ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนเลยว่ากระทู้นี้ มองเรื่องนี้แบบมุมคนนอกนะครับ แอร์คนนั้นอาจจะผิดจริงก็ได้ ไม่มีใครรู้ เพราะไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์จริง ได้แต่พูดกันไปเรื่อย ซึ่งส่วนใหญ่สังคมไทยโดยเฉพาะในโลกโซเชี่ยล ก็ตามน้ำ ตามกระแสกันสุดๆอยู่แล้ว ถึงขั้นมีการล่าแม่มด จะขุดรากถอนโคน
ในมุมมองของผมเรื่องนี้เป็นเรื่องของกฏระเบียบการอยู่ร่วมกัน กติกาของสังคม หรือ กติกาของแต่ละสถานที่ ซึ่งในเรื่องกฏระเบียบต่างๆนี้ วันก่อนผมได้มีโอกาสอ่าน โพสท์ ความเห็นแก่ตัว...มะเร็งร้ายสังคมไทย ของคุณ มอริส เค (
http://www.cookiecoffee.com/diary/88960/thailand-only-nature-disgusting-selfish-truth) ผมมองว่ามันเกี่ยวพันกับเรื่องของแอร์โฮสเตสในกรณีนี้อย่างสุดๆ
ในกฏระเบียบหรือขั้นตอนการปฏิบัติบางอย่าง นั้น บางทีเราก็ไม่เข้าใจว่าเค้าจะตั้งกฏนี้กันขึ้นมากันทำไม โดยเฉพาะการไปสนามบิน มีหลายตัวอย่าง ว่าระเบียบแบบนี้จะมำทำไม เช่นเมื่อเราcheck inได้บอร์ดดิ้งพาสแล้ว จะผ่านเข้าไปเกต ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจบอร์ดดิ้งพาสพร้อมบัตรปชช.ครั้งที่1 ไปถึงเกตจะขึ้นเครื่อง ก็ตรวจบอร์ดดิ้งพาสพร้อมบัตรปชชครั้งที่2 ซึ่งบางทีเราก็งงว่า ผมเพิ่งเดินเข้ามาเนี่ย จะไปสลับตัวกันกับใครตอนไหนได้ และจนท.ก็จะฉีกบัตรด้านยาวมาให้เราเก็บไว้ โดยที่จริงๆแล้วบัตรด้านสั้นน่าจะเป็นส่วนที่เราได้กลับมามากกว่า เพราะเค้าออกแบบมาเพื่อให้มาอยู่ใน passportหรือกระเป๋าสตางค์ได้พอดี แต่เราก็มักจะได้ด้านยาวมา และระยะเวลาจากเกตไปบนประตูเครื่องบินคงราวๆ อีกสองนาทีถัดมา จนท.บนเครื่องบิน ก็จะขอดูบอร์ดดิ้งพาสอีกรอบเป็นรอบสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ผมไม่รู้ว่าแต่ละสายการบินต้องใช้จำนวนคนกันไปเท่าไหร่ เพื่อทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ แต่ก็แน่ล่ะทั้งหมดก็คงเพื่อความปลอดภัย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมต่างประเทศขั้นตอนทั้งหมดนี้ มันมีน้อยกว่าเรามากๆ ถึงขนาดสายการบินบางสายจะประกาศก่อนขึ้นเครื่องที่เกตด้วยซ้ำ ว่าใช้แต่บอร์ดดิ้งพาสพอ passportไม่ต้อง คงเป็นเพราะตรวจกันมารอบนึงแล้ว ก็น่าจะเพียงพอ
หรือในกรณีปิดเครื่องมือสื่อสาร ก่อนเครื่องขึ้นหรือลง สายการบินในไทยก็ต้องให้เครื่องจอดสนิทที่ประตูแล้ว ท่านถึงจะเปิดเครื่องมือสื่อสารได้ โดยที่สายการบินอื่นๆ ก็มีทั้งอนุญาติให้ใช้งานใน flight mode ตอนบเครื่องจะขึ้นหรือลง (ประกาศบนเครื่องด้วยซ้ำ) หรือบางสายการบินก็ไม่อนุญาติ เหมือนในบ้านเรา
แต่เนื่องจากมันเป็นกฏระเบียบของไทยครับ และเราก็เป็นคนไทย อยู่เมืองไทย ผมก็ได้แต่สงสัย แต่ก็ปฏิบัติตามทุกอย่างจะตรวจกี่รอบก็ตรวจไป ได้boarding passด้านยาวๆมา ก็พับๆเก็บไป มือถือก็ปิดซะจนเดินออกจากเครื่องแล้วถึงเปิด โดยที่ก็อดสงสัยมาตลอดไม่ได้ ว่าทำไม
ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม นานๆเข้าทุกอย่างมันก็จะเป็นความเคยชิน ผ่อนปรน หยวนๆ เหมือนคำว่าน้ำใจ ที่คุณมอริส เค ได้ว่าไว้ หรือเช่นการขับรถในบ้านเรา ช้าชิดขวากันเป็นปกติ ไฟเหลืองต้องเหยียบคันเร่งกันเป็นปกติ รถยนต์เป็น priorityแรก คนเดินถนนมาทีหลัง รถหมดแล้วค่อยข้ามกันเป็นเรื่องปกติ มอไซค์เจอไฟแดงก็เลี้ยวซ้ายไปนิดนึง แล้วตัดu turnมา แล้วก็ขับตรงไปต่อกันเป็นปกติ หรือเวลารถติดมอไซค์ไปขี่บนทางเท้ากันเป็นปกติ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเข้าใจว่าเป็นปกตินิสัยของคนไทยส่วนใหญ่ครับ มีกฏแต่ไม่ค่อยจะทำตามซักเท่าไหร่ และคนที่ควบคุมกฏก็ไม่ค่อยจะเคร่งครัดซักเท่าไหร่ ปล่อยผ่านๆไป หยวนๆ ตามสไตล์ คนไทยมีน้ำใจ จนกลายเป็นความเคยชิน
คุณป้าตามข่าวนี่ก็เหมือนกัน เข้าใจว่าคงนั่งเครื่องบินบ่อย แต่คงได้รับการผ่อนปรน ไม่เคร่งครัดมาเรื่อยๆ จนเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่อยากจะบอกว่ากฏระเบียบมี ควรจะต้องทำตามครับ ไม่อย่างนั้นก็คงมีปัญหา ผมเข้าใจว่าคงไม่มีใครอยากจะไปดูถูกลูกคุณหรอกครับ แต่มันเป็นหน้าที่ของคุณป้าคนนั้นที่จะต้องแจ้งให้ทางสายการบินทราบว่าลูกคุณเป็นโรคอะไร มันคงมีหลายเหตุผล เช่นถ้าคุณไม่บอก แล้วได้ไปนั่งตำแหน่งที่มันกีดขวางผู้โดยสารท่านอื่นหากมีเหตุฉุกเฉิน ซึ่งแน่นอนครับลูกคุณคงต้องเป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือ มากกว่าที่จะไปช่วยเหลือคนอื่นได้
ผมว่าวันพรุ่งนี้เรามารอชมกันดีกว่าครับว่า ทางสายการบินนี้ จะปล่อยผ่าน ผ่อนปรนกฏระเบียบ เพียงเพื่อให้เรื่องราวมันจบๆไป จนถึงขั้นต้องกราบกรานกันเลยทีเดียว หรือจะมีจุดยืนคือกฏก็ต้องเป็นกฏ
แล้วเราคงได้บทสรุปกัน ว่าสังคมไทยจะไปทางไหน
#แอร์กราบ เราได้เรียนรู้อะไร
ในมุมมองของผมเรื่องนี้เป็นเรื่องของกฏระเบียบการอยู่ร่วมกัน กติกาของสังคม หรือ กติกาของแต่ละสถานที่ ซึ่งในเรื่องกฏระเบียบต่างๆนี้ วันก่อนผมได้มีโอกาสอ่าน โพสท์ ความเห็นแก่ตัว...มะเร็งร้ายสังคมไทย ของคุณ มอริส เค (http://www.cookiecoffee.com/diary/88960/thailand-only-nature-disgusting-selfish-truth) ผมมองว่ามันเกี่ยวพันกับเรื่องของแอร์โฮสเตสในกรณีนี้อย่างสุดๆ
ในกฏระเบียบหรือขั้นตอนการปฏิบัติบางอย่าง นั้น บางทีเราก็ไม่เข้าใจว่าเค้าจะตั้งกฏนี้กันขึ้นมากันทำไม โดยเฉพาะการไปสนามบิน มีหลายตัวอย่าง ว่าระเบียบแบบนี้จะมำทำไม เช่นเมื่อเราcheck inได้บอร์ดดิ้งพาสแล้ว จะผ่านเข้าไปเกต ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจบอร์ดดิ้งพาสพร้อมบัตรปชช.ครั้งที่1 ไปถึงเกตจะขึ้นเครื่อง ก็ตรวจบอร์ดดิ้งพาสพร้อมบัตรปชชครั้งที่2 ซึ่งบางทีเราก็งงว่า ผมเพิ่งเดินเข้ามาเนี่ย จะไปสลับตัวกันกับใครตอนไหนได้ และจนท.ก็จะฉีกบัตรด้านยาวมาให้เราเก็บไว้ โดยที่จริงๆแล้วบัตรด้านสั้นน่าจะเป็นส่วนที่เราได้กลับมามากกว่า เพราะเค้าออกแบบมาเพื่อให้มาอยู่ใน passportหรือกระเป๋าสตางค์ได้พอดี แต่เราก็มักจะได้ด้านยาวมา และระยะเวลาจากเกตไปบนประตูเครื่องบินคงราวๆ อีกสองนาทีถัดมา จนท.บนเครื่องบิน ก็จะขอดูบอร์ดดิ้งพาสอีกรอบเป็นรอบสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ผมไม่รู้ว่าแต่ละสายการบินต้องใช้จำนวนคนกันไปเท่าไหร่ เพื่อทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ แต่ก็แน่ล่ะทั้งหมดก็คงเพื่อความปลอดภัย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมต่างประเทศขั้นตอนทั้งหมดนี้ มันมีน้อยกว่าเรามากๆ ถึงขนาดสายการบินบางสายจะประกาศก่อนขึ้นเครื่องที่เกตด้วยซ้ำ ว่าใช้แต่บอร์ดดิ้งพาสพอ passportไม่ต้อง คงเป็นเพราะตรวจกันมารอบนึงแล้ว ก็น่าจะเพียงพอ
หรือในกรณีปิดเครื่องมือสื่อสาร ก่อนเครื่องขึ้นหรือลง สายการบินในไทยก็ต้องให้เครื่องจอดสนิทที่ประตูแล้ว ท่านถึงจะเปิดเครื่องมือสื่อสารได้ โดยที่สายการบินอื่นๆ ก็มีทั้งอนุญาติให้ใช้งานใน flight mode ตอนบเครื่องจะขึ้นหรือลง (ประกาศบนเครื่องด้วยซ้ำ) หรือบางสายการบินก็ไม่อนุญาติ เหมือนในบ้านเรา
แต่เนื่องจากมันเป็นกฏระเบียบของไทยครับ และเราก็เป็นคนไทย อยู่เมืองไทย ผมก็ได้แต่สงสัย แต่ก็ปฏิบัติตามทุกอย่างจะตรวจกี่รอบก็ตรวจไป ได้boarding passด้านยาวๆมา ก็พับๆเก็บไป มือถือก็ปิดซะจนเดินออกจากเครื่องแล้วถึงเปิด โดยที่ก็อดสงสัยมาตลอดไม่ได้ ว่าทำไม
ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม นานๆเข้าทุกอย่างมันก็จะเป็นความเคยชิน ผ่อนปรน หยวนๆ เหมือนคำว่าน้ำใจ ที่คุณมอริส เค ได้ว่าไว้ หรือเช่นการขับรถในบ้านเรา ช้าชิดขวากันเป็นปกติ ไฟเหลืองต้องเหยียบคันเร่งกันเป็นปกติ รถยนต์เป็น priorityแรก คนเดินถนนมาทีหลัง รถหมดแล้วค่อยข้ามกันเป็นเรื่องปกติ มอไซค์เจอไฟแดงก็เลี้ยวซ้ายไปนิดนึง แล้วตัดu turnมา แล้วก็ขับตรงไปต่อกันเป็นปกติ หรือเวลารถติดมอไซค์ไปขี่บนทางเท้ากันเป็นปกติ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเข้าใจว่าเป็นปกตินิสัยของคนไทยส่วนใหญ่ครับ มีกฏแต่ไม่ค่อยจะทำตามซักเท่าไหร่ และคนที่ควบคุมกฏก็ไม่ค่อยจะเคร่งครัดซักเท่าไหร่ ปล่อยผ่านๆไป หยวนๆ ตามสไตล์ คนไทยมีน้ำใจ จนกลายเป็นความเคยชิน
คุณป้าตามข่าวนี่ก็เหมือนกัน เข้าใจว่าคงนั่งเครื่องบินบ่อย แต่คงได้รับการผ่อนปรน ไม่เคร่งครัดมาเรื่อยๆ จนเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่อยากจะบอกว่ากฏระเบียบมี ควรจะต้องทำตามครับ ไม่อย่างนั้นก็คงมีปัญหา ผมเข้าใจว่าคงไม่มีใครอยากจะไปดูถูกลูกคุณหรอกครับ แต่มันเป็นหน้าที่ของคุณป้าคนนั้นที่จะต้องแจ้งให้ทางสายการบินทราบว่าลูกคุณเป็นโรคอะไร มันคงมีหลายเหตุผล เช่นถ้าคุณไม่บอก แล้วได้ไปนั่งตำแหน่งที่มันกีดขวางผู้โดยสารท่านอื่นหากมีเหตุฉุกเฉิน ซึ่งแน่นอนครับลูกคุณคงต้องเป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือ มากกว่าที่จะไปช่วยเหลือคนอื่นได้
ผมว่าวันพรุ่งนี้เรามารอชมกันดีกว่าครับว่า ทางสายการบินนี้ จะปล่อยผ่าน ผ่อนปรนกฏระเบียบ เพียงเพื่อให้เรื่องราวมันจบๆไป จนถึงขั้นต้องกราบกรานกันเลยทีเดียว หรือจะมีจุดยืนคือกฏก็ต้องเป็นกฏ
แล้วเราคงได้บทสรุปกัน ว่าสังคมไทยจะไปทางไหน