เลื่อนอีก! กทค.ไม่สรุปปัญหาเยียวยาสัมปทาน "ทรูมูฟ-ดีพีซี" จับตา 18 ก.ย. หมดอายุความ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เมื่อ 7 กันยายน 2559 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เสนอวาระการประชุม ให้บอร์ดพิจารณาแนวทางการดำเนินการกรณีการเรียกให้ผู้ให้บริการนำส่งเงินรายได้แผ่นดินจากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงประกาศมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ประกาศมาตรการเยียวยาฯ)
โดยก่อนหน้านี้ สำนักงาน กสทช.ได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดฟ้องเป็นคดีปกครองเรียกให้ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด นำส่งเงินรายได้จากการให้บริการภายใต้ประกาศเยียวยาฯ ช่วงที่ 1 คือตั้งแต่สัมปทานสิ้นสุด 16 ก.ย. 2556 จนถึง 17 ก.ค. 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งชะลอการประมูลคลื่น 1800 MHz จำนวน 1,069.98 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระหนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อ 17 สิงหาคม 2559 ศาลปกครองกลางมีหมายแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำในประเด็นเกี่ยวกับผู้มีอำนาจเรียกให้ทรูมูฟ นำส่งรายได้จากการให้บริการ ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 ตุลาการเจ้าของสำนวนเห็นว่า ข้อกฎหมายตามประกาศมาตรการเยียวยาไม่มีความชัดเจนว่า สำนักงาน กสทช. ซึ่งจะเป็นผู้ฟ้องคดี เป็นผู้มีอำนาจเรียกให้ ทรูมูฟ นำส่งรายได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่ใช่ ศาลปกครองกลางก็อาจจะมีคำสั่งไม่รับฟ้อง ด้วยเหตุนี้ สำนักงาน กสทช. จึงเสนอเรื่องให้ที่ประชุมพิจารณาเพื่อแก้ไขคำฟ้องให้ กทค. เข้าเป็นผู้ฟ้องคดีร่วมกับสำนักงาน กสทช. ในคดีดังกล่าวด้วย
โดยในที่ประชุม กทค.ในครั้งนี้ได้ใช้เวลาพิจารณาเรื่องดังกล่าวประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ไม่อาจมีมติได้ สุดท้ายที่ประชุมจึงมีมติให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกไป โดยรอจนกว่าเลขาธิการ กสทช. กลับมาปฏิบัติหน้าที่เสียก่อน เนื่องจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการลาพักร้อน
ด้านนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กทค.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพประชาชน เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า เห็นด้วยกับแนวทางที่สำนักงาน กสทช. นำเสนอให้ กทค. เป็นผู้ฟ้องคดีร่วม เนื่องจากจะลดความเสี่ยงจากการที่ศาลปกครองกลางจะไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยสำนักงาน กสทช. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบด้วยว่า คดีดังกล่าวมีอายุความ 1 ปี และกำลังจะหมดอายุความลงในวันที่ 18 กันยายน 2559 นี้ ดังนั้น กทค. จึงควรเร่งตัดสินใจในเรื่องนี้ เพราะหากดำเนินการล่าช้าทำให้คดีขาดอายุความ ก็จะเกิดความเสียหายกับรัฐได้ นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ บจ. ดิจิตอล โฟน (ดีพีซี) ต้องนำส่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ประกาศมาตรการเยียวยาฯ ด้วยเช่นกัน จำนวน 879.59 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยังไม่มีการฟ้องคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงาน กสทช. ก็ต้องเร่งดำเนินการ
แหล่งข่าว
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1473248565
ภาพประกอบจาก
http://www.it24hrs.com/2013/q-a-1800-mhz-15-sep-2013/
เลื่อนอีก! กทค.ไม่สรุปปัญหาเยียวยาสัมปทาน "ทรูมูฟ-ดีพีซี" จับตา 18 ก.ย. หมดอายุความ
เลื่อนอีก! กทค.ไม่สรุปปัญหาเยียวยาสัมปทาน "ทรูมูฟ-ดีพีซี" จับตา 18 ก.ย. หมดอายุความ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เมื่อ 7 กันยายน 2559 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เสนอวาระการประชุม ให้บอร์ดพิจารณาแนวทางการดำเนินการกรณีการเรียกให้ผู้ให้บริการนำส่งเงินรายได้แผ่นดินจากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงประกาศมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ประกาศมาตรการเยียวยาฯ)
โดยก่อนหน้านี้ สำนักงาน กสทช.ได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดฟ้องเป็นคดีปกครองเรียกให้ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด นำส่งเงินรายได้จากการให้บริการภายใต้ประกาศเยียวยาฯ ช่วงที่ 1 คือตั้งแต่สัมปทานสิ้นสุด 16 ก.ย. 2556 จนถึง 17 ก.ค. 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งชะลอการประมูลคลื่น 1800 MHz จำนวน 1,069.98 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระหนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อ 17 สิงหาคม 2559 ศาลปกครองกลางมีหมายแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำในประเด็นเกี่ยวกับผู้มีอำนาจเรียกให้ทรูมูฟ นำส่งรายได้จากการให้บริการ ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 ตุลาการเจ้าของสำนวนเห็นว่า ข้อกฎหมายตามประกาศมาตรการเยียวยาไม่มีความชัดเจนว่า สำนักงาน กสทช. ซึ่งจะเป็นผู้ฟ้องคดี เป็นผู้มีอำนาจเรียกให้ ทรูมูฟ นำส่งรายได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่ใช่ ศาลปกครองกลางก็อาจจะมีคำสั่งไม่รับฟ้อง ด้วยเหตุนี้ สำนักงาน กสทช. จึงเสนอเรื่องให้ที่ประชุมพิจารณาเพื่อแก้ไขคำฟ้องให้ กทค. เข้าเป็นผู้ฟ้องคดีร่วมกับสำนักงาน กสทช. ในคดีดังกล่าวด้วย
โดยในที่ประชุม กทค.ในครั้งนี้ได้ใช้เวลาพิจารณาเรื่องดังกล่าวประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ไม่อาจมีมติได้ สุดท้ายที่ประชุมจึงมีมติให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกไป โดยรอจนกว่าเลขาธิการ กสทช. กลับมาปฏิบัติหน้าที่เสียก่อน เนื่องจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการลาพักร้อน
ด้านนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กทค.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพประชาชน เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า เห็นด้วยกับแนวทางที่สำนักงาน กสทช. นำเสนอให้ กทค. เป็นผู้ฟ้องคดีร่วม เนื่องจากจะลดความเสี่ยงจากการที่ศาลปกครองกลางจะไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยสำนักงาน กสทช. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบด้วยว่า คดีดังกล่าวมีอายุความ 1 ปี และกำลังจะหมดอายุความลงในวันที่ 18 กันยายน 2559 นี้ ดังนั้น กทค. จึงควรเร่งตัดสินใจในเรื่องนี้ เพราะหากดำเนินการล่าช้าทำให้คดีขาดอายุความ ก็จะเกิดความเสียหายกับรัฐได้ นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ บจ. ดิจิตอล โฟน (ดีพีซี) ต้องนำส่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ประกาศมาตรการเยียวยาฯ ด้วยเช่นกัน จำนวน 879.59 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยังไม่มีการฟ้องคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงาน กสทช. ก็ต้องเร่งดำเนินการ
แหล่งข่าว
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1473248565
ภาพประกอบจาก
http://www.it24hrs.com/2013/q-a-1800-mhz-15-sep-2013/