มาใช้ชีวิตแบบสโลวไลฟ์ ณ หมู่บ้านแม่กำปอง กันเถอะ

กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกในพันทิป ยังไงฝากติดตามเพจที่เพิ่งสร้างด้วยนะคะ

https://www.facebook.com/%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-523890127805915/




เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา  ได้มีโอกาสไปเชียงใหม่  และได้ไปพักผ่อนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่เริ่มมีการแชร์ในหน้าของเฟสบุ้คกันอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ หมู่บ้านแม่กำปอง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี

เหตุผลอันดับแรกที่เลือกมาพักที่นี่คือ มีบรรยากาศเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยธรรมชาตที่เขียวขจี
ส่วนอีกเหตุผลก็คือ การที่เห็นข้อความแชร์บนหน้าเฟสบุ้ค บรรยายถึงความสวยงาม และความประทับใจต่างๆ ภายหลังจากที่ได้ไปแม่กำปอง

แต่การอ่านข้อความบรรยาย ไหนเลยจะเท่าการสัมผัสด้วยตัวเอง



แม่กำปอง เป็นหมู่บ้านที่ใช้เวลาในการเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณสองชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควรกว่าจะไปถึง เนื่องจากทริปนี้เราเช่ารถจักรยานยนต์ในการเดินทางตลอดทั้งทริป เพื่อความสะดวก แต่เรื่องความประหยัดนั้น ไม่เลย เพราะเราเลือกเช่ารถจักรยานยนต์ในราคาคันละ 600 บาทต่อวัน และระหว่างทางก็แวะร้านกาแฟเพื่อพักเหนื่อย



ที่พัก... หากหลายๆ คนกำลังมองหาที่พัก อาจพบได้ในเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลยอดนิยมของไทยได้ง่ายๆ มีที่พักแนะนำที่มีการรีวิวผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งจะไม่ขอเอ่ยว่ามีที่พักไหนบ้าง แต่สำหรับในทริปนี้ มีนและเพื่อนร่วมทริปได้ติดต่อเข้าไปที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวแม่กำปอง มีเบอร์ติดต่อที่สามารถหาได้ทางเว็บไซต์ ศูนย์บริการท่องเที่ยวแม่กำปอง เมื่อเราโทรเข้าไปสอบถามเรื่องที่พักจะมีแจ้งราคา ซึ่งราคาก็ไม่แพง อยู่ที่ 520 บาท/คน/คืน มีอาหารเย็นของวันเข้าพัก และอาหารเช้า  และทางศูนย์บริการฯ จะทำการสอบถามจำนวนผู้เข้าพักและจำนวนคืนที่พัก  เพื่อจัดหาโฮมสเตย์ให้กับเราอีกด้วย

ระหว่างเดินทางมาหมู่บ้านแม่กำปองตาม GPS ในโทรศัพท์ เราจะผ่านป้ายยินดีต้อนรับ บ้านแม่กำปอง แต่จุดหมายปลายทางนั้นยังอีกไกล ต้องผ่านป้ายแม่กำปองกลาง ซึ่งใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 10 นาที โดยรถจักรยานยนต์ เพราะเราต้องไปติดต่อเรื่องที่พักที่เฮือนกาแฟ  ที่นั่นจะมีคนคอยจัดสรรค์ที่พักให้เรา โดยที่พักจะเป็นแบบวนบ้าน ว่ารอบนี้เราจะได้พักที่บ้านใคร
  
สำหรับทริปนี้เรามากัน 4 คน  ได้บ้านทั้งหลัง มี 2 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ 2 ห้อง เป็นบ้านของป้าผ่อง ซึ่งห่างจากเฮือนกาแฟไปเพียงเล็กน้อย  ป้าผ่องและสามีรอเรา 4 คน อยู่ที่หน้าบ้าน จัดที่นอน และพูดคุยกับเราอย่างเป็นกันเอง





เรา 4 คน เดินทางมาถึงที่พักประมาณสี่โมงเย็น เก็บของ และนั่งพักผ่อนสักพักก็เดินไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ป้าผ่องได้ถามเราทั้งสี่คนว่ากินหมูได้มั้ย กินเห็ดได้มั้ย กินไก่ได้มั้ย เราก็บอกป้าไปว่ากินได้หมด ยกเว้นเนื้อวัว  แล้วป้าก็ถือถาดใส่เห็ดที่เก็บมาจากในป่า บอกว่าเย็นนี้จะผัดเห็ดให้กิน  และก่อนออกจากบ้าน ป้าผ่องยังได้แนะนำให้ไปน้ำตกแม่กำปอง หลังบ้านป้าเป็นเส้นทางลัดเดินไปไม่ไกล เราจึงเดินทางไปน้ำตกแม่กำปอง ระยะทางจากบ้านป้าผ่องอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกจริงๆ และระหว่างทางมีต้นไม้เล็กใหญ่ ธารน้ำไหล และยุงตัวใหญ่เกือบเท่าแมลงวัน











ส่วนขากลับบ้านนั้นเรา 4 คน เลือกเดินเส้นทางหลักที่รถวิ่งเดินกลับบ้าน ระยะทางต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ใช้เวลาเดินกลับพอสมควร เหมือนกับว่าเราคิดผิดที่เลือกเส้นทางนี้เลยทีเดียว

เนื่องจากระยะทางจากบ้านป้าผ่องไปแลนด์มาร์ค จุดถ่ายรูปยอดนิยมในแม่กำปองห่างไกลกันพอสมควร เราจึงต้องกลับไปเอารถที่จอดไว้  

เมื่อถึงบริเวณใกล้ๆ แลนด์มาร์ค ระหว่างเดินเล่นในหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงพูดอันน่าสนใจ และกลิ่นหอมที่ลอยมาพร้อมกับเสียงพูด
“...ข้าวโพดปิ้งมั้ยครับ หวานๆ สดๆ เลย...”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วเราจึงมุ่งหน้าไปที่ร้าน
“ข้าวโพดฟักนึงค่ะ”
ราคงราคาไม่ถามสักคำ ปลอกเปลือกออกเรียบร้อย
“25 บาท ครับ”
ราคาข้าวโพดฝักละ 25 บาท ขนาดความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร...

หลังจากซื้อข้าวโพดราคาฝักละ 25 บาท แล้ว ก็ต้องทำการถ่ายรูปมันเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเดินเที่ยวชมและถ่ายภาพกับแลนด์มาร์คต่างๆ ภายในแม่กำปอง









หกโมงเย็นเรากลับถึงบ้านนั่งเล่นกันซักพักสามีของป้าผ่องก็มาตามเราลงไปกินข้าว เพราะมันจะดึก อากาศก็หนาว กว่าจะอาบน้ำกันอีก

สำหรับอาหารเย็นมื้อนี้มีกับข้าว 3 อย่าง ป้าผ่องทำกับข้าวอย่างละหม้อเล็กๆ ราวกับว่าเป็นอาหารบุพเฟ่เลยก็ได้ มีเพื่อนในทริปคนหนึ่งถามป้าว่า ไม่มีไข่เจียวเหรอครับป้า เพราะเห็นคนมาเที่ยว อาหารที่รีวิวกันมักจะมีไข่เจียว ผ่านไปประมาณ 5 นาที ป้าผ่องเดินออกจากห้องครัวพร้อมกับจานใส่ไข่เจียว ส่วนรสชาติของอาหารนั้น บอกได้คำเดียวเลยว่าถูกปากมากค่ะ กินกันแบบที่ว่าอยากจะกินแต่กับข้าวกันเลย



ป้าผ่อง และสามีใจดีมากค่ะ ดูแลดี เป็นกันเอง คุยเก่ง คอยแนะนำเราหลายๆ อย่าง เช่น

ที่พักโฮมสเตย์ ป้าผ่องเล่าให้ฟังว่า บางครั้งมีนักท่องเที่ยวมาพัก ถ้าอยากดื่มเหล้าเบียร์ให้รีบไปซื้อที่ร้านในหมู่บ้าน หนึ่งถึงสองทุ่มร้านก็ปิดหมดแล้ว  และที่นี่เค้าไม่นอนดึกกัน อยู่กันแบบสงบ แต่ถ้ามีนักท่องเที่ยวมาดื่มมาส่งเสียงดัง เจ้าของบ้านจะทำการตักเตือน  เพราะบ้านอื่นนอนกันหมดแล้ว ถ้าเสียงดังก็จะรบกวนบ้านหลังอื่นๆ ด้วย

จริงอย่างที่ป้าผ่องพูดค่ะ เพราะหลังจากหนึ่งทุ่มภายในหมู่บ้านก็เงียบสงบ ราวกับว่าอยู่ในป่าในเขา ได้ยินแต่เพียงเสียงน้ำไหล และเสียงน้ำตกเท่านั้น

ระหว่างกินข้าวป้าผ่องได้ถามเราอีกว่าพรุ่งนี้เช้าจะกินอะไรกัน ข้าวต้ม หรือโจ๊ก มั้ย หรือจะกินอะไร เราสี่คนมองหน้ากันเหมือนจะมีคำตอบอยู่ใจเป็นคำตอบเดียวกัน เพราะข้าวต้มกับโจ๊กเราสามารถหากินได้ทั่วไป เลยบอกป้าไปว่ากินกับข้าวปกติแบบที่ป้ากินทุกวัน กินอะไรก็ได้ที่ป้ากิน

และป้าผ่องยังอธิบายวิธีการใช้น้ำอุ่นอีกว่าต้องเปิดแก๊สก่อนแล้วค่อยเปิดน้ำใส่กะละมัง เปิดอย่าเต็มเพราะต้องผสมน้ำเย็นด้วย ถ้าไม่ผสมมันจะเป็นน้ำร้อน อาบไม่ได้ พออาบน้ำเสร็จก็อย่าลืมปิดแก๊สให้ป้าด้วย  แต่ถ้าไม่อาบน้ำอุ่นป้ามีห้องน้ำอีกห้องอาบฝักบัว แต่เป็นน้ำเย็น ด้วยความมักง่ายเราทั้งสี่คนเลือกอาบน้ำเย็นเพราะการอาบน้ำอุ่นมันเป็นอะไรที่ยุ่งยากเกินไป

กินข้าวเสร็จเราได้ช่วยป้าผ่องเก็บจานชามเข้าครัว และเช็ดโต๊ะอย่างสะอาด แต่พอกำลังจะขึ้นไปห้องนอน ด้านล่างของบ้านก็มีแสงไฟสีเหลืองทองกระพิบ เราจึงเดินไปดูและพบว่าเป็นหิ่งห้อย  ด้วยความสงสัยจึงไปถามสามีของป้าผ่องว่าแถวนี้มีหิ่งห้อยด้วยเหรอ สามีป้าผ่องบอกว่ามี ต้องเข้าไปแถวน้ำตกแม่กำปองที่ไปมาตอนเย็น แต่มันไกลเกินความสามารถที่จะเดินไปในยามวิกาล สามีป้าผ่องจึงบอกอีกสถานที่หนึ่ง คือ ต้นไม่ใหญ่ระหว่างทางไปน้ำตกแม่กำปอง ซึ่งเป็นระยะทางเพียงครึ่งนึงเท่านั้น พร้อมกับยื่นไฟฉายที่มีสายรัดสำหรับรัดศรีษะ และสอนวิธีการใช้ เพื่อให้เราใช้เข้าป่า

ระหว่างทางเดิน ตามธารน้ำไหล เราได้เจอกับหิ่งห้อยราวห้าถึงหกตัวบินเหนือธารน้ำไหล และบนท้องฟ้าอีกสามตัว การเจอหิ่งห้อยที่แม่กำปองไม่ได้อยู่ในแผนที่คิดไว้   ถือว่าเป็นโบนัสของการเที่ยวในครั้งนี้เลยก็ได้

เช้าวันต่อมา เราตื่นกันประมาณหกโมงเช้า เพื่อเดินเล่นบริเวณใกล้ๆ บ้านป้าผ่อง ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งบนโขดหินเอาเท้าแช่น้ำที่ธารน้ำไหล ถ่ายภาพวิวธรรมชาติสวยๆ ชมนก ชมไม้ไปตามประสาคนมาเที่ยว มาพักผ่อน

สำหรับอาหารมื้อเช้าที่บ้านป้าผ่องวันนี้เป็นอะไรที่ถูกใจเรามาก เพราะนอกจากรสชาติที่ป้าจะทำอร่อยแล้ว ยังมีของที่คนส่วนใหญ่มักจะกินเวลามาเชียงใหม่ นั่นคือ ไส้อั่วค่ะ ไส้อั่วของป้ารสชาติต่างจากที่ซื้อกินในตัวเมืองเชียงใหม่หลายๆ ร้าน ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามันอร่อยกว่า และชอบรสชาติไส้อั่วของป้าผ่องมากกว่าที่ซื้อในตัวเมืองเชียงใหม่









ก่อนกลับเราแวะร้านกาแฟลุงปุ๊ด & ป้าเป็ง แลนด์มาร์คที่ใครมาแม่กำปองต้องมาแวะ ไม่ว่าจะมาแวะถ่ายรูปกับป้ายหน้าร้าน มาทานอาหาร หรือมาแวะดื่มเครื่องดื่มต่างๆ

สำหรับการมาเที่ยวแม่กำปองในครั้งนี้  ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่ง เพราะเราได้มาพักที่พักแบบโฮมสเตย์  ได้เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน  ได้ลองทานอาหารรสชาติพื้นบ้านของแม่กำปอง ได้พักผ่อน และสูดอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไปในปอด  นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นการใช้ชีวิตแบบสโลวไลฟ์ 1 วันของเราทั้ง 4 คน ณ หมู่บ้านแม่กำปอง เลยก็ได้















แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่