเท่าไร เพราะบัญชีเงินถอนมียอดเป็นเครดิตและปกติจะเพิ่มขึ้นด้วยกำไรสุทธิ และลดลงด้วยเงินที่คุณเมธินทร์ถอนไปใช้ โดยให้เหตุผลว่ากำไรสะสมถ้ามีก้เป็นข้อมูลในอดีตที่นานแล้วเพราะคุณเมธินทร์ได้ถอนเงินจำนวนมากจากผลกำไรในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไปใช้ชีวิตแบบฉบับของเขาในเชียงใหม่ เพื่อดำเนินชีวิตอย่างสะดวกสบาย
นอกจากนั้นคุณดลภพ ยังได้รับทราบจากคุณนิติว่า เขาจะต้องนำกำไรสุทธิ (ส่วนที่เกิดขึ้นในปีที่คุณเมธินทร์เสียชีวิต) ส่วนที่เหลือจากการเบิกใช้ของคุณเมธินทร์ มอบให้คุณปรีชนัดด์ ณ เชียงดาว หญิงหม้ายซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน และดูแลคุณลุงในบั้นปลายชีวิตของท่าน
หากคุณดลภพมาขอคำแนะนำจากท่าน ท่านให้คำแนะนำในคำถามต่อไปนี้อย่างไร
1. เขาควรรับรู้รายได้เมื่อใด
2.ในปีที่ผ่านมานาทองสุขมีฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร
3.เขาควรจะรับมรดกจากคุณเมธินทร์หรือไม่
4.ถ้าเขารับมรดกแล้ว เขาจะต้องมอบเงินให้คุณปรีชนัดด์เป็นจำนวนเท่าไร
5.เขาควรจะดำเนินงานในนาทองสุขต่อไป หรือขายที่ดิน
ขอความช่วยเหลือ เรื่องกรณีศึกษา วิชาบัญชีด้วยค่ะ
ก. ข้าวสมาติเป็นสินค้าส่งออกที่ดีอย่างหนึ่ง
ข. ขณะนี้มีบริษัทที่สนใจรับซื้อข้าวบาสมาติเพื่อส่งออก หรือรับเจ้าของนาเป็นลูกนาโดยที่บริษัทผู้ส่งออกจะส่งผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำดูแล พร้อมทั้งหาเมล็ดพันธุ์ที่ดีมาให้
ค. มูลค่าของที่ดินในแถบจังหวัดเชียงรายมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับนาทองสุข กำลังพัฒนาเป็นศูนย์การค้า
จากจดหมายของคุณนิติ ซึ่งแจ้งเกี่ยวกับมรดกจำนวนนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกำไรหรือขาดทุนจากการดดำเนินงานของนาทองสุข และไม่ได้กำหนดมูลค่าของสินค้าคงเหลือในวันสิ้นงวด แต่คุณนิติได้กล่าวถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ของนาทองสุข ซึ่งคุณนิติมีความเห็นว่าวิธีการรับรู้รายได้น่าจะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง
ดังนี้
1. วิธีรับรู้รายได้เมื่อผลิตเสร็จ โดยใช้ราคาที่บริษัทรับซื้อข้าวเพื่อส่งออกกำหนดไว้ โดยปกติบริษัทเหล่านี้จะกำหนดไว้แน่นอนในช่วงเวลาหนึ่ง
2. รับรู้รายได้เมื่อขาย ซึ่งโดยปกตินาทองสุขมักจะขายข้าวให้บริษัทรับซื้อข้าวตามราคาที่กำหนดไว้
3. วิธีรับรู้รายได้เมื่อเก็บเงินได้ ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลาหลายเดือนนับจากเดือนที่ขายเนื่องจากนาทองสุขเป็นนาขนาดใหญ่ และบริษัทรับซื้อข้าวมักจะให้ราคาข้าวสูงกว่าเกษตรกรรายย่อย 10% แต่ชำระเงินด้วยวิธีจ่ายชำระหลายงวด
อย่างไรก็ดี ในจดหมายของคุณนิติ ก็ให้ข้อมูลในเรื่องอื่นไว้ดังนี้
ค่าใช้จ่ายในนาทองสุข
ก ต้นทุนผันแปรต่อเกวียน สมมติว่าผลผลิตที่ได้จำนวน 1 เกวียนต่อ 1 ไร่ ซึ่งค่าเฉลี่ยจาก 5 ปี
เมล็ดพันธุ์ 35 บาท
ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ 210 บาท
เครื่องจักรกล,เชื้อเพลิงและซ่อมแซม 65 บาท
แรงงานชั่วคราวและต้นทุนอื่น ๆ 25 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อเกวียน 335 บาท
ข. ต้นทุนประจำปี ซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่เกี่ยวกับจำนวนการผลิต
เงินเดือนและค่าจ้างแรงงาน 450,000 บาท
ค่าเบี้ยประกันภัย 45,000 บาท
ค่าสาธารณูปโภค 150,000 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 300,000 บาท
รวม 940,000 บาท
ค่าเสื่อมราคา 190,000 บาท
สินค้าคงเหลือ
ยอดต้นปี 0 เกวียน
ผลิตข้าวได้ระหว่างปี 2,100 เกวียน
ขายไป 1,800 เกวียน
ยอดคงเหลือ 300 เกวียน
ราคาขายโดยเฉลี่ยต่อเกวียน
ขายให้พ่อค้ารับซื้อข้าวในระหว่างปี 2,200 บาท
ราคาขายต่อเกวียนในช่วงเก็บเกี่ยว 2,100 บาท
ราคาปิดต่อเกวียนวันปลายปี 2,280 บาท
ลูกหนี้
เมื่อวันสิ้นปีนาทองสุขยังไม่ได้รับเงินจากบริษัทรับซื้อข้าว จำนวน 200 เกวียน ราคาขายโดยเฉลี่ยเกวียนละ 2,200 บาท และกิจการไม่มีรายการลูกหนี้ค้างรับ ณ วันต้นปี
เงินสด
สิ้นปีมียอดเงินคงเหลือจากบัญชีเดินสะพัด 58,000 บาท
ยอดเงินคงเหลือจากบัญชีออมทรัพย์ 150,000 บาท
อาคารและอุปกรณ์
อาคารและอุปกรณ์มีราคาทุนรวม 2,750,000 บาท
ค่าเสื่อราคาสะสม 2,000,000 บาท
ค่าเสื่อมราคา 190,000 บาท
ในระหว่างปีมีการซื้ออุปกรณ์ใหม่ 250,000 บาท
ที่ดิน
ราคาทุนเดิม 250,000 บาทราคาประเมินสำหรับภาษีที่ดิน 15,000 บาทต่อไร่ หรือ 30,000,000 บาท
หนี้สินหมุนเวียน
มีตั๋วเงินจ่ายและเจ้าหนี้การค้ารวมกัน 220,000 บาท
ส่วนของเจ้าของกิจการ
ทุน 50,000 บาท
เงินถอน 3,000,000 บาท
คุณนิติไม่ทราบว่าจำนวนกำไรสุทธิที่สะสมไว้เป็นเท่าไร เพราะบัญชีเงินถอนมียอดเป็นเครดิตและปกติจะเพิ่มขึ้นด้วยกำไรสุทธิ และลดลงด้วยเงินที่คุณเมธินทร์ถอนไปใช้ โดยให้เหตุผลว่ากำไรสะสมถ้ามีก้เป็นข้อมูลในอดีตที่นานแล้วเพราะคุณเมธินทร์ได้ถอนเงินจำนวนมากจากผลกำไรในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไปใช้ชีวิตแบบฉบับของเขาในเชียงใหม่ เพื่อดำเนินชีวิตอย่างสะดวกสบาย
นอกจากนั้นคุณดลภพ ยังได้รับทราบจากคุณนิติว่า เขาจะต้องนำกำไรสุทธิ (ส่วนที่เกิดขึ้นในปีที่คุณเมธินทร์เสียชีวิต) ส่วนที่เหลือจากการเบิกใช้ของคุณเมธินทร์ มอบให้คุณปรีชนัดด์ ณ เชียงดาว หญิงหม้ายซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน และดูแลคุณลุงในบั้นปลายชีวิตของท่าน
หากคุณดลภพมาขอคำแนะนำจากท่าน ท่านให้คำแนะนำในคำถามต่อไปนี้อย่างไร
1. เขาควรรับรู้รายได้เมื่อใด
2.ในปีที่ผ่านมานาทองสุขมีฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร
3.เขาควรจะรับมรดกจากคุณเมธินทร์หรือไม่
4.ถ้าเขารับมรดกแล้ว เขาจะต้องมอบเงินให้คุณปรีชนัดด์เป็นจำนวนเท่าไร
5.เขาควรจะดำเนินงานในนาทองสุขต่อไป หรือขายที่ดิน