ทำไมประเทศไทย 100 กว่าปีที่ผ่านมา ดูไม่ค่อยให้ความสำคัญ กับเรื่อง logistic รถไฟ สักเท่าไหร่ครับ ?

แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 22
จริงๆ ระบบรถไฟบ้านเรามันชะงักตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 แล้วครับ
ไม่เคยมีการพูดถึงการพัฒนารถไฟ เพราะเราไปเดินตามเมกา ที่เน้นอุตสาหกรรมรถยนต์
โดยช่วงนั้นอเมริกามีบทบาทมากจากสงครามอินโดจีน เนื่องจากกลัวไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์
แล้วเข้ามาช่วยวางแผนพัฒนาประเทศต่างๆ ทำถนนหนทาง ทำถนนมิตรภาพ
จากนั้นฉบับต่อๆมาเราก็เน้นพัฒนาถนนหนทางต่อมาเรื่อย ๆ ส่วนรถไฟก็ตามมีตามเกิด
ยิ่งญี่ปุ่นเข้ามาตั้งสารพัดโรงงานผลิตรถยนต์ขายนี้ จากนั้นบ้านเราก็พัฒนาทางรถยนต์กันหมดครับ
โดยการรถไฟ รัฐบาลก็มองเป็นภาระแทน เพราะยังไงก็ขาดทุน สู้สร้างอะไรที่มันทำกำไรหรือเลี้ยงตัวเองได้ดีกว่า
รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆในประเทศด้วย ทั้งยางพาราทำล้อ เกิดการสร้างงานโรงงานบริษัทรถเป็นแสนคน
เก็บภาษีรถยนต์ ภาษีส่งออก สารพัด คือมันทำรายได้เข้ารัฐเป็นกอบเป็นกำ
ซึ่งไม่เหมือนกับรถไฟที่รัฐต้องคอยหาเงินไปอุ้ม เพราะไม่สามารถปรับค่าโดยสารตามความเป็นจริงได้
(ขนาดรถไฟสีม่วงเก็บเต็มราคายังไม่มีคนนั่ง) มีแต่คนอยากขึ้น 10 บาท 20 บาท ลองดูตามคอมเมนต์ตามเฟซสิ
ยิ่งค่ารถไฟนี้จะปรับแต่ละที มีม๊อบโวยวายตลอด จนตอนนี้ต้องให้ขึ้นฟรีไปแล้ว
ฉะนั้นเวลาเอาเข้าที่ประชุมนี่ก็เลยจัดลำดับความสำคัญไว้หลังสุด
อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับยุคข้าราชการหรือปฏิวัติใดๆนะครับ ขนาดสมัยประชาธิปไตยเบ่งบานยังมีนโยบายรถคันแรก
หรือย้อนกลับไปอีกสมัยนายกทักกี้ สมัยนายพงษศักดิ์เป็น รมต.ตอนนั้นจะยกเลิกรถไฟสายสีม่วงกับสีส้ม ทำเป็น BRT ด้วยซ้ำ
โดยบอกว่าทำรถไฟฟ้าจะไม่คุ้มทุน แถม นายสุริยะ นายทุนพรรคก็มาจากธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์อีก
นายกทักกี้เป็นรัฐบาล 6 ปีกว่าต้องถามว่าทำอะไรให้รถไฟบ้าง

ฉะนั้นบ้านเราส่งเสริมระบบทางมายุคยุคแหละครับ ไม่เกี่ยวเผด็จการหรือประชาธิปไตยอะไรเลย
เพราะมันเห็นผลรูปธรรมเร็ว (ลองดูสิได้ถนนเส้นใหม่ กับได้รางรถไฟใหม่ คนรู้จักอะไรมากกว่า)
ทำรายได้เข้ารัฐง่าย (จากภาษี) กระตุ้นเศรษฐกิจได้ง่าย (งานทำถนนถึงรั่วไหลมันก็ไหลลงไประดับชาวบ้านมากกว่าจัดซื้อรถไฟ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่