คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ผมมองว่าประเด็นอยู่ตรงนี้ครับ ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 ที่ว่า
ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดําเนินกิจการดังต่อไปน้ี
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทํากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัตุหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอํานาจกํากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดําเนินคดี
ก็คือ ทักษิณ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับ กองทุนพื้นฟูสถาบันการเงิน เจ้าของที่ดินรัชดา ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ
ที่ต้องพิจารณาคือ คำว่า สัญญา คำว่า ส่วนได้เสีย
ว่าควรอยู่ในระดับใด แค่ไหน
หากทักษิณทำสัญญาซื้อขายคลอรีนกับการประปา ทำสัญญาสร้างถนนกับกรมทางหลวง ฯลฯ
อย่างนี้มองได้ว่า ทักษิณผิดแน่ ๆ เพราะสามารถออกนโยบายหรือสั่งการใด ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้
แต่การประมูลที่ดินรัชดานี่ ต่อให้ทักษิณทำเอง
มันก็เหมือนทำสัญญากับการไฟฟ้าให้มาติดมิเตอร์เตินไฟเข้าบ้าน เหมือนทำสัญญาเรื่องโทรศัพท์บ้าน น้ำประปา
ไม่น่าเป็นความผิด เพราะหากตีความครอบจักรวาลว่า ทำสัญญาใด ๆ กับหน่วยงานของรัฐไม่ได้
คนเป็นนายกฯ ลำบากแย่
จะถือบัตรเครดิตกรุงไทยยังทำไม่ได้
เรื่องอำนาจในการกำกับดูแลฯ
การที่ศาลพิพากษาว่าทักษิณมีอำนาจผ่าน รมว. คลัง ผ่านปลัดคลัง ที่เป็นกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ
ผมว่ามันเกินความจริง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
เพราะกองทุนฟื้นฟูฯ แม้จะเป็นหน่วยงานของรัฐ
มีปลัดคลังร่วมเป็นกรรมการในกองทนุฯ แต่ก็เป็นแค่ 1 ในจำนวนกรรมการ
แม้จะมีกรรมการอื่น ๆ ที่ รมว.คลังแต่งตั้ง
แต่การดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุน ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การสั่งการของ รมว.คลัง
เป็นแค่รูปแบบการจัดตั้งคณะกรรมการ ส่วนการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนที่กฎหมาย ธปท. บัญญัติไว้
การตรวจสอบ ก็มีคณะกรรมการตรวจสอบกองทุน
หากมีอะไรผิด คณะกรรมการตรวจสอบก็แค่เสนอไปตามขั้นลำดับการบังคับบัญชา
ทั้งการกำกับดูแลฯ ทั้งการตรวจสอบ ห่างไกล และไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีแน่ ๆ
คดีนี้ เป็นการ "เอาผิด" แบบทำให้วงการตุลาการเสียหายจริง ๆ ครับ
โดยเฉพาเรื่องความรู้สึกละอายของคนเป็นตุลาการ
และไม่ใช่แค่คดีนี้ คดีอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน
ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดําเนินกิจการดังต่อไปน้ี
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทํากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัตุหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอํานาจกํากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดําเนินคดี
ก็คือ ทักษิณ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับ กองทุนพื้นฟูสถาบันการเงิน เจ้าของที่ดินรัชดา ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ
ที่ต้องพิจารณาคือ คำว่า สัญญา คำว่า ส่วนได้เสีย
ว่าควรอยู่ในระดับใด แค่ไหน
หากทักษิณทำสัญญาซื้อขายคลอรีนกับการประปา ทำสัญญาสร้างถนนกับกรมทางหลวง ฯลฯ
อย่างนี้มองได้ว่า ทักษิณผิดแน่ ๆ เพราะสามารถออกนโยบายหรือสั่งการใด ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้
แต่การประมูลที่ดินรัชดานี่ ต่อให้ทักษิณทำเอง
มันก็เหมือนทำสัญญากับการไฟฟ้าให้มาติดมิเตอร์เตินไฟเข้าบ้าน เหมือนทำสัญญาเรื่องโทรศัพท์บ้าน น้ำประปา
ไม่น่าเป็นความผิด เพราะหากตีความครอบจักรวาลว่า ทำสัญญาใด ๆ กับหน่วยงานของรัฐไม่ได้
คนเป็นนายกฯ ลำบากแย่
จะถือบัตรเครดิตกรุงไทยยังทำไม่ได้
เรื่องอำนาจในการกำกับดูแลฯ
การที่ศาลพิพากษาว่าทักษิณมีอำนาจผ่าน รมว. คลัง ผ่านปลัดคลัง ที่เป็นกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ
ผมว่ามันเกินความจริง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
เพราะกองทุนฟื้นฟูฯ แม้จะเป็นหน่วยงานของรัฐ
มีปลัดคลังร่วมเป็นกรรมการในกองทนุฯ แต่ก็เป็นแค่ 1 ในจำนวนกรรมการ
แม้จะมีกรรมการอื่น ๆ ที่ รมว.คลังแต่งตั้ง
แต่การดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุน ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การสั่งการของ รมว.คลัง
เป็นแค่รูปแบบการจัดตั้งคณะกรรมการ ส่วนการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนที่กฎหมาย ธปท. บัญญัติไว้
การตรวจสอบ ก็มีคณะกรรมการตรวจสอบกองทุน
หากมีอะไรผิด คณะกรรมการตรวจสอบก็แค่เสนอไปตามขั้นลำดับการบังคับบัญชา
ทั้งการกำกับดูแลฯ ทั้งการตรวจสอบ ห่างไกล และไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีแน่ ๆ
คดีนี้ เป็นการ "เอาผิด" แบบทำให้วงการตุลาการเสียหายจริง ๆ ครับ
โดยเฉพาเรื่องความรู้สึกละอายของคนเป็นตุลาการ
และไม่ใช่แค่คดีนี้ คดีอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน

แสดงความคิดเห็น
......ที่ดินรัชดา ประสาชาวบ้าน...
ชาวบ้านอย่างผม ฟังมาว่าทักษิณถูกลงโทษจำคุก 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดา โดยความผิดนั้นก็คือยอมเซ็นซื่อให้คุณหญิงพจมานผู้เป็นภรรยาไปซื้อที่ดินได้ แหละที่ต้องเซ็นนั้น ก็เพราะกฎหมายไทยที่บอกให้สามีหรือภรรยา ถ้าจะทำนิติกรรมใดๆก็แล้วแต่ ต้องให้อีกฝ่ายเซ็นยินยอมด้วยเสมอ ไม่งั้น เจ้าหน้าที่ของไทยจะไม่ยอมเด็ดขาด เพราะเจ้าหน้าที่ไทยนั้น รักษากฎหมายยิ่งกว่าชีวิตทีเดียว
ชาวบ้านอย่างผมฟังต่ออีกว่า คนซื้ออย่างคุณหญิงก็ไม่ผิด คนขายอย่างกองทุนฟื้นฟูฯอะไรนั่น ก็ไม่ผิดอีก แต่คนเซ็นชื่ออย่างทักษิณซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 กลับมีความผิดติดคุก 2 ปี จึงเกิดความสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คล้ายกับว่า เมื่อไม่มีการสืบพันธุ์ของเพศผู้-เพศเมียเกิดขึ้น แล้วจะมีเกิดทารกขึ้นมาได้อย่างไร ?
ชาวบ้านอย่างผมฟังต่อมาอีกว่า ในคำตัดสินนั้น เบื้องต้น ศาลฯ ท่านไม่เชื่ออยู่แล้วว่าทักษิณร่วมรู้เห็นกับคุณหญิงพจมานในการซื้อ-ขายด้วย เพราะไม่มีหลักฐานปรากฏ ศาลยังให้เครดิตอีกว่าคนรวยระดับนี้จะซื้ออะไรสักอย่างก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งสุมหัวกันคิดแล้วคิดอีก จะซื้อดี ไม่ซื้อดีอย่างเราๆท่านๆ แต่ศาลฯท่านก็บอกต่อว่า " แต่เมื่อคุณหญิงไม่สามารถนำหลักฐานที่ว่าทักษิณไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งศาลก็เชื่อว่าไม่มีอยู่แล้วนั้น มาแสดงให้ศาลฯเห็นได้ จึงมีความผิด"
ชาวบ้านอย่างผมฟังต่อไปเรื่อยๆว่า ในศาลฎีกาฯ มีองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะเป็นผู้ไปถามความเห็นผู้พิพากษาจำนวน 8 คนก่อน ว่าใครคิดเห็นอย่างไรในคดีนี้ โดยที่เจ้าของสำนวนเองจะยังไม่ลงความเห็นใดๆ จนกว่าจะฟังความคิดเห็นผู้พิพากษาอื่นๆจบเสียก่อน
ตามกฎหมาย บอกกันว่า ถ้าความเห็นของผู้พิพากษา ออกมาก้ำกึ่งกันแล้ว ประเภทครึ่ง-ครึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 บัญญัติไว้ว่า “ถ้าปัญหาใด มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาที่เห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่า ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า”
ชาวบ้านอย่างผมฟังต่อไปเรื่อยๆอีกว่า คดีนี้ ผู้พิพากษาทั้ง 8 คน โดยยังไม่นับเจ้าของสำนวนซึ่งถือเป็นประธาน ตัดสินออกมาเท่ากัน คือ 4 คนบอกผิด แต่อีก 4 คนบอกไม่ผิด ซึ่งถ้ามองตามรูปการนี้ ทักษิณต้องรอดแหงๆ เพราะมาตรา 184 ที่บัญญัติไว้ในประโยคที่ว่า “ให้ผู้พิพากษาที่เห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่า ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า”
ชาวบ้านอย่างผมฟังแล้วฟังอีกว่า เมื่อออกมา 4 ต่อ 4 อย่างนี้ ถือว่ายังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ จะผิดหรือไม่ผิด เพราะผู้พิพากษาเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ซื้อ-ขายที่ดินกับเขาด้วย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยคือคุณทักษิณไป ฉะนั้น ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ต้องยอมเห็นด้วยกับผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 184 นี้
ทักษิณ ต้องชนะจุดโทษในการเตะครั้งนี้ 5 ต่อ 4 แต่ทำไมกลายเป็นว่าทักษิณกลับเป็นฝ่ายแพ้จุดโทษ 4 ต่อ 5 ไปได้ ซึ่งก็ยังสงสัยกันอยู่
เมื่อต่อมาเมื่อไม่นาน ศาลแพ่งฯ ตัดสินสั่งให้คุณหญิงคืนโฉนดที่ดินให้กับกองทุนฯเขาซะ และให้กองทุนคืนเงินให้คุณหญิงไปพร้อมดอกเบี้ย ถือว่า การซื้อ-ขายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นิติกรรมใดๆที่ทำกันมาถือว่าเลิกล้มหมดสิ้นกันไป เริ่มต้นกันใหม่
แต่ชาวบ้านอย่างผม ก็ยังเห็นมีคนบอกว่าทักษิณผิดต้องกลับมาติดคุก 2 ปีอยู่อีก โดยเฉพาะนักกฎหมายขั้นเทพอย่างประชาธิปัตย์ และนักวิชาการทั้งหลายแหล่ที่บอกเป็นเสียงเดียวกัน
มันเป็นไปได้หรือว่า ในเมื่อเสมือนไม่มีความผิดใดๆเกิดขึ้นในเรื่องนี้เลย กับทั้งคุณหญิงและกองทุนฯ ที่เป็นต้นเรื่อง ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์ไปหมดแล้ว แต่กลับยังส่งผลให้คนที่ 3 ซึ่งไม่ได้รับรู้เรื่องราวมาแต่ต้น ยังทนหน้าด้านถูกคนกล่าวหาเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ได้อีก
ชาวบ้านอย่างผม จึงสงสัยไม่หายมาจนทุกวันนี้ สงสัยจนไม่เป็นอันกินอันนอน พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ไม่รู้จะบอกลูกบอกหลานอย่างไรดี เมื่อถูกลูกหลานถามว่า “ทักษิณติดคุกเพราะอะไร” เมื่อตอบว่า “เพราะที่ดินรัชดา” ก็จะถูกถามต่อไปว่า “แล้วทำไมเมียกับกองทุนฯถึงไม่ติดด้วย เพราะเป็นคนก่อเรื่องตั้งแต่ต้น” ผมคงต้องตอบว่า “นอนเถอะลูก ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปเรียนนะ”
ชาวบ้านอย่างผมไม่ได้มีเจตนาหมิ่นศาล หรือใครทั้งสิ้น แต่มันเป็นข้อสงสัยที่ยัง “คาใจ”อยู่ไม่รู้หาย ผมเองก็ไม่ได้รักทักษิณมากมายอะไรนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับทักษิณนั้น ผมไม่สามารถอธิบายกับใครได้จริงๆ หรือว่าผมอาจจะโง่เกินไป
ใครก็ได้ครับ ช่วยอธิบายให้ชาวบ้านอย่างผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งบรรเจิดกว่านี้หน่อยเถอะ ว่าทำไมทักษิณยังคงผิดและมีโทษติดคุกอยู่อีก เพราะที่ผมยกตัวอย่างกฎหมายแบบงูๆปลาๆมาอ้างนั้น ก็เป็นกฎหมายไทยที่ใช้กับคนไทยทุกคนมิใช่หรือ และแม้แต่คนต่างชาติถ้ามากระทำผิดในเมืองไทย ก็จะได้รับอานิสงค์จากกฎหมายที่ไม่ต่างกับคนไทยเหมือนกันใช่หรือไม่ ?
ก็หรือว่าพวกท่านทั้งหลาย ได้สืบทราบในทางลับโดยผมไม่รู้ว่า “ที่แท้ ทักษิณมิใช่มนุษย์ในโลกนี้ แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมา จึงต้องใช้กฎหมายวิธีพิเศษที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ในโลกนี้”
อย่างนั้นหรือเปล่าครับ !!!