[สปอยล์นะ]
เมื่อวาน (คือวันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2559) เราได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องแฟนเดย์ สดๆร้อนๆ
ปรากฏว่า จะด้วยพระเอก(เต๋อ) หรือเพราะนางเอก(มิว) เราไม่รู้ แต่เรื่องนี้เราอินมาก
กลับมาถึงบ้านก็โพสต์เฟซตามปกติ ประมาณว่า “ดูเรื่องนี้มาแล้วเว่ย”
เราคิดว่า เราเข้าใจทุกอย่างในเรื่องนี้ดีนะ เพราะมันเป็น common sense ว่าทำไมเรื่องราวถึงเป็นแบบนั้น
แต่หลังจากโพสต์เฟซไปแล้ว มีคำถามหลังไมค์มาจากน้องผู้หญิงท่านหนึ่ง
ที่เกิดอาการรู้สึกว่า...
1.
“ไม่อิน” กับเรื่องราวความเป็นไปของเรื่องนี้อย่างแรง
2. ไม่เข้าใจความคิดและทัศนคติของผู้ชายแบบคุณเด่น
ไม่เข้าใจผู้หญิงที่สามารถชอบผู้ชายคนนึงได้เพียงใช้เวลาแค่วันเดียว
3 ข้อบนทำให้ไม่มีความรู้สึกร่วมกับหนังเรื่องนี้ และถึงขั้น “ต่อต้าน” แนวคิดของหนัง
หลังจากที่ถกกันอยู่นานในประเด็นของหนัง ตัวพระเอก และนางเอก เราก็ได้ค้นพบความจริง
แล้วรู้สึก Unlock นิดๆ ว่า
“เฮ้ย!! นึกว่าทุกคนจะคิดเหมือนกันหมดซะอีก
แต่เหมือนว่าจะมีผู้หญิงอีกเยอะที่ไม่โอเคกับบทหนัง
ไม่เข้าใจและไม่โอเคกับความคิดพระเอก
ไปถึงว่าไม่เข้าใจอารมณ์นางเอกด้วย”
ในฐานะที่เราดูหนังเรื่องนี้แล้วซึ้งน้ำตาไหลหน้าตาเฉย
โดยไม่คลางแคลงสงสัยอะไรในพระเอกเลย
เขินนิดนึง ที่จะบอกว่าตัวเราเองก็เคยมีโมเม้นต์ความคิดแบบเด่น(พระเอก) มาก่อน
เคยคิดว่าความรักแท้ๆ มันคือการให้ คือการเสียสละ คือการทุ่มเททำความดี
รักแอบมองก็น่าจะเพียงพอ เคยคิดว่าตัวเองต่ำต้อย แล้วอีกฝ่ายสูงส่ง
(ก็ไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่ลึกๆมันก็คิดแบบนั้น)
เอาเป็นว่า อะไรๆที่ไอ้เด่นมันเป็น เราก็เคยเป็น เคยทำ เคยผิดหวัง
จนตอนนี้เลิกหวังกับแนวคิดประมาณนี้แล้ว แล้วเชื่อว่ามันมีแนวคิดที่ดีกว่า(แต่ไม่เลวลง)
ซึ่งก็น่าจะเป็นทางสายกลาง ระหว่างความดี และ ความเป็นชายแมนๆ
แล้วเราเองตอนนี้ก็เข้าอกเข้าใจความคิดของ กลุ่มของคนที่มองว่า ความรัก มันก็แค่กล้าจีบ คุย
ให้มันรู้เรื่องไป ไม่ใช่มาทำตัวปิดทองหลังพระ ทำตัวเป็นคนดีจนน่ากลัวแบบนี้
เราจึงลองเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อไขความจริงให้กระจ่าง
และ Unlock “ความไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร” ของคนทั้ง 2 กลุ่มดูสักตั้ง
ก่อนที่จะเข้าใจว่าเด่น มันเป็นผู้ชายประสาอะไร ทำไมมันดีเว่อ ประเสริฐซะจนน่ากลัว
อะไรดลใจให้เค้าต้องปิดทองหลังพระ แอบๆหลบๆซ่อนๆ แทนที่จะ “จีบให้จบๆ”
จะได้รู้หัวรู้ก้อยกันไวๆ ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้เกริ่นถึงคุณลักษณะของพระเอกนางเอกเรื่องแฟนเดย์กันก่อน
คือเรื่องแฟนเดย์เนี่ย... (เตือนแล้วนะว่านี่สปอยล์) มันเป็นหนังรักแบบ
ฟีลกู๊ดด้วย โทนเศร้าด้วย แล้วก็เรียกน้ำตา ทั้งเสียงฮา ครบรส ถือว่าเป็นอีกงานหนังดีๆที่เราชอบนะ
เด่นชัย เรียกสั้นๆว่า “เด่น” เป็นตัวพระเอก แฟนเดย์
เด่นชัยถูกดีไซน์ให้เป็นตัวละครที่ไม่มีทักษะทางสังคม คือแทบไม่พูดคุยกะใคร ทั้งในโลกจริง
หรือแม้แต่ในโลกออนไลน์ ก็ดูสิ โทรศัพท์ก็ไม่ค่อยเล่น ที่เห็นในหนัง มีแต่ SMS อวยพรวันเกิด
จากระบบอัตโนมัติ แถมพอจะต้องพูดกับใครทีก็พูดเป็นเชิงตรรกะ พูดข้อเท็จจริง มาห้วนๆ
เน้นเนื้อ ไม่เอาน้ำ แล้วส่วนมากคือฟังแล้วเหมือนคนปากเสียด้วยนะ
พอขาดทักษะทางสังคม นี่เรื่องใหญ่เลยนะ เมื่อเค้าต้องแอบไปปิ๊งนางเอกเข้า
ก็คิดดู คนไม่มีความสัมพันธ์กับใคร รักใครเข้า เค้าจะทำยังไงได้ นอกจากได้แค่แอบรัก
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นพระเอกทำสารพัดวิธีโรแมนติกที่ผู้ชายที่แอบรักผู้หญิงคนนึง
จะทำให้ผู้หญิงคนนึงได้อย่างอบอุ่นโรแมนติกขนาดนี้
ฟังดูแล้วเป็นตัวละครที่ใครหลายๆคนมองเห็นเป็นกระจกสะท้อนตัวเองซะยังไงอย่างนั้น
แหะๆ ในทางฐานะที่เราก็เคยเป็นแบบเด่น เราก็มองเห็นตัวเองในหนังเรื่องนี้เหมือนกันแหล่ะ
ก็ไม่แปลกที่จะอินกับเรื่องนี้ ซึ้งกับเรื่องนี้ รู้สึกชอบและรักนางเอกเรื่องนี้มากๆอย่างบอกไม่ถูก
“นุ้ย” เป็นตัวนางเอก แฟนเดย์ สวย น่ารัก ยิ้มเก่ง
ตามแบบฉบับสาวที่มักถูกชายแสนดีแอบชอบ
ก็ตามหัวข้อเลย เรื่องนี้ได้นางเอกชื่อนุ้ย (แสดงโดย มิว นิษฐา จิรยั่งยืน)
บอกเลยว่า เลือกคนนี้มาแสดง ไม่ผิดหวังเลย เพราะโอบอุ้มฟีลลิ่งของหนังเรื่องนี้ไว้ครบครันมาก
โดยเฉพาะ “ลักษณะภายนอก” ที่สวย น่ารัก ทรงเสน่ห์
และ “ลักษณะภายใน” ที่มักจะมีความ friendly กับทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกัน
จนกระทั่ง ไปหว่านเมล็ดความ friendly นี้กับชายที่แสนดีอย่าง เด่น
จนเด่นเอาความรู้สึกแว๊บแรกนี้ ไปคิดต่ออีกหลายตลบ (ตามสไตล์ของผู้ชายแสนดี)
แล้วก็จบสรุปว่า “นี่แหล่ะ รักแท้ของเราโว้ย”
หนังก็เล่นอยู่กับการการเกริ่นเนื้อหาของเรื่อง และเริ่มฉากน่ารักกุ๊กกิ๊ก
ที่ทำเอาใจหนุ่มๆหลายคนที่ดูหนังอยู่ ถึงกับแอบรักนุ้ยตามไปด้วย
มาถึงฉากพีคๆแบบว่า ความรักสุกงอม กำลังจะมีอะไรกัน
แต่แล้ว เพราะความเป็นผู้ชายแสนดีของพระเอก
อะไรที่มันเป็นเรื่องจริง อะไรที่มันไม่ถูกต้อง ก็ต้องเอามาสารภาพซะหมด
เรื่องก็พังทลายลงแบบเพลง ประติมากรรมน้ำแข็ง น่ะสิพี่น้อง
แต่หนังมันก็ยังใจดีนะ ที่ให้โอกาสพระเอกได้พรอดรักกับนางเอกต่ออีกหน่อย
แต่ก็ไม่วายวางเงื่อนไขสถานการณ์เอาไว้แบบรัดกุม ชนิดที่ว่า
ความรักแบบนี้ จะไม่มีวันสมหวังเล็ดรอดไปได้แน่นอน โอ้โห! ดูความโหดร้าย
ผมจะไม่วิเคราะห์ว่าหนังมันสนุกดียังงั้นยังงี้นะ
แต่อยากจะเอา Point ของหนังมาขยี้ให้ชายหนุ่มหลายๆคนตั้งใจอ่านกันให้ดีๆมากกว่า
หนังเรื่องนี้ ไม่ได้แค่มาโปรยความสนุกให้แก่พวกเฉยๆ
หนังเรื่องนี้ สะท้อนแรงๆให้พวกผู้ชายแสนดีเห็นเลยแหล่ะ
ว่าใต้ความแสนดีของเหล่าผู้ชายแสนดีนั้น จริงๆแล้ว
ถูกมองจากสายตาของผู้หญิงทั่วๆไปยังไง?
ผมเอะใจในประเด็นนี้ ตั้งแต่ที่น้องคนนั้นถามมานั่นแหล่ะ พอคิดไปคิดมา ขยี้ประเด็นหนังสักพัก
ก็ถึงบางอ้อ ว่า “เฮ้ย! นี่มันเป็นบทเรียนที่ดีมากๆที่ผู้ชายแสนดี ควรจะระลึกไว้ให้มั่นเลยนะ!!!”
สิ่งที่เราเห็นจากหนังชัดเจนมากคือ
ความแสนดี บางครั้งก็น่ากลัวในสายตาของผู้หญิง
น่ากลัวขนาดว่า “นี่มันผู้ชายโรคจิตชัดๆ!” ด้วยซ้ำไป
ก็ลองมาไล่เรียงกันดูสิ ว่าเด่นทำอะไรลงไปบ้าง?
1. แอบมาแต่เช้า เพื่อมาจองรถให้นางเอก
2. เก็บโต๊ะทำงานและจัดของให้นุ้ยทุกเย็น
3. ลงทุนหาชื่อเพลงที่นุ้ยฟังจากวิทยุแล้วชอบ แต่ไม่รู้ชื่อเพลง ดีเจ

ไม่ยอมบอก
ประเด็นคือ หาเพลงเสร็จ ดันโหลดเอาไปแปะไว้หน้า Desktop คอมนุ้ย
4. HACK เข้าเกมที่นุ้ยเล่น เพื่อไปหาไอเท็มที่เป็นประโยชน์กับเกมมาให้นุ้ย
5. รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนุ้ย ชอบไร เกลียดไร เจออะไรมาบ้าง
...แถมสแตมป์วันที่เวลาในหัวสมองได้ครบรายละเอียด
6. สารภาพรักกับนุ้ย โดยสารภาพทั้ง 5 ข้อที่เคยทำมา
สำหรับคนที่รู้สึกอินกับหนัง เพราะตอนนั้นบรรยากาศมันเป็นใจ
ที่ให้พระเอกเลือกที่จะเล่าตอนที่นางเอกตั้งใจจะฟัง
อาจจะรู้สึกว่าทั้ง 6 ข้อนั้นเป็นเรื่องของรักแท้ที่ผู้ชายทำแล้วน่ารัก
ส่วนข้อ 6 นั้น เด่นก็แค่โชคร้ายที่เล่าไม่จบ นุ้ยชิ่งไปซะก่อน
ผมอยากให้ลองมาไล่เรียงอ่านใหม่ดูดีๆนะ แล้วคุณจะรู้สึกว่า
มันไม่ได้ดูโอเคเลย มันดูโรคจิต มันดูสตอล์กเกอร์มากๆ
โดยเฉพาะข้อ 5 นะครับ ที่ว่า รู้ข้อมูลผู้หญิงทุกอย่าง
ซึ่งก็เป็นข้อที่ทำแล้วก็ดีแหล่ะ
เป็นข้อได้เปรียบของคนที่คิดจะจีบใครสักคน แต่...
อย่าอวดฉลาดพูดออกไปว่าคุณรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเธอ
หรืออย่าไปเล่าให้ใครฟังเลย
เพราะมันจะดูน่ากลัวมากกกกกก (ก ไก่ 31 ล้านตัว)
น้องผู้หญิงคนที่มาตั้งคำถามกับเรา ว่าไม่เข้าใจหนัง ว่าแบบนี้เรียกโรแมนติกได้ยังไง
ก็เพราะบทสรุป 6 ข้อที่เราสรุปมาเนี่ยแหล่ะ ที่มันแคลงใจ ว่านุ้ยรักพระเอกลงไปได้ไง?
ผู้หญิงเค้ากลัวนะ ที่เด่นทำแบบนี้
กลัวมากกว่าผู้ชายหน้าโหดๆที่เดินดุ่มๆมาขอเบอร์อีก
(อันนี้ดูน่ารักไปเลย เมื่อเทียบกับ 6 ข้อบน...)
แต่ช้าก่อน เราเข้าใจพวกท่าน เพราะเราเคยเป็น เรารู้ว่ามันมีบริบทให้คิด ให้กระทำยังไง
ถึงได้เลยเถิดมาขนาดนี้ได้ ผู้หญิงอาจจะกลัว แต่เรามองว่ามันเป็นปกตินิสัยของพวกท่าน
และมันมีที่มาที่ไป
จริงๆแล้วที่มาที่ไปของความแสนดี นั้นไม่ใช่มั่วๆพูดกัน มันมาเป็นวิชาการ ขออนุญาตแนะนำหนังสือเล่มนี้
หนังสือมีชื่อว่า No More Mr. Nice Guy เขียนโดย Dr. Robert Glover
มีแปลไทยแล้วนะ ชื่อหนังสือว่า "พอกันที !! ผู้ชายแสนดี"
"จู่ๆผู้ชายแสนดีมันไม่ได้เกิดมาบนโลกได้เองหรอก
มันมีสภาวะทางสังคมที่เบื่อหน่ายกับผู้ชายกร้านโลกแบบยุคสมัยก่อน
เกิดความคาดหวังที่จะให้มีผู้ชายที่นิสัยดีกว่านี้เกิดมาแทนที่
แล้วแนวคิดพวกนี้ก็ถูกบ่มเพาะลงไปในสังคมจนกระทั่งได้ผลผลิตเป็นผู้ชายแสนดีแบบนี้ออกมาจำนวนมาก
นี่แหล่ะ ที่มาของคนดีๆ"
นี่เป็นข้อสรุปแรกๆที่เราได้จากหนังสือเล่มนี้เลยนะ
การปรากฏตัวขึ้นของผู้ชายแสนดี ไม่ได้มาจากอวกาศหรือกาแล็คซี่อันไกลโพ้นแน่นอน
จริงๆแล้วพวกเขาก็มาจากการบ่มเพาะค่านิยมโดยสังคมรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั่นแหล่ะ
มันมาจากการที่ผู้ชายผู้เป็นสามี มีนิสัยแบบแมนๆ มีความกล้าที่จะจีบสาว
สามารถพัฒนาไปถึงเซ็กซ์ได้ง่ายๆ มีจุดยืนชัด มีเป้าหมาย(ที่มักจะท้าทาย)
และลงมือทำในสิ่งที่คิดไว้อย่างกล้าหาญ คือดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์ต่อเพศหญิงเหลือเกิน
นั่นเป็นสาเหตุให้ผู้ชายแนวๆนี้ ก็มักจะจีบสาวได้ มีแฟนมีครอบครัวได้ง่าย
แต่ในความที่เพศชายถูกกำหนดให้ไปบุกป่าฝ่าดงล่าหาอาหารมาตั้งแต่ยุคหิน
แรงขับเหล่านั้นก็เลยมีของแถมมาด้วย ทำให้เพศชายมีความก้าวร้าว เอาแต่ใจ มีอารมณ์รุนแรง
มีความต้องการทางเพศที่ไม่สิ้นสุด (ไม่ได้รักเดียวใจเดียว) และมักทำอะไรเสี่ยงๆ
โดยมองเป็นความท้าทาย มากกว่าที่จะกังวลในแง่ความปลอดภัยและละเอียดอ่อน
(ซึ่งเป็นอุปนิสัยของเพศแม่ ถูกมั้ย?)
พอสังคมได้เผชิญกับอะไรที่น่าเบื่อหน่าย ปัญหาคาราคาซังนานๆ มันก็ anti ตามสเต็ป
ผู้หญิงรุ่นแม่ๆเราพอมีลูก ก็จะมีการปลูกฝังค่านิยมอะไรที่ “ทำให้ลูกตัวเองแตกต่างจากผู้ชายแบบเก่าๆ”
อย่าว่าแต่รุ่นแม่ๆเลย เด็กเกิดมา ดูทีวี เล่นเน็ต เค้าก็จะได้เห็นสิ่งที่สังคมพยายามยัดเยียด
1. ผ่านหนังรักโรแมนติก ผู้ชายเจอผู้หญิง จากรู้จักกัน ก็สนิทกัน เริ่มรักกัน พอรักกันก็รักเดียวใจเดียว
2. ผ่านยุคอินเตอร์เน็ตที่ทำให้ผู้ชายรุ่นใหม่ซึมซับความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิงมาซะเยอะ
ผู้หญิงชอบอะไร? ผู้หญิงไม่ชอบอะไร? ผู้หญิงเสียใจเพราะผู้ชายเฮงซวยที่มีนิสัยยังไง?
สิ่งเหล่านี้บ่มเพาะ “ผู้ชายแสนดี” ให้เกิดขึ้นมาบนโลก ผู้ชายแสนดีก็ มีอาการประมาณนี้
(ให้นึกถึงหน้าเด่นเข้าไว้นะ ตอนอ่าน)
1. จีบสาวไม่เป็น พอบทจะกล้าจีบขึ้นมา ก็จีบด้วยคำพูดที่ฟังแล้วพังแน่นอน
2. จีบสาวโดยใช้วิธีเข้าไปใกล้ๆเนียนๆใช้ระยะเวลายาวๆเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นพ่อ
แล้วก็เป็นไปยาวๆเลย (Permanent Friendzoned)
3. เป็นที่ปรึกษา เก่งดี ประเสริฐกว่าแฟนคนปัจจุบันของเธอ (โดยมากคือหวังเสียบ เมื่อเขาเลิกกัน)
4. ชอบวางมาด วางท่า พูดน้อย ปากไม่ตรงกับใจ ใจนี่คิดไปนู่น แต่ปากพูดไปอีกอย่าง
(และมักจะพูดจาแข็งๆห้วนๆ)
5. ไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัว แต่พออยากอัพเกรดความสัมพันธ์ทางกาย ดันแสดงออกมาดูรวมๆแล้วหื่น
6. รักแล้วแอบ (แอบมอง แอบชอบ)
7. ทุ่มเทอย่างสุดหัวใจ ปักหลักกับสาวคนนี้ที่หมายปอง
8. รักแท้ คือการทำอะไรดีๆให้ แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม (ปิดทองหลังพระ)
9. เชื่อว่าความรักจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องจีบ (แบบนิยายรักที่อ่านมานั่นแหล่ะ)
10. เซ็กซ์คือความเห็นแก่ตัว ต้องรักษาผู้หญิงไว้หลังแต่งงาน
11. หรือแม้แต่คนที่มีแฟนแล้ว ก็มีได้ไม่นาน ต้องเลิกกันไว เพราะผู้หญิงมองว่าทำตัวเหมือนเพื่อน
เรื่องมันยุ่งยากตรงที่ว่า ผู้ชายดังกล่าว จะมีทัศนคติที่มองตัวเองเป็นบวกเกินความจริง
คือคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็โทษผู้ชายคนอื่นที่จีบสาวติด ว่าจีบได้แล้วก็ดูแลรักษาไม่ดี
แล้วก็โทษผู้หญิงอีกว่าไม่เห็นคุณค่าของเขา
หนักเข้าก็โทษตัวเองว่าต้อยต่ำ
ยกยอให้ผู้หญิงสูงส่ง ...ประมาณนี้
เขามักคิดว่า “คิดว่าตัวเองทำดี” แต่จริงๆคือ...
“คิดแทนผู้หญิง และคล้อยตามผู้หญิง จนหมดเสน่ห์” มากกว่า
มันก็เลยเป็นเหตุผล ที่การกระทำของผู้ชายแสนดี ที่อุตส่าห์วางแผนเอาไว้ดิบดี
กลับดูเป็นการกระทำที่น่ากลัวมากกว่าที่จะน่ารักซะงั้น ในสายตาผู้หญิงทั่วไป
[สปอยล์] บทเรียนตบหน้าชายที่แสนดีจากแฟนเดย์ (มีเส้นใยบางๆนะ ระหว่างการเป็นชายแสนดี กับ คนที่ดูโรคจิต)
เมื่อวาน (คือวันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2559) เราได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องแฟนเดย์ สดๆร้อนๆ
ปรากฏว่า จะด้วยพระเอก(เต๋อ) หรือเพราะนางเอก(มิว) เราไม่รู้ แต่เรื่องนี้เราอินมาก
กลับมาถึงบ้านก็โพสต์เฟซตามปกติ ประมาณว่า “ดูเรื่องนี้มาแล้วเว่ย”
เราคิดว่า เราเข้าใจทุกอย่างในเรื่องนี้ดีนะ เพราะมันเป็น common sense ว่าทำไมเรื่องราวถึงเป็นแบบนั้น
แต่หลังจากโพสต์เฟซไปแล้ว มีคำถามหลังไมค์มาจากน้องผู้หญิงท่านหนึ่ง
ที่เกิดอาการรู้สึกว่า...
1. “ไม่อิน” กับเรื่องราวความเป็นไปของเรื่องนี้อย่างแรง
2. ไม่เข้าใจความคิดและทัศนคติของผู้ชายแบบคุณเด่น
ไม่เข้าใจผู้หญิงที่สามารถชอบผู้ชายคนนึงได้เพียงใช้เวลาแค่วันเดียว
3 ข้อบนทำให้ไม่มีความรู้สึกร่วมกับหนังเรื่องนี้ และถึงขั้น “ต่อต้าน” แนวคิดของหนัง
หลังจากที่ถกกันอยู่นานในประเด็นของหนัง ตัวพระเอก และนางเอก เราก็ได้ค้นพบความจริง
แล้วรู้สึก Unlock นิดๆ ว่า
“เฮ้ย!! นึกว่าทุกคนจะคิดเหมือนกันหมดซะอีก
แต่เหมือนว่าจะมีผู้หญิงอีกเยอะที่ไม่โอเคกับบทหนัง
ไม่เข้าใจและไม่โอเคกับความคิดพระเอก
ไปถึงว่าไม่เข้าใจอารมณ์นางเอกด้วย”
ในฐานะที่เราดูหนังเรื่องนี้แล้วซึ้งน้ำตาไหลหน้าตาเฉย
โดยไม่คลางแคลงสงสัยอะไรในพระเอกเลย
เขินนิดนึง ที่จะบอกว่าตัวเราเองก็เคยมีโมเม้นต์ความคิดแบบเด่น(พระเอก) มาก่อน
เคยคิดว่าความรักแท้ๆ มันคือการให้ คือการเสียสละ คือการทุ่มเททำความดี
รักแอบมองก็น่าจะเพียงพอ เคยคิดว่าตัวเองต่ำต้อย แล้วอีกฝ่ายสูงส่ง
(ก็ไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่ลึกๆมันก็คิดแบบนั้น)
เอาเป็นว่า อะไรๆที่ไอ้เด่นมันเป็น เราก็เคยเป็น เคยทำ เคยผิดหวัง
จนตอนนี้เลิกหวังกับแนวคิดประมาณนี้แล้ว แล้วเชื่อว่ามันมีแนวคิดที่ดีกว่า(แต่ไม่เลวลง)
ซึ่งก็น่าจะเป็นทางสายกลาง ระหว่างความดี และ ความเป็นชายแมนๆ
แล้วเราเองตอนนี้ก็เข้าอกเข้าใจความคิดของ กลุ่มของคนที่มองว่า ความรัก มันก็แค่กล้าจีบ คุย
ให้มันรู้เรื่องไป ไม่ใช่มาทำตัวปิดทองหลังพระ ทำตัวเป็นคนดีจนน่ากลัวแบบนี้
เราจึงลองเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อไขความจริงให้กระจ่าง
และ Unlock “ความไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร” ของคนทั้ง 2 กลุ่มดูสักตั้ง
ก่อนที่จะเข้าใจว่าเด่น มันเป็นผู้ชายประสาอะไร ทำไมมันดีเว่อ ประเสริฐซะจนน่ากลัว
อะไรดลใจให้เค้าต้องปิดทองหลังพระ แอบๆหลบๆซ่อนๆ แทนที่จะ “จีบให้จบๆ”
จะได้รู้หัวรู้ก้อยกันไวๆ ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้เกริ่นถึงคุณลักษณะของพระเอกนางเอกเรื่องแฟนเดย์กันก่อน
คือเรื่องแฟนเดย์เนี่ย... (เตือนแล้วนะว่านี่สปอยล์) มันเป็นหนังรักแบบ
ฟีลกู๊ดด้วย โทนเศร้าด้วย แล้วก็เรียกน้ำตา ทั้งเสียงฮา ครบรส ถือว่าเป็นอีกงานหนังดีๆที่เราชอบนะ
เด่นชัย เรียกสั้นๆว่า “เด่น” เป็นตัวพระเอก แฟนเดย์
เด่นชัยถูกดีไซน์ให้เป็นตัวละครที่ไม่มีทักษะทางสังคม คือแทบไม่พูดคุยกะใคร ทั้งในโลกจริง
หรือแม้แต่ในโลกออนไลน์ ก็ดูสิ โทรศัพท์ก็ไม่ค่อยเล่น ที่เห็นในหนัง มีแต่ SMS อวยพรวันเกิด
จากระบบอัตโนมัติ แถมพอจะต้องพูดกับใครทีก็พูดเป็นเชิงตรรกะ พูดข้อเท็จจริง มาห้วนๆ
เน้นเนื้อ ไม่เอาน้ำ แล้วส่วนมากคือฟังแล้วเหมือนคนปากเสียด้วยนะ
พอขาดทักษะทางสังคม นี่เรื่องใหญ่เลยนะ เมื่อเค้าต้องแอบไปปิ๊งนางเอกเข้า
ก็คิดดู คนไม่มีความสัมพันธ์กับใคร รักใครเข้า เค้าจะทำยังไงได้ นอกจากได้แค่แอบรัก
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นพระเอกทำสารพัดวิธีโรแมนติกที่ผู้ชายที่แอบรักผู้หญิงคนนึง
จะทำให้ผู้หญิงคนนึงได้อย่างอบอุ่นโรแมนติกขนาดนี้
ฟังดูแล้วเป็นตัวละครที่ใครหลายๆคนมองเห็นเป็นกระจกสะท้อนตัวเองซะยังไงอย่างนั้น
แหะๆ ในทางฐานะที่เราก็เคยเป็นแบบเด่น เราก็มองเห็นตัวเองในหนังเรื่องนี้เหมือนกันแหล่ะ
ก็ไม่แปลกที่จะอินกับเรื่องนี้ ซึ้งกับเรื่องนี้ รู้สึกชอบและรักนางเอกเรื่องนี้มากๆอย่างบอกไม่ถูก
“นุ้ย” เป็นตัวนางเอก แฟนเดย์ สวย น่ารัก ยิ้มเก่ง
ตามแบบฉบับสาวที่มักถูกชายแสนดีแอบชอบ
ก็ตามหัวข้อเลย เรื่องนี้ได้นางเอกชื่อนุ้ย (แสดงโดย มิว นิษฐา จิรยั่งยืน)
บอกเลยว่า เลือกคนนี้มาแสดง ไม่ผิดหวังเลย เพราะโอบอุ้มฟีลลิ่งของหนังเรื่องนี้ไว้ครบครันมาก
โดยเฉพาะ “ลักษณะภายนอก” ที่สวย น่ารัก ทรงเสน่ห์
และ “ลักษณะภายใน” ที่มักจะมีความ friendly กับทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกัน
จนกระทั่ง ไปหว่านเมล็ดความ friendly นี้กับชายที่แสนดีอย่าง เด่น
จนเด่นเอาความรู้สึกแว๊บแรกนี้ ไปคิดต่ออีกหลายตลบ (ตามสไตล์ของผู้ชายแสนดี)
แล้วก็จบสรุปว่า “นี่แหล่ะ รักแท้ของเราโว้ย”
หนังก็เล่นอยู่กับการการเกริ่นเนื้อหาของเรื่อง และเริ่มฉากน่ารักกุ๊กกิ๊ก
ที่ทำเอาใจหนุ่มๆหลายคนที่ดูหนังอยู่ ถึงกับแอบรักนุ้ยตามไปด้วย
มาถึงฉากพีคๆแบบว่า ความรักสุกงอม กำลังจะมีอะไรกัน
แต่แล้ว เพราะความเป็นผู้ชายแสนดีของพระเอก
อะไรที่มันเป็นเรื่องจริง อะไรที่มันไม่ถูกต้อง ก็ต้องเอามาสารภาพซะหมด
เรื่องก็พังทลายลงแบบเพลง ประติมากรรมน้ำแข็ง น่ะสิพี่น้อง
แต่หนังมันก็ยังใจดีนะ ที่ให้โอกาสพระเอกได้พรอดรักกับนางเอกต่ออีกหน่อย
แต่ก็ไม่วายวางเงื่อนไขสถานการณ์เอาไว้แบบรัดกุม ชนิดที่ว่า
ความรักแบบนี้ จะไม่มีวันสมหวังเล็ดรอดไปได้แน่นอน โอ้โห! ดูความโหดร้าย
ผมจะไม่วิเคราะห์ว่าหนังมันสนุกดียังงั้นยังงี้นะ
แต่อยากจะเอา Point ของหนังมาขยี้ให้ชายหนุ่มหลายๆคนตั้งใจอ่านกันให้ดีๆมากกว่า
หนังเรื่องนี้ ไม่ได้แค่มาโปรยความสนุกให้แก่พวกเฉยๆ
หนังเรื่องนี้ สะท้อนแรงๆให้พวกผู้ชายแสนดีเห็นเลยแหล่ะ
ว่าใต้ความแสนดีของเหล่าผู้ชายแสนดีนั้น จริงๆแล้ว
ถูกมองจากสายตาของผู้หญิงทั่วๆไปยังไง?
ผมเอะใจในประเด็นนี้ ตั้งแต่ที่น้องคนนั้นถามมานั่นแหล่ะ พอคิดไปคิดมา ขยี้ประเด็นหนังสักพัก
ก็ถึงบางอ้อ ว่า “เฮ้ย! นี่มันเป็นบทเรียนที่ดีมากๆที่ผู้ชายแสนดี ควรจะระลึกไว้ให้มั่นเลยนะ!!!”
สิ่งที่เราเห็นจากหนังชัดเจนมากคือ
ความแสนดี บางครั้งก็น่ากลัวในสายตาของผู้หญิง
น่ากลัวขนาดว่า “นี่มันผู้ชายโรคจิตชัดๆ!” ด้วยซ้ำไป
ก็ลองมาไล่เรียงกันดูสิ ว่าเด่นทำอะไรลงไปบ้าง?
1. แอบมาแต่เช้า เพื่อมาจองรถให้นางเอก
2. เก็บโต๊ะทำงานและจัดของให้นุ้ยทุกเย็น
3. ลงทุนหาชื่อเพลงที่นุ้ยฟังจากวิทยุแล้วชอบ แต่ไม่รู้ชื่อเพลง ดีเจ
ประเด็นคือ หาเพลงเสร็จ ดันโหลดเอาไปแปะไว้หน้า Desktop คอมนุ้ย
4. HACK เข้าเกมที่นุ้ยเล่น เพื่อไปหาไอเท็มที่เป็นประโยชน์กับเกมมาให้นุ้ย
5. รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนุ้ย ชอบไร เกลียดไร เจออะไรมาบ้าง
...แถมสแตมป์วันที่เวลาในหัวสมองได้ครบรายละเอียด
6. สารภาพรักกับนุ้ย โดยสารภาพทั้ง 5 ข้อที่เคยทำมา
สำหรับคนที่รู้สึกอินกับหนัง เพราะตอนนั้นบรรยากาศมันเป็นใจ
ที่ให้พระเอกเลือกที่จะเล่าตอนที่นางเอกตั้งใจจะฟัง
อาจจะรู้สึกว่าทั้ง 6 ข้อนั้นเป็นเรื่องของรักแท้ที่ผู้ชายทำแล้วน่ารัก
ส่วนข้อ 6 นั้น เด่นก็แค่โชคร้ายที่เล่าไม่จบ นุ้ยชิ่งไปซะก่อน
ผมอยากให้ลองมาไล่เรียงอ่านใหม่ดูดีๆนะ แล้วคุณจะรู้สึกว่า
มันไม่ได้ดูโอเคเลย มันดูโรคจิต มันดูสตอล์กเกอร์มากๆ
โดยเฉพาะข้อ 5 นะครับ ที่ว่า รู้ข้อมูลผู้หญิงทุกอย่าง
ซึ่งก็เป็นข้อที่ทำแล้วก็ดีแหล่ะ
เป็นข้อได้เปรียบของคนที่คิดจะจีบใครสักคน แต่...
อย่าอวดฉลาดพูดออกไปว่าคุณรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเธอ
หรืออย่าไปเล่าให้ใครฟังเลย
เพราะมันจะดูน่ากลัวมากกกกกก (ก ไก่ 31 ล้านตัว)
น้องผู้หญิงคนที่มาตั้งคำถามกับเรา ว่าไม่เข้าใจหนัง ว่าแบบนี้เรียกโรแมนติกได้ยังไง
ก็เพราะบทสรุป 6 ข้อที่เราสรุปมาเนี่ยแหล่ะ ที่มันแคลงใจ ว่านุ้ยรักพระเอกลงไปได้ไง?
ผู้หญิงเค้ากลัวนะ ที่เด่นทำแบบนี้
กลัวมากกว่าผู้ชายหน้าโหดๆที่เดินดุ่มๆมาขอเบอร์อีก
(อันนี้ดูน่ารักไปเลย เมื่อเทียบกับ 6 ข้อบน...)
แต่ช้าก่อน เราเข้าใจพวกท่าน เพราะเราเคยเป็น เรารู้ว่ามันมีบริบทให้คิด ให้กระทำยังไง
ถึงได้เลยเถิดมาขนาดนี้ได้ ผู้หญิงอาจจะกลัว แต่เรามองว่ามันเป็นปกตินิสัยของพวกท่าน
และมันมีที่มาที่ไป
จริงๆแล้วที่มาที่ไปของความแสนดี นั้นไม่ใช่มั่วๆพูดกัน มันมาเป็นวิชาการ ขออนุญาตแนะนำหนังสือเล่มนี้
หนังสือมีชื่อว่า No More Mr. Nice Guy เขียนโดย Dr. Robert Glover
มีแปลไทยแล้วนะ ชื่อหนังสือว่า "พอกันที !! ผู้ชายแสนดี"
มันมีสภาวะทางสังคมที่เบื่อหน่ายกับผู้ชายกร้านโลกแบบยุคสมัยก่อน
เกิดความคาดหวังที่จะให้มีผู้ชายที่นิสัยดีกว่านี้เกิดมาแทนที่
แล้วแนวคิดพวกนี้ก็ถูกบ่มเพาะลงไปในสังคมจนกระทั่งได้ผลผลิตเป็นผู้ชายแสนดีแบบนี้ออกมาจำนวนมาก
นี่แหล่ะ ที่มาของคนดีๆ"
นี่เป็นข้อสรุปแรกๆที่เราได้จากหนังสือเล่มนี้เลยนะ
การปรากฏตัวขึ้นของผู้ชายแสนดี ไม่ได้มาจากอวกาศหรือกาแล็คซี่อันไกลโพ้นแน่นอน
จริงๆแล้วพวกเขาก็มาจากการบ่มเพาะค่านิยมโดยสังคมรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั่นแหล่ะ
มันมาจากการที่ผู้ชายผู้เป็นสามี มีนิสัยแบบแมนๆ มีความกล้าที่จะจีบสาว
สามารถพัฒนาไปถึงเซ็กซ์ได้ง่ายๆ มีจุดยืนชัด มีเป้าหมาย(ที่มักจะท้าทาย)
และลงมือทำในสิ่งที่คิดไว้อย่างกล้าหาญ คือดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์ต่อเพศหญิงเหลือเกิน
นั่นเป็นสาเหตุให้ผู้ชายแนวๆนี้ ก็มักจะจีบสาวได้ มีแฟนมีครอบครัวได้ง่าย
แต่ในความที่เพศชายถูกกำหนดให้ไปบุกป่าฝ่าดงล่าหาอาหารมาตั้งแต่ยุคหิน
แรงขับเหล่านั้นก็เลยมีของแถมมาด้วย ทำให้เพศชายมีความก้าวร้าว เอาแต่ใจ มีอารมณ์รุนแรง
มีความต้องการทางเพศที่ไม่สิ้นสุด (ไม่ได้รักเดียวใจเดียว) และมักทำอะไรเสี่ยงๆ
โดยมองเป็นความท้าทาย มากกว่าที่จะกังวลในแง่ความปลอดภัยและละเอียดอ่อน
(ซึ่งเป็นอุปนิสัยของเพศแม่ ถูกมั้ย?)
พอสังคมได้เผชิญกับอะไรที่น่าเบื่อหน่าย ปัญหาคาราคาซังนานๆ มันก็ anti ตามสเต็ป
ผู้หญิงรุ่นแม่ๆเราพอมีลูก ก็จะมีการปลูกฝังค่านิยมอะไรที่ “ทำให้ลูกตัวเองแตกต่างจากผู้ชายแบบเก่าๆ”
อย่าว่าแต่รุ่นแม่ๆเลย เด็กเกิดมา ดูทีวี เล่นเน็ต เค้าก็จะได้เห็นสิ่งที่สังคมพยายามยัดเยียด
1. ผ่านหนังรักโรแมนติก ผู้ชายเจอผู้หญิง จากรู้จักกัน ก็สนิทกัน เริ่มรักกัน พอรักกันก็รักเดียวใจเดียว
2. ผ่านยุคอินเตอร์เน็ตที่ทำให้ผู้ชายรุ่นใหม่ซึมซับความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิงมาซะเยอะ
ผู้หญิงชอบอะไร? ผู้หญิงไม่ชอบอะไร? ผู้หญิงเสียใจเพราะผู้ชายเฮงซวยที่มีนิสัยยังไง?
สิ่งเหล่านี้บ่มเพาะ “ผู้ชายแสนดี” ให้เกิดขึ้นมาบนโลก ผู้ชายแสนดีก็ มีอาการประมาณนี้
(ให้นึกถึงหน้าเด่นเข้าไว้นะ ตอนอ่าน)
1. จีบสาวไม่เป็น พอบทจะกล้าจีบขึ้นมา ก็จีบด้วยคำพูดที่ฟังแล้วพังแน่นอน
2. จีบสาวโดยใช้วิธีเข้าไปใกล้ๆเนียนๆใช้ระยะเวลายาวๆเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นพ่อ
แล้วก็เป็นไปยาวๆเลย (Permanent Friendzoned)
3. เป็นที่ปรึกษา เก่งดี ประเสริฐกว่าแฟนคนปัจจุบันของเธอ (โดยมากคือหวังเสียบ เมื่อเขาเลิกกัน)
4. ชอบวางมาด วางท่า พูดน้อย ปากไม่ตรงกับใจ ใจนี่คิดไปนู่น แต่ปากพูดไปอีกอย่าง
(และมักจะพูดจาแข็งๆห้วนๆ)
5. ไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัว แต่พออยากอัพเกรดความสัมพันธ์ทางกาย ดันแสดงออกมาดูรวมๆแล้วหื่น
6. รักแล้วแอบ (แอบมอง แอบชอบ)
7. ทุ่มเทอย่างสุดหัวใจ ปักหลักกับสาวคนนี้ที่หมายปอง
8. รักแท้ คือการทำอะไรดีๆให้ แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม (ปิดทองหลังพระ)
9. เชื่อว่าความรักจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องจีบ (แบบนิยายรักที่อ่านมานั่นแหล่ะ)
10. เซ็กซ์คือความเห็นแก่ตัว ต้องรักษาผู้หญิงไว้หลังแต่งงาน
11. หรือแม้แต่คนที่มีแฟนแล้ว ก็มีได้ไม่นาน ต้องเลิกกันไว เพราะผู้หญิงมองว่าทำตัวเหมือนเพื่อน
เรื่องมันยุ่งยากตรงที่ว่า ผู้ชายดังกล่าว จะมีทัศนคติที่มองตัวเองเป็นบวกเกินความจริง
คือคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็โทษผู้ชายคนอื่นที่จีบสาวติด ว่าจีบได้แล้วก็ดูแลรักษาไม่ดี
แล้วก็โทษผู้หญิงอีกว่าไม่เห็นคุณค่าของเขา
หนักเข้าก็โทษตัวเองว่าต้อยต่ำ
ยกยอให้ผู้หญิงสูงส่ง ...ประมาณนี้
เขามักคิดว่า “คิดว่าตัวเองทำดี” แต่จริงๆคือ...
“คิดแทนผู้หญิง และคล้อยตามผู้หญิง จนหมดเสน่ห์” มากกว่า
มันก็เลยเป็นเหตุผล ที่การกระทำของผู้ชายแสนดี ที่อุตส่าห์วางแผนเอาไว้ดิบดี
กลับดูเป็นการกระทำที่น่ากลัวมากกว่าที่จะน่ารักซะงั้น ในสายตาผู้หญิงทั่วไป