"ทีมชาติไทยแพ้ เพราะนักบอลไทย" ประโยคนี้ไม่มีอะไรให้ถกเถียง
เพราะนี่มันควรจะเป็นความจริงที่ตรงที่สุด และเป็นสัจธรรมที่สุดคำหนึ่งในการอธิบายผลการแข่งขันแบบง่ายๆ
พวกเราแฟนบอลทุกคนในห้องพันทิป พาตัวเองเดินทางออกจากแนวคิดของตัวเองภายหลังเกมเจอซาอุ ภาพลวงในเกม ๆ นั้นทำให้บรรยากาศก่อนเกมการแข่งขันกับญี่ปุ่นบิดเบี้ยวและผิดเพื้ยนไปจากความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่อย่างน้อยมันได้สะท้อนผ่านสายตาแฟนบอลทุกๆ คนไปเมื่อคืนที่ผ่านมา
พวกเราแฟนบอลในห้องพันทิป ได้พาความคิดของตัวเองมาถึงวันนี้ วันที่เรายอมรับความจริงและลบภาพลวงที่เราเพิ่งสร้างมันขึ้นมาเองหลังเกมเจอซาอุว่า
"เราสู้ได้ทุกทีม" "เราอาจชนะญี่ปุ่น" "ถ้าญี่ปุ่นจะชนะเรามันต้องไม่ง่าย" "เราจะแพ้แบบประทับใจและสู้ถวายหัว"
เรามาเจอความจริง และเราเข้าใจกับดักทางความคิดที่ว่า "ฟุตบอลไม่ใช่บรรญัติไตรยางค์"
วันนี้เราเริ่มเข้าใจว่า บางที ฟุตบอลนอกจากจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างผู้เล่น 11 ต่อ 11 คนแล้ว
ในหลายสถานการณ์ มันเป็นการดวลกันระหว่างผู้เล่น 1 ต่อ 1 และอาศัยเพียงความผิดพลาดตรงนั้น ในการตัดสินชี้ขาดความแพ้ชนะในการแข่งขัน
ในเกมฟุตบอล มันไม่ใช่รักบี้ ที่ผู้เล่นทั้ง 11 คนจะมาสกรัมกับอยู่กลางสนาม
แต่เป็นเกมที่มีการวางหมากในแต่ละพื้นที่ เพื่อที่ว่า..ทำอย่างไรในสถานการณ์ 1 ต่อ 1 แต่ฝ่ายเรากลับมีคนเพิ่มเป็น 2 ต่อ 1 หรือ 3 ต่อ 1
ขอเพียงคน 1 นั้น ไม่ใช่ เมสซี่ หรือ โรนัลโด้ มันมีความเชื่อว่าการวางแทคติก จะทำให้คนอ่อนแอกว่าชนะคนแข็งแรงกว่า ทีมทรัพยากรน้อยกว่าจะชนะทีมทรัพยากรมากกว่า ทีมฝีเท้าเป็นรองกว่าจะชนะทีมเก่งกว่า
ตรงนี้เรียกว่าการวางแทคติก... และในวงการฟุตบอล เชื่อกันว่า คำว่า แทคติก หรือแผนกลยุทธ์ นี้เอง จะพาทีมที่อ่อนกว่ากำชัยเหนือทีมที่เก่งกว่า
เฉกเช่นเดียวกับทีมรองบ่อนในโลกฟุตบอล ได้เคยทำให้เราเห็นในหลายครั้ง หลายหน จนเกิดเป็นตำนานเล่าขายเทพนิยาย
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
วันนี้.. ความคิดพวกเราเอง พาเรามาสู่จุดที่ว่า ต่อให้โค้ชเก่งแสนเก่งแค่ไหน ให้ เวนเกอร์ มูริญโญ่ เป็บกว่าดิโอล่า หรือ เซอร์อล็กซ์ มาทำทีมชาติไทย
ผลที่ได้รับมันย่อม
ไม่แตกต่างจากสิ่งที่โค้ชโก้ทำ
ด้วยเหตุว่า นักฟุตบอลไทยมันช่างอ่อนแอ อ่อนด้อย ไร้ทักษะในเชิงฟุตบอล ร่างกายไม่เหมาะสม และเล่นฟุตบอลกันไม่เป็นทีมเอง
ทั้งที่ นักฟุตบอลทีมนี้เป้นทีมเดียวกัน... กับทีมที่เราเคยตั้งความหวังว่าทีมนี้เองอาจเป้นทีมที่นำพาพวกเราเข้าใกล้คำว่าบอลโลกที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ภายใต้ความจริงที่เราพบว่า ในการแข่งขันระหว่าง ไทย - ญี่ปุ่น เรามีโอกาสยิงครั้งแรกในนาทีที่ 70 และเตะมุมครั้งแรกในนาทีเดียวกันนั้น
ความจริงที่เราพบว่า ในครึ่งแรกระหว่างการแข่งขัน ผู้ชม และ ผู้บรรยายทุกชาติทุกภาษา ต่างพากันสงสัยกับการวางแทคติกของโค้ชทีมชาติไทย
ท่ามกลางความสงสัยเหล่านั้น แฟนบอลชาวไทยส่วนใหญ่ที่ช๊อคไปกับผลการแข่งขัน ตั้งคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างเกมว่ามันเกิดอะไร และทำไม
โดยสิ่งที่แฟนบอลไทยบางส่วนยังไม่เชื่อและยากที่จะเชื่อ คือด้วยระดับฝีเท่าของทีมที่เข้ารอบ 12 ทีมระดับเอเชีย
มันไม่น่าจะมีระดับฝีเท้าที่แตกต่างกันที่เรียกได้ว่า outclass เพราะแม้กระทั่งทีมที่อ่อนกว่าไทย ยังเคยแสดงให้เห็นถึงการลดช่องว่างนี้ลงมา
ด้วยการสู้ด้วย แทคติก และการรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด
ถ้าเปรียบกับการแข่งขันชกมวยระดับเอเชีย ที่ผ่านการคัดเลือกมาระดับหนึ่งแล้ว ฝ่านหนึ่งถลุงอีกฝ่ายอย่างเมามัน ขณะที่อีกฝ่ายกว่าจะต่อยโดนปาเข้าไปปลายยกสุดท้าย
สิ่งที่เห้นได้ด้วยตาเปล่า คือนักมวยคนนี้มันช่างห่วยเสียบรม
แต่ในความห่วย มันช่างน่าชื่นชมว่าเป้นนักมวยที่สู้อย่างเดียวดาย สู้และคิดสู้ด้วยสมองและ 2 มือของตัวเองโดยแท้
และพี่เลี้ยงที่มุม มีหน้าที่เพียงหาคนใหม่มาสู้ ให้น้ำ และคอยโยนผ้าขาวยอมแพ้ให้เท่านั้น
ทีมชาติไทยแพ้ เพราะนักฟุตบอล
เพราะนี่มันควรจะเป็นความจริงที่ตรงที่สุด และเป็นสัจธรรมที่สุดคำหนึ่งในการอธิบายผลการแข่งขันแบบง่ายๆ
พวกเราแฟนบอลทุกคนในห้องพันทิป พาตัวเองเดินทางออกจากแนวคิดของตัวเองภายหลังเกมเจอซาอุ ภาพลวงในเกม ๆ นั้นทำให้บรรยากาศก่อนเกมการแข่งขันกับญี่ปุ่นบิดเบี้ยวและผิดเพื้ยนไปจากความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่อย่างน้อยมันได้สะท้อนผ่านสายตาแฟนบอลทุกๆ คนไปเมื่อคืนที่ผ่านมา
พวกเราแฟนบอลในห้องพันทิป ได้พาความคิดของตัวเองมาถึงวันนี้ วันที่เรายอมรับความจริงและลบภาพลวงที่เราเพิ่งสร้างมันขึ้นมาเองหลังเกมเจอซาอุว่า
"เราสู้ได้ทุกทีม" "เราอาจชนะญี่ปุ่น" "ถ้าญี่ปุ่นจะชนะเรามันต้องไม่ง่าย" "เราจะแพ้แบบประทับใจและสู้ถวายหัว"
เรามาเจอความจริง และเราเข้าใจกับดักทางความคิดที่ว่า "ฟุตบอลไม่ใช่บรรญัติไตรยางค์"
วันนี้เราเริ่มเข้าใจว่า บางที ฟุตบอลนอกจากจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างผู้เล่น 11 ต่อ 11 คนแล้ว
ในหลายสถานการณ์ มันเป็นการดวลกันระหว่างผู้เล่น 1 ต่อ 1 และอาศัยเพียงความผิดพลาดตรงนั้น ในการตัดสินชี้ขาดความแพ้ชนะในการแข่งขัน
ในเกมฟุตบอล มันไม่ใช่รักบี้ ที่ผู้เล่นทั้ง 11 คนจะมาสกรัมกับอยู่กลางสนาม
แต่เป็นเกมที่มีการวางหมากในแต่ละพื้นที่ เพื่อที่ว่า..ทำอย่างไรในสถานการณ์ 1 ต่อ 1 แต่ฝ่ายเรากลับมีคนเพิ่มเป็น 2 ต่อ 1 หรือ 3 ต่อ 1
ขอเพียงคน 1 นั้น ไม่ใช่ เมสซี่ หรือ โรนัลโด้ มันมีความเชื่อว่าการวางแทคติก จะทำให้คนอ่อนแอกว่าชนะคนแข็งแรงกว่า ทีมทรัพยากรน้อยกว่าจะชนะทีมทรัพยากรมากกว่า ทีมฝีเท้าเป็นรองกว่าจะชนะทีมเก่งกว่า
ตรงนี้เรียกว่าการวางแทคติก... และในวงการฟุตบอล เชื่อกันว่า คำว่า แทคติก หรือแผนกลยุทธ์ นี้เอง จะพาทีมที่อ่อนกว่ากำชัยเหนือทีมที่เก่งกว่า
เฉกเช่นเดียวกับทีมรองบ่อนในโลกฟุตบอล ได้เคยทำให้เราเห็นในหลายครั้ง หลายหน จนเกิดเป็นตำนานเล่าขายเทพนิยาย
วันนี้.. ความคิดพวกเราเอง พาเรามาสู่จุดที่ว่า ต่อให้โค้ชเก่งแสนเก่งแค่ไหน ให้ เวนเกอร์ มูริญโญ่ เป็บกว่าดิโอล่า หรือ เซอร์อล็กซ์ มาทำทีมชาติไทย
ผลที่ได้รับมันย่อมไม่แตกต่างจากสิ่งที่โค้ชโก้ทำ
ด้วยเหตุว่า นักฟุตบอลไทยมันช่างอ่อนแอ อ่อนด้อย ไร้ทักษะในเชิงฟุตบอล ร่างกายไม่เหมาะสม และเล่นฟุตบอลกันไม่เป็นทีมเอง
ทั้งที่ นักฟุตบอลทีมนี้เป้นทีมเดียวกัน... กับทีมที่เราเคยตั้งความหวังว่าทีมนี้เองอาจเป้นทีมที่นำพาพวกเราเข้าใกล้คำว่าบอลโลกที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ภายใต้ความจริงที่เราพบว่า ในการแข่งขันระหว่าง ไทย - ญี่ปุ่น เรามีโอกาสยิงครั้งแรกในนาทีที่ 70 และเตะมุมครั้งแรกในนาทีเดียวกันนั้น
ความจริงที่เราพบว่า ในครึ่งแรกระหว่างการแข่งขัน ผู้ชม และ ผู้บรรยายทุกชาติทุกภาษา ต่างพากันสงสัยกับการวางแทคติกของโค้ชทีมชาติไทย
ท่ามกลางความสงสัยเหล่านั้น แฟนบอลชาวไทยส่วนใหญ่ที่ช๊อคไปกับผลการแข่งขัน ตั้งคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างเกมว่ามันเกิดอะไร และทำไม
โดยสิ่งที่แฟนบอลไทยบางส่วนยังไม่เชื่อและยากที่จะเชื่อ คือด้วยระดับฝีเท่าของทีมที่เข้ารอบ 12 ทีมระดับเอเชีย
มันไม่น่าจะมีระดับฝีเท้าที่แตกต่างกันที่เรียกได้ว่า outclass เพราะแม้กระทั่งทีมที่อ่อนกว่าไทย ยังเคยแสดงให้เห็นถึงการลดช่องว่างนี้ลงมา
ด้วยการสู้ด้วย แทคติก และการรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด
ถ้าเปรียบกับการแข่งขันชกมวยระดับเอเชีย ที่ผ่านการคัดเลือกมาระดับหนึ่งแล้ว ฝ่านหนึ่งถลุงอีกฝ่ายอย่างเมามัน ขณะที่อีกฝ่ายกว่าจะต่อยโดนปาเข้าไปปลายยกสุดท้าย
สิ่งที่เห้นได้ด้วยตาเปล่า คือนักมวยคนนี้มันช่างห่วยเสียบรม
แต่ในความห่วย มันช่างน่าชื่นชมว่าเป้นนักมวยที่สู้อย่างเดียวดาย สู้และคิดสู้ด้วยสมองและ 2 มือของตัวเองโดยแท้
และพี่เลี้ยงที่มุม มีหน้าที่เพียงหาคนใหม่มาสู้ ให้น้ำ และคอยโยนผ้าขาวยอมแพ้ให้เท่านั้น