คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
เรียน จขกท ครับ
ทำอย่างไรจึงจะเห็น ว่าสิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสีที่มาปรากฏทางตาน่ะครับ
การกำหนดรู้ตามแนวทางพองยุบ อาศัยหลักการที่ปรากฎในสติปัฎฐานสูตร
มีข้อความตอนหนึ่งในเบื้องต้นพระสูตรว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ
ตรงที่ขีดเส้นไต้ คือ การกำหนดรู้แบบกำจัดอภิชฌาและโทมนัส ได้แก่การกำหนดรู้แบบละ
ความชอบ หรือ เกลียด (ไม่ชอบ) กำหนดรู้ตามจริงๆของสภาวะเท่านั้น ละความอยากได้ในสภาวะ
หรือละความไม่อยากได้ หรืออารมณ์ขุ่นมัวในเพราะการเห็นนั้น
เริ่มแรกปฏิบัติใหม่ อาจจะมีหลงลืมบ้าง แต่เมื่อสมาธิที่ได้จากการบริกรรมไปพร้อมด้วยในเวลากำหนดดีขึ้นแล้ว
นิวรณ์ต่างๆจะเบาบางสงบลงได้ ก็สามารถกำหนดได้แบบละความชอบหรือไม่ชอบได้เองครับ จะเหลือแต่สภาวะ
ที่เป็นจริงเท่านั้น ใหม่ๆหรือยังทำไม่ถูกวิธี ก็ลำบากหน่อย
แล้วกำหนดท้อง พองหนอ ยุบหนอ กำหนดอย่างไรครับ ผมศึกษาจากทางyoutubeพระท่านสอนว่า อาการพองยุบเป็นรูป รู้เป็นนาม มีเสียงคิดในใจ ว่า "อาการพองยุบเป็นรูป รู้เป็นนาม" อันนี้ถูกหรือเปล่าครับ
อาการท้องพองท้องยุบ กำหนดแบบนี้ครับ พอสังเขป
นั่งตัวตรง ตั้งสติไว้ที่ปัจจุบันที่กำหนดรู้คือ ท้อง
เมื่อท้องพอง ให้มีสติจดจ่อที่อาการพองของท้อง พร้อมกับบริกรรมในใจว่า พองหนอ
เมื่อท้องยุบ ก็ให้มีสติจดจ่อที่อาการยุบของท้อง พร้อมบริกรรมในใจว่า ยุบหนอ
โดยที่เวลากำหนดรู้ ไม่ต้องรู้แบบข่มใจบังคับใจ รู้แบบธรรมดาแต่ให้จดจ่อที่ท้อง เพื่อห้าม
ความฟุ้งซ่านหรืออารมณ์อื่นๆแทรกในขณะตามรู้อยู่
กรณีท้องพองน้อยจนไม่รู้สึก หรือ รู้สึกน้อย
หรือยุบน้อยจนไม่รู้สึก หรือ รู้สึกน้อย
ไม่ต้องพยายามเบ่งลม หรือหายใจเข้าออกมากๆเพื่อจะรู้สึก ปล่อยไปตามธรรมดาครับ
สติ สมาธิดีขึ้นแล้ว จะรู้ชัดเอง
การรู้สึกในเวลากำหนดรู้ ไม่ต้องจินตนาการภาพท้อง หรือ ไม่ต้องนึกถึงสัณฐานท้องที่พองยุบ
ให้ทำแค่รู้อาการพองขึ้นหรือยุบลง ก็คือ รู้แค่อาการตึงหรือหย่อนของท้องก็พอ เป็นถูกต้อง
บางครั้งลมหายใจเข้าออกสั้น ทำให้อาการพองยุบสั้นไปด้วย กำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ
รู้สึกไม่ทันลงคำว่าหนอได้ ก็กำหนดเพียง พอง ยุบ เท่านี้ก่อนครับ สมาธิดี สติดี จะกำหนดลงหนอ
ได้เอง
ไม่ควรกำหนดว่า พองเป็นรูป รู้เป็นนาม เพราะยาวไป และไม่ได้ประโยชน์ จิตจะไปอยู่ที่บริกรรมมากไปจน
กลายเป็นติดบัญญัติ ตอนนี้เราต้องการอาศัยบัญญัติเพียงเล็กน้อย เพื่อจะเห็นหรือเข้าใจในสภาวะลักษณะ
พิเศษของรูปเท่านั้น
ควรเดินจงกรมก่อนการปฏิบัติวิธีพองยุบเสมอ เนื่องจากการเดินจงกรม เป็นการช่วยให้สติเกาะสภาวะได้ดีขึ้น
และทำให้สมาธิที่ทำในขณะนั่งตั้งอยู่ได้นาน การปฏิบัติจะก้าวหน้าได้ไว
ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัตินะครับ
ทำอย่างไรจึงจะเห็น ว่าสิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสีที่มาปรากฏทางตาน่ะครับ
การกำหนดรู้ตามแนวทางพองยุบ อาศัยหลักการที่ปรากฎในสติปัฎฐานสูตร
มีข้อความตอนหนึ่งในเบื้องต้นพระสูตรว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ
ตรงที่ขีดเส้นไต้ คือ การกำหนดรู้แบบกำจัดอภิชฌาและโทมนัส ได้แก่การกำหนดรู้แบบละ
ความชอบ หรือ เกลียด (ไม่ชอบ) กำหนดรู้ตามจริงๆของสภาวะเท่านั้น ละความอยากได้ในสภาวะ
หรือละความไม่อยากได้ หรืออารมณ์ขุ่นมัวในเพราะการเห็นนั้น
เริ่มแรกปฏิบัติใหม่ อาจจะมีหลงลืมบ้าง แต่เมื่อสมาธิที่ได้จากการบริกรรมไปพร้อมด้วยในเวลากำหนดดีขึ้นแล้ว
นิวรณ์ต่างๆจะเบาบางสงบลงได้ ก็สามารถกำหนดได้แบบละความชอบหรือไม่ชอบได้เองครับ จะเหลือแต่สภาวะ
ที่เป็นจริงเท่านั้น ใหม่ๆหรือยังทำไม่ถูกวิธี ก็ลำบากหน่อย
แล้วกำหนดท้อง พองหนอ ยุบหนอ กำหนดอย่างไรครับ ผมศึกษาจากทางyoutubeพระท่านสอนว่า อาการพองยุบเป็นรูป รู้เป็นนาม มีเสียงคิดในใจ ว่า "อาการพองยุบเป็นรูป รู้เป็นนาม" อันนี้ถูกหรือเปล่าครับ
อาการท้องพองท้องยุบ กำหนดแบบนี้ครับ พอสังเขป
นั่งตัวตรง ตั้งสติไว้ที่ปัจจุบันที่กำหนดรู้คือ ท้อง
เมื่อท้องพอง ให้มีสติจดจ่อที่อาการพองของท้อง พร้อมกับบริกรรมในใจว่า พองหนอ
เมื่อท้องยุบ ก็ให้มีสติจดจ่อที่อาการยุบของท้อง พร้อมบริกรรมในใจว่า ยุบหนอ
โดยที่เวลากำหนดรู้ ไม่ต้องรู้แบบข่มใจบังคับใจ รู้แบบธรรมดาแต่ให้จดจ่อที่ท้อง เพื่อห้าม
ความฟุ้งซ่านหรืออารมณ์อื่นๆแทรกในขณะตามรู้อยู่
กรณีท้องพองน้อยจนไม่รู้สึก หรือ รู้สึกน้อย
หรือยุบน้อยจนไม่รู้สึก หรือ รู้สึกน้อย
ไม่ต้องพยายามเบ่งลม หรือหายใจเข้าออกมากๆเพื่อจะรู้สึก ปล่อยไปตามธรรมดาครับ
สติ สมาธิดีขึ้นแล้ว จะรู้ชัดเอง
การรู้สึกในเวลากำหนดรู้ ไม่ต้องจินตนาการภาพท้อง หรือ ไม่ต้องนึกถึงสัณฐานท้องที่พองยุบ
ให้ทำแค่รู้อาการพองขึ้นหรือยุบลง ก็คือ รู้แค่อาการตึงหรือหย่อนของท้องก็พอ เป็นถูกต้อง
บางครั้งลมหายใจเข้าออกสั้น ทำให้อาการพองยุบสั้นไปด้วย กำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ
รู้สึกไม่ทันลงคำว่าหนอได้ ก็กำหนดเพียง พอง ยุบ เท่านี้ก่อนครับ สมาธิดี สติดี จะกำหนดลงหนอ
ได้เอง
ไม่ควรกำหนดว่า พองเป็นรูป รู้เป็นนาม เพราะยาวไป และไม่ได้ประโยชน์ จิตจะไปอยู่ที่บริกรรมมากไปจน
กลายเป็นติดบัญญัติ ตอนนี้เราต้องการอาศัยบัญญัติเพียงเล็กน้อย เพื่อจะเห็นหรือเข้าใจในสภาวะลักษณะ
พิเศษของรูปเท่านั้น
ควรเดินจงกรมก่อนการปฏิบัติวิธีพองยุบเสมอ เนื่องจากการเดินจงกรม เป็นการช่วยให้สติเกาะสภาวะได้ดีขึ้น
และทำให้สมาธิที่ทำในขณะนั่งตั้งอยู่ได้นาน การปฏิบัติจะก้าวหน้าได้ไว
ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัตินะครับ
แสดงความคิดเห็น
### ผมมีคำถามนะครับ อยากรบกวนถามท่านผู้รู้หน่อยนะครับ ###
ทำอย่างไรจึงจะเห็น ว่าสิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสีที่มาปรากฏทางตาน่ะครับ
ส่วนเสียงที่มากระทบทางหูนี่ผมก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง (ส่วนใหญ่หลงไปมากกว่า)
แล้วกำหนดท้อง พองหนอ ยุบหนอ กำหนดอย่างไรครับ ผมศึกษาจากทางyoutubeพระท่านสอนว่า อาการพองยุบเป็นรูป รู้เป็นนาม มีเสียงคิดในใจ ว่า "อาการพองยุบเป็นรูป รู้เป็นนาม" อันนี้ถูกหรือเปล่าครับ
ขอบคุณล่วงหน้ามากๆครับ
#######ข้างล่างนี้อันนี้สนทนาเฉยๆครับ
เกิดกับผมเอง เห็นรูปผู้หญิง ราคะก็กำเริบขึ้นมา ต้องมาดูรูปอสุภะ ถึงจะระงับลงไป ผมคิดว่ามันต้องตัดให้ทันตั้งแต่ตาเห็นรูป หรือสี สรรค์ต่างๆแล้วนะครับ ดูไม่เคยทันสักที เห็นเป็นคน สัตว์ เป็นตามสัญญาเดิมๆตลอด ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันครับ
#####