" คนพูดเท็จไม่ทำชั่ว ไม่มี " พุทธพจน์สำหรับคนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ

(1)
       จับโกหกวัดพระธรรมกายเริ่มตั้งแต่หัวขบวนยันสาวก ลืมศีลข้อมุสาฯ เบี้ยวนัดมอบตัว จัดฉากพระมาเยี่ยมให้กำลังใจพระธัมมชโย ใช้ลูกศิษย์เป็นกำแพงมนุษย์ โวยเวิลด์พีซ เขาใหญ่มีเอกสารครบ สุดท้ายแอบคืนที่ 140 ไร่เงียบๆ หนักกว่านั้นกล้าตีความคำพิพากษาศาลปกครอง อ้างธรรมกายไม่เกี่ยว ข้องใจการทำงานของ DSI หวังกล่อมสาวกคล้อยตาม ทั้งๆ ที่เป็นคนละคดี
นับตั้งแต่พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ตั้งข้อหาสมคบกันฟอกเงิน และรับของโจรจากกรณีการยักยอกเงินในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นโดยนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้บริหารสหกรณ์และเป็นไวยาวัจกรของวัดพระธรรมกาย เนื่องจากมีการตรวจสอบพบว่ามีการโอนเงินจำนวนหนึ่งมาในชื่อของพระธัมมชโย

       
     แม้จะมีการนัดหมายวันเวลาที่จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหากันไว้แล้ว แต่สุดท้ายพระธัมมชโยก็ไม่ได้เดินทางมา ด้วยเหตุผลที่บรรดาสานุศิษย์แจ้งว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเขามีอาการป่วย พร้อมทั้งเชิญสื่อไปตรวจสอบว่าพระธัมมชโยป่วยจริงด้วยการถ่ายทอดสดผ่านทีวีของวัดพระธรรมกาย

       จากนั้นคณะสงฆ์จากหลากหลายจังหวัดทั่วสารทิศ ต่างหลั่งไหลไปเยี่ยมและให้กำลังใจพระธัมมชโยที่วัดพระธรรมกายกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพระสงฆ์จากพื้นที่ภาคใต้ที่วัดพระธรรมกายได้ให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ
       
       เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2559 ที่มีข่าวออกมาว่า พระราชสุวรรณเวที เจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง วัดต้นสน นำคณะพระสงฆ์จากวัดในภาคกลางกว่า 300 รูป เข้าร่วมพิธีถวายกำลังใจ พร้อมมอบช่อดอกไม้แก่ พระธัมมชโย โดยมีพระภาวนา ธรรมวิเทศ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเป็นผู้รับแทน เพื่อเป็นกำลังใจ หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับ ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน และรับของโจร ที่ห้องแก้วสารพัดนึก วัดพระธรรมกาย
       
       ทั้งนี้สื่อท้องถิ่นอย่างทีมงานบุญนิยมทีวีได้ตรวจสอบกับพระครูวิเศษ ชัยวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคล จังหวัดอ่างทอง ได้รับคำตอบถึงคณะสงฆ์จากจังหวัดอ่างทองที่มีข่าวว่าเดินทางไปให้กำลังใจเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย 300 รูปนั้นไม่เป็นความจริง เพราะพระคุณเจ้าจากอ่างทองไปแค่ 3 รูป โดยนิมนต์ไปเพื่อฉันเพลและไปรับถวายจตุปัจจัย ส่วนเรื่องการถวายดอกไม้ให้กำลังใจพระธัมชโยนั้น ทางวัดพระธรรมกายเป็นคนจัดฉากขึ้น พระ 300 รูปตามที่เป็นข่าว ทางวัดพระธรรมกายเตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ได้เป็นพระจากจังหวัดอ่างทองแต่ประการใด

ให้เข้าวัดแต่มีกำแพงมนุษย์ขวาง
       
       เมื่อพระธัมมชโยไม่เดินทางไปพบเจ้าพนักงานตามหมายเรียก สุดท้ายศาลได้อนุมัติหมายจับพระธัมมชโย ทำเอาสานุศิษย์ต่างๆ หาทางที่จะป้องกันการบุกจับกุมตัวพระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเขาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2559 มีการนำเอารถตักดินมาขวางประตูทางเข้าหน้าวัดในช่วงค่ำถึงเช้า และเมื่อถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2559 เจ้าหน้าที่ DSI ได้ประสานกับทางพระของวัดพระธรรมกาย จะเข้าไปตรวจค้นตามหมายค้น ซึ่งทางวัดยินยอมให้ตรวจค้น
       
       แต่กลับพบว่าในวันดังกล่าวมีลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายมารวมตัวกันจำนวนมาก นั่งกีดขวางการตรวจค้นของ DSI ทำให้การตรวจค้นในวันดังกล่าวไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย แม้ทางวัดจะยินยอม แต่ลูกศิษย์ของวัดกลับไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น ด้วยการนั่งขวางทางเป็นชั้นๆ จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปถึงที่พักของพระธัมมชโยได้และต้องยกเลิกภารกิจ

       
       นับว่าเป็นความสำเร็จในการปกป้องพระธัมมชโย จากการเข้ามาตรวจค้นของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งหากพบพระธัมมชโยทาง DSI สามารถจับกุมได้ทันทีเพราะมีหมายจับอยู่ก่อนหน้านี้ แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายท่ามกลางที่ศิษย์ของวัดนั่งอยู่เต็มวัด และอาจเกิดเหตุความวุ่นวายได้ เพราะในบรรดาลูกศิษย์นั้นไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามีการแฝงตัวของผู้ไม่ประสงค์ดีรวมอยู่ด้วยหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้พบว่ามีคนที่เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองกับคนเสื้อแดงแฝงตัวเข้าไปเป็นผู้ร่วมปฏิบัติธรรมด้วย
       
       นักวิชาการด้านศาสนากล่าวว่า หากลองไล่ดูตั้งแต่วันที่รับปากว่าพระธัมมชโยจะไปมอบตัวกับทาง DSI สุดท้ายคือเบี้ยว ไม่ไป เรื่องของคณะสงฆ์ที่ไปให้กำลังใจ ทุกอย่างวัดพระธรรมกายเตรียมการไว้ทั้งหมด แค่นิมนต์พระไปฉันภัตตาหารเพลเท่านั้น แต่ความมาแตกในเรื่องของคณะสงฆ์จังหวัดอ่างทอง เพราะมีเพียงแค่ 3 รูปเท่านั้นที่เดินทางไปหรือกระทั่งการเปิดให้ตรวจค้นที่วัด แต่กลับมีลูกศิษย์วัดนั่งขวางทางการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่เต็มวัด สิ่งที่ทำไปทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการผิดศีลข้อมุสาฯ หรือไม่
       
       เวิลด์พีซโต้ดัง-คืนเงียบ
       
       ประการต่อมาเมื่อไม่สามารถเข้าไปดำเนินการในทางคดีกับพระธัมมชโยได้ จึงมีการตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่าที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้าในทุกพื้นที่ พบว่าสาขาหรือสิ่งปลูกสร้างของวัดพระธรรมกายบางแห่งบุกรุกพื้นที่ป่าโดยไม่มีเอกสารครอบครอง
       
       โครงการเวิลด์พีซ วัลเลย์ ศูนย์ปฏิบัติธรรมของวัดพระธรรมกาย ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ถูกเข้าตรวจสอบโดยพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อ 6 กรกฎาคม 2559 มีที่ดินประมาณ 500 ไร่ แบ่งเป็นมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง เนื้อที่ 62 ไร่ เป็น นส.3 ก. 10 แปลง เนื้อที่ 230 ไร่ และไม่มีเอกสารสิทธิประมาณ 205 ไร่
       
       จากการตรวจสอบการก่อสร้างพบความผิดที่เห็นได้ชัดเจน คือ 1.ก่อสร้างอาคารกีดขวางทางน้ำสาธารณะ 2.สร้างอาคารกีดขวางทางสาธารณะเดิม และ 3. ขุดเจาะบ่อบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งยังไม่มีการทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
       
       ถัดมา 25 มิถุนายน 2559 นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเลย์ ว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ ที่ดินมีเอกสารสิทธิถูกต้อง ไม่ได้อยู่ในที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ และไม่ได้อยู่ในที่ดิน สปก. และเป็นที่ดินที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั่วไป ไม่จำกัดเฉพาะทำเกษตรกรรม อีกทั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ ได้ขออนุญาตการก่อสร้างกับทางองค์การบริหารส่วนตำบลโป่งตาลองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556 โดยมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์
       
       หลังจากนั้นนายณรงค์ คงคำ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเมื่อ 9 สิงหาคม 2559 ว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ เขาใหญ่ ยินยอมที่จะคืนที่ดินจำนวน 140 ไร่ ให้กับนิคมสร้างตนเองลำตะคองแล้ว หลังจากที่ไม่สามารถแสดงเอกสารสิทธิการครอบครองอย่างถูกต้อง โดยมีเพียงแค่ใบเสียภาษีที่ดิน หรือ ภทบ.5
       
       แต่ข่าวการคืนที่ดิน 140 ไร่ หลังจากที่วัดพระธรรมกาย ไม่สามารถหาเอกสารมายืนยันได้ เรื่องนี้กลับเงียบ และไม่ได้มีการนำข่าวดังกล่าวไปแจ้งต่อสมาชิกของวัดแต่อย่างใด


ช่างกล้าตีความคำพิพากษา
       
       แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือการนำเอาคำพิพากษาคดีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มาตีความว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย
       
       ทั้งนี้ศาลปกครองมีคำพิพากษาเมื่อ 17 สิงหาคม 2559 หลังจากมีผู้เสียหายยื่นฟ้องกรมส่งเสริมสหกรณ์(ผู้ถูกฟ้องที่ 1) และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์(ผู้ถูกฟ้องที่ 2) กระทำละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด
       
       ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อระงับยับยั้งการกระทำที่ไม่ชอบของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้บริหารสหกรณ์ หรือคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์อย่างจริงจัง โดยปล่อยให้มีการกระทำอย่างยาวนานว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543
       
       ส่วนนี้เห็นควรกำหนดให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5% ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะได้รับชำระ โดยให้ดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันคดีถึงที่สุด
       
       ส่วนกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในการร่วมชดใช้ เพราะตามกฎหมายความรับผิดทางละเมิด ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ถือเป็นเพียงผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือสนับสนุนงานที่ได้รับมอบหมายในการสอบบัญชี ไม่ใช่มีอำนาจหน้าที่นายทะเบียนสหกรณ์โดยตรง ให้ยกฟ้อง
       
       26 สิงหาคม 2559 บล็อก http://specialcasestudy.blogspot.com/2016/08/blog-post_26.html ได้เขียนบทความ แถลงการณ์พิเศษ คำวินิจฉัยศาลปกครองสะเทือนถึงคดีวัดพระธรรมกาย (ตอนที่ 1) โดยตีความคำพิพากษาของศาลปกครองดังนี้
       
       จากคำวินิจฉัยของศาลปกครองนี้ ยืนยันชัดเจนว่า คดีนี้ผู้เสียหายคือสมาชิกสหกรณ์ ไม่ใช่แผ่นดินเป็นผู้เสียหาย คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญาแผ่นดิน คดีสหกรณ์เป็นปัญหาที่เกิดจากการบริหารภายในสหกรณ์ ไม่ใช่ปัญหาจากภายนอกสหกรณ์
       
       เมื่อเป็นปัญหาการบริหารสหกรณ์ สมาชิกต้องร้องเรียนปัญหาสหกรณ์กับศาลปกครอง ไม่ใช่ไปร้องเรียนกับ ปปง. หรือดีเอสไอ ปัญหาการขาดสภาพคล่องของสหกรณ์นั้น วัดพระธรรมกายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว เพราะวัดพระธรรมกายมิใช่ผู้บริหารสหกรณ์ ไม่มีอำนาจในการอนุมัติเงินกู้ของสหกรณ์ ให้แก่สมาชิกรายใดแม้แต่คนเดียว
       
       การบริจาคของคุณศุภชัยนั้น เป็นการบริจาคโดยส่วนตัว และวัดพระธรรมกายก็ไม่ทราบความเป็นมาของเงิน เพราะถือว่าเป็นสิทธิของผู้บริจาคที่ไม่จำเป็นต้องบอกเส้นทางการเงินของตัวเองให้ผู้อื่นทราบ คุณศุภชัยได้บริจาคเงินไปหลายที่ ส่วนที่บริจาคมายังวัดพระธรรมกายนั้น เป็นเงินไม่ถึง 10% ของวงเงินทั้งหมด และระหว่างลูกศิษย์วัดกับสหกรณ์ ก็มีการตั้งกองทุนช่วยเหลือกันไปแล้ว ตามยอดการบริจาคเข้ามาของคุณศุภชัย
       
       อ้างถ้าวัดไม่ช่วย-สหกรณ์ล้ม
       
       การตั้งกองทุนช่วยเหลือกันครั้งนี้ ศิษย์วัดพระธรรมกายกับสหกรณ์ ได้ทำสัญญาช่วยเหลือกัน จนครบตามจำนวนเงินที่มีการบริจาคมา ซึ่งการช่วยเหลือนี้ เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่สมาชิก และประคับประคองมิให้สหกรณ์ต้องล้มละลาย
       
       วัดพระธรรมกายกับสหกรณ์ไม่ได้อยู่ในฐานะลูกหนี้กับเจ้าหนี้ที่ต้องชดใช้หนี้สินกัน ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ก่อความเสียหายกับผู้เสียหาย ที่ต้องจ่ายค่าเสียหายต่อกัน เพราะวัดพระธรรมกายไม่เคยกู้เงินจากสหกรณ์ และสหกรณ์ก็ไม่เคยปล่อยกู้ให้วัดพระธรรมกาย ดังนั้น ปัญหาที่สหกรณ์ขาดสภาพคล่อง จึงไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากวัดพระธรรมกาย
       
       การที่ประเทศชาติจะเกิดความเสียหายได้ ก็ต่อเมื่อสหกรณ์ล้มละลาย เมื่อนั้นถึงจะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน แต่ถึงกระนั้นถ้าหากสหกรณ์ล้มละลายจริงๆ สาเหตุการล้มละลายก็มิได้เกิดจากวัดพระธรรมกาย แต่เกิดจากปัญหาการบริหารสหกรณ์อยู่ดี ไม่ว่าคิดจากมุมไหน ความเสียหายของสหกรณ์ จึงไม่ได้เกิดจากวัดพระธรรมกาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่