สวัสดีครับ
  ผมเป็นผู้ชายวัยพึ่งเริ่มทำงาน ผมทำงานอยู่ต่างประเทศ กลับเมืองไทยปีละครั้งสองครั้ง และผมก็ชอบผู้ชายครับ ผมเคยอกหักครั้งนึงครั้งแรกๆ ทำให้ผมไม่เอาใครเข้ามาในชีวิตง่ายๆ ผมปิดกั้น
    เรื่องของผมคือว่า ตอนนั้นผมกลับเมืองไทยไปพักร้อน ตุลาคม 2014 ผมได้เจอคนๆนึงซึ่งเค้ามาแอดเฟสบุ๊คผมเพราะเห็นผมโดนแท็กในเฟสของเพื่อนผม. เค้า(อายุน้อยกว่าผมสองปี)บอกว่าเค้าอยากทำความรู้จักกับผม 
         เราคุยกันได้ไม่กี่วันผมก็เลยลองนัดเค้าเจอที่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่งแล้วก็กะว่าจะดูหนัง ทานไอศกรีมเสร็จเค้าก็ชวนผมไปห้องเค้า ผมก็ลองไปดู. เรานั่งคุยในห้องตามประสาคนที่รู้จักกันใหม่ๆ เค้าเริ่มเข้ามาไกล้ผม. ผมไหวตัวทันว่าจะเกิดอะไรขึ้น. (เค้าคงคิดว่าจะมีsex) แต่ผมไม่เล่นด้วย ผมจึงบอกขอโทษทีผมยังไม่พร้อม. เค้าบอกไม่เป็นไรเค้าไม่ได้บังคับ ผมดูเชิงและรักษาระยะก่อน
       จากวันนั้นผมก็ทำเหมือนปกติ นัดเจอบ้าง ชวนทานข้าวดูหนัง เราคุยกันถูกคอหลายเรื่องและชอบหลายๆอย่างคล้ายกัน คุยไปคุยมาผมจึงรู้ว่าเค้าเป็นคนนึงที่โปรไฟล์ค่อนข้างดีคนนึง เค้าเรียนเก่ง เคยเป็นนักเรียนทุนไปต่างประเทศ หน้าตาเค้าก็น่ารักด้วยครับ เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีเหตุผล. ผมคุยกับเค้าเหมือนเพื่อนทั่วๆไป. แล้วผมก็บินกลับมาทำงานต่อ 
         ขณะที่ผมอยู่ต่างประเทศผมก็คุยแชตทางเฟส ทางไลน์กับผม ผมสงสัยหรือมีอะไรก็ปรึกษาเค้าได้ เค้าก็ปรึกษาผมเหมือนกัน. วันนึงเค้าก็เริ่มหยอดมุกหวานๆมาหาผม ผมก็หยอดกลับไปเหมือนกัน. เวลาผ่านไปหลายเดือนเรายังคงคุยตามปกติ และแล้วผมก็จับใจความได้ว่าเค้าชอบผม ผมก็เริ่มๆชอบเค้าเหมือนกัน 
      Valentines 2015 ผมลองส่งช๊อคโกแลตไปหาเค้าที่เมืองไทย เค้าsurprise มาก ถ่ายรูปอวดผมว่าเค้าได้รับแล้วนะ แล้วเค้าก็ชอบมากเลย ผมดีใจและรู้สึกดีมากขึ้น
      สิงหาคม2015 ผมกลับไทยอีก ครั้งนี้ผมไม่ได้บอกเค้าว่าผมจะกลับไป. ผมไปsurprise เค้าหน้าห้องที่เค้าอยู่ เค้าตกใจสุดๆ โผเข้ามากอดผม เค้าบอกเค้าคิดถึงผมมาก ผมก็คิดถึงเค้าเหมือนกัน รอบนี้เราออกไปเดทกันบ่อย ทำตัวเหมือนเป็นแฟนกัน เค้าเดินควงผม ป้อนขนม หอมแก้ม ซบไหล่ผมไม่แคร์สายตาคนมอง. ผมเขินมาก พักหลังๆผมokมากๆ ผมชอบจังความรู้สึกแบบนี้ คำถามเกิดขึ้นในใจผมว่าเราเป็นอะไรกัน. จนถึงวันที่ผมต้องบินกลับมาทำงานอีกครั้ง
          เวลาผ่านไปเรายังคงคุยดีๆตลอด. ผมไปไหนหรือเค้าอยู่ไหนทำอะไรก็จะบอกหรือไม่ก็ถ่ายรูปมาให้ดู. เพื่อนฝั่งเค้าและฝั่งผมเริ่มรู้ว่าเราคุยๆกันอยู่ เราได้รู้จักกันมากขึ้นจนผมรู้ว่าเค้าชอบอ่ะไร เค้าก็รู้ผมชอบอะไร ผมยังคงส่งของฝากเล็กๆ ให้เค้ารวมถึงของขวัญวันเกิดให้เค้าด้วย. เค้าเรียนจบแล้วเค้าก็ย้ายที่อยู่เพื่อทำงาน (ห่างจากบ้านผมที่ไทย20-30กม)
              ผมแอบมีความคิดว่าถ้าเค้าคบกันเป็นแฟนผมอยากให้เค้ามาเที่ยว/มาอยู่ที่นี่กับผม ผมเก็บรูปภาพของเรา ตั๋วหนังทุกใบ สิ่งของที่เราเคยให้กันและกัน เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามีปฏิสัมพันธ์กัน(ประเทศที่ผมอยู่ การขอวีซ่านำเพื่อนหรือคนรักมาเที่ยวจะต้องมีหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ที่ชัดเจน) ผมวาดฝันกับเค้าทั้งๆที่เรายังไม่เรียกสถานะใดได้ ผมตั้งใจทำงานเพื่อสร้างเงินstatement ให้แน่น ความคิดผม ความรักกับระยะทางมันยากนะ. แต่ตอนนี้ถ้าเป็นเค้าผมก็จะลองเสี่ยงดู ผมลดกำแพงตัวเองลง 
           ล่าสุดผมกลับมาไทย กรกฎาคม2016 ผมบอกเค้าก่อนว่าผมจะกลับ เค้าดีใจมาก เค้าบอกเค้ารอผมมาตลอด ผมลองให้เค้ามาบ้านผมดู (ขี่รถมอเตอร์ไซค์เกือบ30กม)ให้ครอบครัวผมเริ่มเห็นหน้าตาเค้าบ้าง(ครอบครัวผมไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์เลยแค่คิดว่าเพื่อนคนนึง) เค้ามาหาผมทุกวันที่เค้าหยุดงาน เราก็กินข้าวดูหนังเหมือนๆที่เคยทำ ผมมีความสุขจัง. (ผมเริ่มชอบเค้าแล้วหรอ?) ผมเขินนะแต่ผมไม่ใช่คนแสดงออก อยากมีโมเมนต์มุ้งมิ้งๆ ผมอยากถามเค้าเหล่อเกินว่าความสัมพันธ์ที่เราเป็นนั้นคืออะไร แต่ผมก็เก็บคำถามนั้นไว้ 
      ช่วงนึงวันหยุดยาว(อาสาฬหบูชา) บริษัทที่เค้าทำงานปิด5วันผมรวบรวมความกล้าแล้วถามเค้าว่าลองมาอยู่บ้านผมไหม. เค้าก็ตกลง ที่บ้านก็ต้อนรับเค้าดี. ผมมีความสุขที่จะได้เห็นหน้าเค้าทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนนอนหลับไปด้วยกัน 
            เย็นวันหนึ่งผมตัดสินใจจะถามเค้าเรื่องมี่ผมสงสัย (ผมขอแทนตัวผมว่า b และเค้าว่า m)
B: เราขอถามอะไรหน่อยนะ 
M: ว่าไง
B: ทำไม m ถึงชอบเราอ่ะ
M: เราชอบคุยกับb. อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจดี
B: แล้วm จริงจังหรือแค่คุยเล่นกันเราไปวันๆอ่ะ 
M: จริงจังสิถ้าไม่จริงจังเราคงไม่มาหาอยู่ด้วยหรอก แล้วbหล่ะยังไงกับเรา
B: เราไม่รู้ว่าเราชอบmเพราะอ่ะไรนะ มันไม่มีเหตุผลชอบที่mเป็นm และเราก็จริงจังเหมือนกัน
ผมดีใจมากละตอนนี้ยิ้มไม่หุบเลย รู้สึกดีมากๆ 
           เราออกไปตะลอนเที่ยวกันทุกวัน ทำกิจกรรมต่างๆ กินอาหารทึ่เราชอบ ผมเริ่มพาเค้าไปเจอหน้าเพื่อนผม ผมก็ได้เจอหน้าเพื่อนๆเค้าเหมือนกัน. ผมเริ่มมีความหวังและมั่นใจกับเค้ามากขึ้น. ผมแค่ชอบเค้าหรือผมกำลังจะรักเค้า?? เค้าอัธยาสัยดี เข้ากับเพื่อนผม ครอบครัวผม เล่นกับสัตว์เลี้ยง. คุยกับแม่ผม ช่วยแม่ล้างจาน ผมมีความสุขจังเวลาเค้าอยู่ไกล้ๆ
เย็นของอีกวันหนึ่งผมเริ่มบทสนทนาที่ผมสงสัยมานาน. 23 กรกฎาคม 2016
B: เราคุยกันมาก็จะสองปีแล้วเนาะ. เราอยากรู้ว่าที่ผ่านมาเราเป็นอะไรกันหรอ?
M: แล้วbอยากให้เราเป็นอะไรในชีวิตbหล่ะ
B: คุยกันนานละอ่ะ จะลองเป็นแฟนกันได้รึยัง?
M: อ้าว นึกว่าเป็นแฟนกันตั้งนานแล้วซะอีก. 55 ที่ผ่านมาก็เหมือนเป็นแฟนกันป่ะ
B: สรุป เป็นแฟนกันนะ 
M: ได้สิ โอเคเป็นแฟนกัน
ผมดีใจสุดๆในที่สุดเราก็มีสถานะชัดเจนขึ้นซะที
            คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่เค้าอยู่บ้านผมผมขอให้เค้าเล่าอ่ะไรก็ได้ให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับเค้า เค้าก็ล่าเรื่องจิปาถะทั่วไป  ตั้งแต่สมัยเรียนสรุปได้ว่าเค้าไม่เคยมีแฟนมาก่อน ผมฟังเค้าเล่าหลายเรื่องฟังไปมองหน้าไปมีความสุขจัง. เราแพลนว่าจะไปเที่ยวแล้วทำอะไรหลายๆอย่างด้วยกัน.  ผมนอนกอดเค้า จูบเค้าแล้วต่างคนก็ต่างหลับ(เรายังไม่มีอะไรกันนะครับ). วันรุ่งขึ้นเค้าก็กลับไปเตรียมตัวทำงานต่อไป
         เวลาผ่านไปผมเริ่มจริงจังกับเค้ามากขึ้น ผมมีความคิดที่จะบอกครอบครัวว่าผมเป็นอะไรและmเป็นอะไรกับผม (ความรักมีพลังจริงๆครับขณะนั้นทำให้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว) แต่ผมก็ยังไม่กล้าบอกเพราะกลัวเค้ารับไม่ได้
       ถึงเวลาที่ผมต้องกลับมาทำงานอีกแล้ว ผมโทรหาเค้าครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง. ผมไม่อยากกลับเลย เครื่องบินทะยานขึ้นผมก็ใจหายเรื่อยๆ (คิด :เราไม่น่าหาเรื่องผูกใจไว้กับใครเลย ผมรู้สึกว่าเค้าเป็นคนพิเศษของผมไปแล้ว) ผมโหยหาเค้า. แล้วอยู่ๆแม่ก็พูดขื่อเค้าขึ้นมา ผมนิ่งไปสักพักน้ำตาไหลออกมาเลยครับ. ผมหันไปทางอื่น + ไฟเครื่องมืด เพื่อให้แม่มองไม่เห็น ผมคิดถึงแต่หน้าเค้า. และแล้วผมก็มาถึงบ้านต่างประเทศที่อยู่ เราเฟสไทม์กันบ่อยๆ อาจพิเศษขึ้นเพราะผมพูดได้ว่าผมคุยกับ"แฟน"อยู่ ทุกอย่างok. เค้าบอกผมคุยกับเค้าได้ทุกเรื่องเค้าอยู่ตรงนี้เพื่อฟังผม
              วันที่29 กรกฎาคม 2016 อยู่ๆเค้าหายไปครับ แชตไปเค้าไม่ตอบ โทรไปเค้าไม่รับ เฟสไทม์ก็ไม่ได้ ผมส่งข้อความไปว่า "อย่าหายไปแบบนี้สิ เราไม่สบายใจ เราเป็นห่วงไม่สบายรึเปล่า?"  คำว่ามีสถานะชัดเจนทำให้ผมคิดถึงทรมานทุรนทุรายเป็นห่วงปนกันไปหมด ผมยอมรับว่าเครียดสุดๆกินไม่ได้นอนไม่หลับรู้เลยว่าเป็นไง
            วันที่31กรกฎาคม2016 เค้ายังไม่ตอบกลับมาผมคิดบวกว่าเค้าอาจงานยุ่งมากๆ วันนั้นผมไปเที่ยวต่างเมืองกับครอบครัวครับ. เค้าส่งข้อความกลับมาครับซึ่งผมนิ่งไปเลย
M: b เราคิดว่าเราไม่อยากมีแฟนอ่ะ
B: ทำไมอ่ะ รู้สึกอึดอัดหรือว่าอะไร
M: ใช่ เราว่าเราไม่เหมาะกับการมีความสัมพันธ์กับใคร เราไม่ชิน
B: แล้วที่mบอกว่าชอบเรา จริงใจกับเราอ่ะ แล้วเป็นแฟนหล่ะ?
M: ขอโทษ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนอ่ะ เราอยากมีชีวิตเหมือนที่เราเคยเป็น ไม่ต้องมาแคร์มาเป็นห่วงใคร มีอิสระ 
B: เข้าใจแล้ว แล้วเราควรจะทำยังไงต่อไปอ่ะ. เรารู้สึกดีกับmมากๆไปแล้ว
M: ลองเปิดใจให้สิ่งอื่นคนอื่นดูสิ bควรเจอคนที่ดีกว่าเรา คนที่อยากมีความสัมพันธ์จริงๆ
ผมอึ้งมาก ชาไปหมด มันหักมุมมากเกินไป สับสน งง สงสัย คำถามผุดขึ้นมาเต็มหัว ผมไม่ดี? ผมทำอะไรผิด? สรุปเราเลิกกันแล้วหรอ? ผมไม่ไหวแล้วผมอยากร้องไห้ แต่ผมทำไม่ได้ผมนั่งอยู่ในรถกับครอบครัว มันจะระเบิดผมกลั้นความรู้สึกหลายชั่วโมง ผมคิดว่าผมต้องคุยกับใครแล้วหล่ะผมบ้าแน่. ผมส่งข้อความหาแม่ "คืนนี้ขอคุยด้วยหน่อยนะแม่" ทั้งๆที่อยู่ในรถคันเดียวกันผมพูดไม่ออกเลย. แม่หันมาทำหน้าสงสัย 
               ผมกล้บถึงบ้านประมาณห้าทุ่ม ผมตัดสินใจจะคุยเปิดอกทุกอย่างให้แม่ฟังผมไม่อยากเก็บไว้อีกแล้ว.ความลับมันเยอะเกินไปแล้ว.  ผมเข้าไปกอดแม่ร้องไห้โฮจากที่อัดอั้นมานาน แม่ตกใจว่าผมเป็นอะไร. ผมไม่กล้าบอกแม่ตรงๆ. จนแม่ถามว่าอกหักมาหรอ ผมก็ได้แต่พยักหน้า แม่ถามว่าใครแล้วแม่ก็ไล่ชื่อเพื่อนผู้หญิงของผมทั้งหมด. และแล้วแม่ก็ถามว่าใช่คนผู้ชายที่พามาบ้านใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่. ผมร้องไห้ฟูมฟายหัวหนุนตักแม่แล้วก็สะอึ้น. ผมเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง. แม่บอกว่าทำไมไม่บอกแม่ตั้งแต่แรก"แม่รับได้เสมอไม่ว่าลูกเป็นยังไง ลูกแม่เป็นคนดี. ลูกแม่ไม่ได้ขี้เหร่ มีการมีงานทำ". ผมร้องไห้หนักอีกครั้ง แต่ก็โล่งที่ไม่ต้องมีความลับอีกแล้ว. แม่ลูบหัวผมตลอด ผมรู้อยู่แล้วว่าคนที่จะไม่ไปจากผมและรักผมมากก็คือแม่ ผมยิ่งรักแม่ขึ้นไปอีก. แม่ถามว่าผมจะเอายังไงต่อไป. ผมบอกผมไม่รู้ แม่บอกลองรอดูว่าเค้าจะทักมาไหมถ้าคนมีใจยังไงก็ต้องทักมา. ผมเชื่อแม่. ผมรอ
     1อาทิตย์ผ่านไป 2,3 หนึ่งเดือนเค้าไม่ทักมาเลยผมคิดถึงเค้าเหลือเกิน ช่วงนั้นผมอยู่กับเพื่อนๆที่คอยให้กำลังใจตลอด ผมถามแม่ว่าผมจะทำไงดีความรู้สึกมันค้างคามันอยากรู้เหตุผลมากกว่านี้. แม่ก็แนะนำว่าให้ถามเค้าไปเลย แต่งลูกต้องยอมรับคำตอบนั้นด้วยนะไม่ว่ามันจะโหดร้ายแค่ไหน. ผมไม่กล้าถามเลยครับ ผมไม่อยากรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เลือกไม่รับรู้ดีกว่า. คิดถึวก็แค่ส่องเฟสเค้า. ผมเลยfadeตัวออกมาและพยายามทำใจให้ชินเหมือนแต่ก่อนที่ไม่มีเค้า ยอมออกมาทั้งๆที่ยังค้างคาใจ 
          สรุปผมได้เป็นแฟนกัน(ใช้คำว่าแฟน)กับเค้าแค่7วัน มันจะเป็นความรักหรือป่าวผมไม่แน่ใจ แต่สำหรับผมคงเรียกว่ารักได้ ความรู้สึกที่ผมให้เค้าไปนั้นเป็นของจริงผมจริงใจ แต่ผมย้อนคิดกลับมาแล้วความรู้สึกที่เค้ามีให้ผมหล่ะ มันเคยมีอยู่จริงไหมหรือมันแค่ปลอมมาตลอด มันช่างเหมือนจริงจนผมไม่เผื่อใจ. เขาวางยาในใจผมมาเกือบสองปี ทำไมใจร้ายจังแต่ผมควรดีใจไหมที่เค้าหักความสัมพันธ์ตรงๆไปเลยแบบนี้? 
          หลายๆปัจจัยทำให้ผมท้อถอยห่าง. ทั้งระยะทาง ระยะเวลา และความรู้สึก ความรักแบบของพวกผมมันไม่มีอะไรจะผูกมัดได้เลยจริงๆ. ใจแลกใจเท่านั้น มีความมั่นคงหนักแน่นเป็นหลัก
           คอนนี้ผมพึ่งได้งานใหม่ทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ไม่หมกมุ่นกับเรื่องเค้าปล่อยให้มันเป็นไปเผื่ออะไรๆจะดีขึ้น. เวลาอาจเยียวยาความรู้สึกเหมือนที่ใครๆว่า
          ผมยังคงมีความคิดที่จะรอเค้าอยู่เผื่อวันนึงเค้าจะพร้อมใช้คำว่าแฟนกับผม (หรือไม่ก็คนอื่น)																															
						 
												
						
					
ช่วยอ่านหน่อยนะครับ ช-ช ความรักแบบหักมุม ผมไม่ทันเตรียมใจ ขอความคิดเห็นหน่อยครับ อะไรคือเหตุผล? ผมควรทำอย่างไร?
ผมเป็นผู้ชายวัยพึ่งเริ่มทำงาน ผมทำงานอยู่ต่างประเทศ กลับเมืองไทยปีละครั้งสองครั้ง และผมก็ชอบผู้ชายครับ ผมเคยอกหักครั้งนึงครั้งแรกๆ ทำให้ผมไม่เอาใครเข้ามาในชีวิตง่ายๆ ผมปิดกั้น
เรื่องของผมคือว่า ตอนนั้นผมกลับเมืองไทยไปพักร้อน ตุลาคม 2014 ผมได้เจอคนๆนึงซึ่งเค้ามาแอดเฟสบุ๊คผมเพราะเห็นผมโดนแท็กในเฟสของเพื่อนผม. เค้า(อายุน้อยกว่าผมสองปี)บอกว่าเค้าอยากทำความรู้จักกับผม
เราคุยกันได้ไม่กี่วันผมก็เลยลองนัดเค้าเจอที่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่งแล้วก็กะว่าจะดูหนัง ทานไอศกรีมเสร็จเค้าก็ชวนผมไปห้องเค้า ผมก็ลองไปดู. เรานั่งคุยในห้องตามประสาคนที่รู้จักกันใหม่ๆ เค้าเริ่มเข้ามาไกล้ผม. ผมไหวตัวทันว่าจะเกิดอะไรขึ้น. (เค้าคงคิดว่าจะมีsex) แต่ผมไม่เล่นด้วย ผมจึงบอกขอโทษทีผมยังไม่พร้อม. เค้าบอกไม่เป็นไรเค้าไม่ได้บังคับ ผมดูเชิงและรักษาระยะก่อน
จากวันนั้นผมก็ทำเหมือนปกติ นัดเจอบ้าง ชวนทานข้าวดูหนัง เราคุยกันถูกคอหลายเรื่องและชอบหลายๆอย่างคล้ายกัน คุยไปคุยมาผมจึงรู้ว่าเค้าเป็นคนนึงที่โปรไฟล์ค่อนข้างดีคนนึง เค้าเรียนเก่ง เคยเป็นนักเรียนทุนไปต่างประเทศ หน้าตาเค้าก็น่ารักด้วยครับ เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีเหตุผล. ผมคุยกับเค้าเหมือนเพื่อนทั่วๆไป. แล้วผมก็บินกลับมาทำงานต่อ
ขณะที่ผมอยู่ต่างประเทศผมก็คุยแชตทางเฟส ทางไลน์กับผม ผมสงสัยหรือมีอะไรก็ปรึกษาเค้าได้ เค้าก็ปรึกษาผมเหมือนกัน. วันนึงเค้าก็เริ่มหยอดมุกหวานๆมาหาผม ผมก็หยอดกลับไปเหมือนกัน. เวลาผ่านไปหลายเดือนเรายังคงคุยตามปกติ และแล้วผมก็จับใจความได้ว่าเค้าชอบผม ผมก็เริ่มๆชอบเค้าเหมือนกัน
Valentines 2015 ผมลองส่งช๊อคโกแลตไปหาเค้าที่เมืองไทย เค้าsurprise มาก ถ่ายรูปอวดผมว่าเค้าได้รับแล้วนะ แล้วเค้าก็ชอบมากเลย ผมดีใจและรู้สึกดีมากขึ้น
สิงหาคม2015 ผมกลับไทยอีก ครั้งนี้ผมไม่ได้บอกเค้าว่าผมจะกลับไป. ผมไปsurprise เค้าหน้าห้องที่เค้าอยู่ เค้าตกใจสุดๆ โผเข้ามากอดผม เค้าบอกเค้าคิดถึงผมมาก ผมก็คิดถึงเค้าเหมือนกัน รอบนี้เราออกไปเดทกันบ่อย ทำตัวเหมือนเป็นแฟนกัน เค้าเดินควงผม ป้อนขนม หอมแก้ม ซบไหล่ผมไม่แคร์สายตาคนมอง. ผมเขินมาก พักหลังๆผมokมากๆ ผมชอบจังความรู้สึกแบบนี้ คำถามเกิดขึ้นในใจผมว่าเราเป็นอะไรกัน. จนถึงวันที่ผมต้องบินกลับมาทำงานอีกครั้ง
เวลาผ่านไปเรายังคงคุยดีๆตลอด. ผมไปไหนหรือเค้าอยู่ไหนทำอะไรก็จะบอกหรือไม่ก็ถ่ายรูปมาให้ดู. เพื่อนฝั่งเค้าและฝั่งผมเริ่มรู้ว่าเราคุยๆกันอยู่ เราได้รู้จักกันมากขึ้นจนผมรู้ว่าเค้าชอบอ่ะไร เค้าก็รู้ผมชอบอะไร ผมยังคงส่งของฝากเล็กๆ ให้เค้ารวมถึงของขวัญวันเกิดให้เค้าด้วย. เค้าเรียนจบแล้วเค้าก็ย้ายที่อยู่เพื่อทำงาน (ห่างจากบ้านผมที่ไทย20-30กม)
ผมแอบมีความคิดว่าถ้าเค้าคบกันเป็นแฟนผมอยากให้เค้ามาเที่ยว/มาอยู่ที่นี่กับผม ผมเก็บรูปภาพของเรา ตั๋วหนังทุกใบ สิ่งของที่เราเคยให้กันและกัน เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามีปฏิสัมพันธ์กัน(ประเทศที่ผมอยู่ การขอวีซ่านำเพื่อนหรือคนรักมาเที่ยวจะต้องมีหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ที่ชัดเจน) ผมวาดฝันกับเค้าทั้งๆที่เรายังไม่เรียกสถานะใดได้ ผมตั้งใจทำงานเพื่อสร้างเงินstatement ให้แน่น ความคิดผม ความรักกับระยะทางมันยากนะ. แต่ตอนนี้ถ้าเป็นเค้าผมก็จะลองเสี่ยงดู ผมลดกำแพงตัวเองลง
ล่าสุดผมกลับมาไทย กรกฎาคม2016 ผมบอกเค้าก่อนว่าผมจะกลับ เค้าดีใจมาก เค้าบอกเค้ารอผมมาตลอด ผมลองให้เค้ามาบ้านผมดู (ขี่รถมอเตอร์ไซค์เกือบ30กม)ให้ครอบครัวผมเริ่มเห็นหน้าตาเค้าบ้าง(ครอบครัวผมไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์เลยแค่คิดว่าเพื่อนคนนึง) เค้ามาหาผมทุกวันที่เค้าหยุดงาน เราก็กินข้าวดูหนังเหมือนๆที่เคยทำ ผมมีความสุขจัง. (ผมเริ่มชอบเค้าแล้วหรอ?) ผมเขินนะแต่ผมไม่ใช่คนแสดงออก อยากมีโมเมนต์มุ้งมิ้งๆ ผมอยากถามเค้าเหล่อเกินว่าความสัมพันธ์ที่เราเป็นนั้นคืออะไร แต่ผมก็เก็บคำถามนั้นไว้
ช่วงนึงวันหยุดยาว(อาสาฬหบูชา) บริษัทที่เค้าทำงานปิด5วันผมรวบรวมความกล้าแล้วถามเค้าว่าลองมาอยู่บ้านผมไหม. เค้าก็ตกลง ที่บ้านก็ต้อนรับเค้าดี. ผมมีความสุขที่จะได้เห็นหน้าเค้าทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนนอนหลับไปด้วยกัน
เย็นวันหนึ่งผมตัดสินใจจะถามเค้าเรื่องมี่ผมสงสัย (ผมขอแทนตัวผมว่า b และเค้าว่า m)
B: เราขอถามอะไรหน่อยนะ
M: ว่าไง
B: ทำไม m ถึงชอบเราอ่ะ
M: เราชอบคุยกับb. อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจดี
B: แล้วm จริงจังหรือแค่คุยเล่นกันเราไปวันๆอ่ะ
M: จริงจังสิถ้าไม่จริงจังเราคงไม่มาหาอยู่ด้วยหรอก แล้วbหล่ะยังไงกับเรา
B: เราไม่รู้ว่าเราชอบmเพราะอ่ะไรนะ มันไม่มีเหตุผลชอบที่mเป็นm และเราก็จริงจังเหมือนกัน
ผมดีใจมากละตอนนี้ยิ้มไม่หุบเลย รู้สึกดีมากๆ
เราออกไปตะลอนเที่ยวกันทุกวัน ทำกิจกรรมต่างๆ กินอาหารทึ่เราชอบ ผมเริ่มพาเค้าไปเจอหน้าเพื่อนผม ผมก็ได้เจอหน้าเพื่อนๆเค้าเหมือนกัน. ผมเริ่มมีความหวังและมั่นใจกับเค้ามากขึ้น. ผมแค่ชอบเค้าหรือผมกำลังจะรักเค้า?? เค้าอัธยาสัยดี เข้ากับเพื่อนผม ครอบครัวผม เล่นกับสัตว์เลี้ยง. คุยกับแม่ผม ช่วยแม่ล้างจาน ผมมีความสุขจังเวลาเค้าอยู่ไกล้ๆ
เย็นของอีกวันหนึ่งผมเริ่มบทสนทนาที่ผมสงสัยมานาน. 23 กรกฎาคม 2016
B: เราคุยกันมาก็จะสองปีแล้วเนาะ. เราอยากรู้ว่าที่ผ่านมาเราเป็นอะไรกันหรอ?
M: แล้วbอยากให้เราเป็นอะไรในชีวิตbหล่ะ
B: คุยกันนานละอ่ะ จะลองเป็นแฟนกันได้รึยัง?
M: อ้าว นึกว่าเป็นแฟนกันตั้งนานแล้วซะอีก. 55 ที่ผ่านมาก็เหมือนเป็นแฟนกันป่ะ
B: สรุป เป็นแฟนกันนะ
M: ได้สิ โอเคเป็นแฟนกัน
ผมดีใจสุดๆในที่สุดเราก็มีสถานะชัดเจนขึ้นซะที
คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่เค้าอยู่บ้านผมผมขอให้เค้าเล่าอ่ะไรก็ได้ให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับเค้า เค้าก็ล่าเรื่องจิปาถะทั่วไป ตั้งแต่สมัยเรียนสรุปได้ว่าเค้าไม่เคยมีแฟนมาก่อน ผมฟังเค้าเล่าหลายเรื่องฟังไปมองหน้าไปมีความสุขจัง. เราแพลนว่าจะไปเที่ยวแล้วทำอะไรหลายๆอย่างด้วยกัน. ผมนอนกอดเค้า จูบเค้าแล้วต่างคนก็ต่างหลับ(เรายังไม่มีอะไรกันนะครับ). วันรุ่งขึ้นเค้าก็กลับไปเตรียมตัวทำงานต่อไป
เวลาผ่านไปผมเริ่มจริงจังกับเค้ามากขึ้น ผมมีความคิดที่จะบอกครอบครัวว่าผมเป็นอะไรและmเป็นอะไรกับผม (ความรักมีพลังจริงๆครับขณะนั้นทำให้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว) แต่ผมก็ยังไม่กล้าบอกเพราะกลัวเค้ารับไม่ได้
ถึงเวลาที่ผมต้องกลับมาทำงานอีกแล้ว ผมโทรหาเค้าครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง. ผมไม่อยากกลับเลย เครื่องบินทะยานขึ้นผมก็ใจหายเรื่อยๆ (คิด :เราไม่น่าหาเรื่องผูกใจไว้กับใครเลย ผมรู้สึกว่าเค้าเป็นคนพิเศษของผมไปแล้ว) ผมโหยหาเค้า. แล้วอยู่ๆแม่ก็พูดขื่อเค้าขึ้นมา ผมนิ่งไปสักพักน้ำตาไหลออกมาเลยครับ. ผมหันไปทางอื่น + ไฟเครื่องมืด เพื่อให้แม่มองไม่เห็น ผมคิดถึงแต่หน้าเค้า. และแล้วผมก็มาถึงบ้านต่างประเทศที่อยู่ เราเฟสไทม์กันบ่อยๆ อาจพิเศษขึ้นเพราะผมพูดได้ว่าผมคุยกับ"แฟน"อยู่ ทุกอย่างok. เค้าบอกผมคุยกับเค้าได้ทุกเรื่องเค้าอยู่ตรงนี้เพื่อฟังผม
วันที่29 กรกฎาคม 2016 อยู่ๆเค้าหายไปครับ แชตไปเค้าไม่ตอบ โทรไปเค้าไม่รับ เฟสไทม์ก็ไม่ได้ ผมส่งข้อความไปว่า "อย่าหายไปแบบนี้สิ เราไม่สบายใจ เราเป็นห่วงไม่สบายรึเปล่า?" คำว่ามีสถานะชัดเจนทำให้ผมคิดถึงทรมานทุรนทุรายเป็นห่วงปนกันไปหมด ผมยอมรับว่าเครียดสุดๆกินไม่ได้นอนไม่หลับรู้เลยว่าเป็นไง
วันที่31กรกฎาคม2016 เค้ายังไม่ตอบกลับมาผมคิดบวกว่าเค้าอาจงานยุ่งมากๆ วันนั้นผมไปเที่ยวต่างเมืองกับครอบครัวครับ. เค้าส่งข้อความกลับมาครับซึ่งผมนิ่งไปเลย
M: b เราคิดว่าเราไม่อยากมีแฟนอ่ะ
B: ทำไมอ่ะ รู้สึกอึดอัดหรือว่าอะไร
M: ใช่ เราว่าเราไม่เหมาะกับการมีความสัมพันธ์กับใคร เราไม่ชิน
B: แล้วที่mบอกว่าชอบเรา จริงใจกับเราอ่ะ แล้วเป็นแฟนหล่ะ?
M: ขอโทษ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนอ่ะ เราอยากมีชีวิตเหมือนที่เราเคยเป็น ไม่ต้องมาแคร์มาเป็นห่วงใคร มีอิสระ
B: เข้าใจแล้ว แล้วเราควรจะทำยังไงต่อไปอ่ะ. เรารู้สึกดีกับmมากๆไปแล้ว
M: ลองเปิดใจให้สิ่งอื่นคนอื่นดูสิ bควรเจอคนที่ดีกว่าเรา คนที่อยากมีความสัมพันธ์จริงๆ
ผมอึ้งมาก ชาไปหมด มันหักมุมมากเกินไป สับสน งง สงสัย คำถามผุดขึ้นมาเต็มหัว ผมไม่ดี? ผมทำอะไรผิด? สรุปเราเลิกกันแล้วหรอ? ผมไม่ไหวแล้วผมอยากร้องไห้ แต่ผมทำไม่ได้ผมนั่งอยู่ในรถกับครอบครัว มันจะระเบิดผมกลั้นความรู้สึกหลายชั่วโมง ผมคิดว่าผมต้องคุยกับใครแล้วหล่ะผมบ้าแน่. ผมส่งข้อความหาแม่ "คืนนี้ขอคุยด้วยหน่อยนะแม่" ทั้งๆที่อยู่ในรถคันเดียวกันผมพูดไม่ออกเลย. แม่หันมาทำหน้าสงสัย
ผมกล้บถึงบ้านประมาณห้าทุ่ม ผมตัดสินใจจะคุยเปิดอกทุกอย่างให้แม่ฟังผมไม่อยากเก็บไว้อีกแล้ว.ความลับมันเยอะเกินไปแล้ว. ผมเข้าไปกอดแม่ร้องไห้โฮจากที่อัดอั้นมานาน แม่ตกใจว่าผมเป็นอะไร. ผมไม่กล้าบอกแม่ตรงๆ. จนแม่ถามว่าอกหักมาหรอ ผมก็ได้แต่พยักหน้า แม่ถามว่าใครแล้วแม่ก็ไล่ชื่อเพื่อนผู้หญิงของผมทั้งหมด. และแล้วแม่ก็ถามว่าใช่คนผู้ชายที่พามาบ้านใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่. ผมร้องไห้ฟูมฟายหัวหนุนตักแม่แล้วก็สะอึ้น. ผมเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง. แม่บอกว่าทำไมไม่บอกแม่ตั้งแต่แรก"แม่รับได้เสมอไม่ว่าลูกเป็นยังไง ลูกแม่เป็นคนดี. ลูกแม่ไม่ได้ขี้เหร่ มีการมีงานทำ". ผมร้องไห้หนักอีกครั้ง แต่ก็โล่งที่ไม่ต้องมีความลับอีกแล้ว. แม่ลูบหัวผมตลอด ผมรู้อยู่แล้วว่าคนที่จะไม่ไปจากผมและรักผมมากก็คือแม่ ผมยิ่งรักแม่ขึ้นไปอีก. แม่ถามว่าผมจะเอายังไงต่อไป. ผมบอกผมไม่รู้ แม่บอกลองรอดูว่าเค้าจะทักมาไหมถ้าคนมีใจยังไงก็ต้องทักมา. ผมเชื่อแม่. ผมรอ
1อาทิตย์ผ่านไป 2,3 หนึ่งเดือนเค้าไม่ทักมาเลยผมคิดถึงเค้าเหลือเกิน ช่วงนั้นผมอยู่กับเพื่อนๆที่คอยให้กำลังใจตลอด ผมถามแม่ว่าผมจะทำไงดีความรู้สึกมันค้างคามันอยากรู้เหตุผลมากกว่านี้. แม่ก็แนะนำว่าให้ถามเค้าไปเลย แต่งลูกต้องยอมรับคำตอบนั้นด้วยนะไม่ว่ามันจะโหดร้ายแค่ไหน. ผมไม่กล้าถามเลยครับ ผมไม่อยากรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เลือกไม่รับรู้ดีกว่า. คิดถึวก็แค่ส่องเฟสเค้า. ผมเลยfadeตัวออกมาและพยายามทำใจให้ชินเหมือนแต่ก่อนที่ไม่มีเค้า ยอมออกมาทั้งๆที่ยังค้างคาใจ
สรุปผมได้เป็นแฟนกัน(ใช้คำว่าแฟน)กับเค้าแค่7วัน มันจะเป็นความรักหรือป่าวผมไม่แน่ใจ แต่สำหรับผมคงเรียกว่ารักได้ ความรู้สึกที่ผมให้เค้าไปนั้นเป็นของจริงผมจริงใจ แต่ผมย้อนคิดกลับมาแล้วความรู้สึกที่เค้ามีให้ผมหล่ะ มันเคยมีอยู่จริงไหมหรือมันแค่ปลอมมาตลอด มันช่างเหมือนจริงจนผมไม่เผื่อใจ. เขาวางยาในใจผมมาเกือบสองปี ทำไมใจร้ายจังแต่ผมควรดีใจไหมที่เค้าหักความสัมพันธ์ตรงๆไปเลยแบบนี้?
หลายๆปัจจัยทำให้ผมท้อถอยห่าง. ทั้งระยะทาง ระยะเวลา และความรู้สึก ความรักแบบของพวกผมมันไม่มีอะไรจะผูกมัดได้เลยจริงๆ. ใจแลกใจเท่านั้น มีความมั่นคงหนักแน่นเป็นหลัก
คอนนี้ผมพึ่งได้งานใหม่ทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ไม่หมกมุ่นกับเรื่องเค้าปล่อยให้มันเป็นไปเผื่ออะไรๆจะดีขึ้น. เวลาอาจเยียวยาความรู้สึกเหมือนที่ใครๆว่า
ผมยังคงมีความคิดที่จะรอเค้าอยู่เผื่อวันนึงเค้าจะพร้อมใช้คำว่าแฟนกับผม (หรือไม่ก็คนอื่น)