เริ่มต้นก่อนว่านี้เป็นกระทู้แรก อาจจะอ่านยากไปเยอะ มึนๆ-งงๆอย่างมาก ต้องขออภัยด้วยครับ
จขกท.เป็นโรคซึมเศร้ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว และได้เข้ารับการรักษาแล้ว
จะมาแชร์ความรู้สึกของการเป็นโรคนี้ผ่านมุมมองของคนที่กำลังสู้กับโรคนี้อีกคนหนึ่งล่ะกัน
เอาง่ายๆคือมาระบายลงในนี้นั่นแหละ เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีคนรู้จัก 55555
ต้องบอกว่าจขกท.เคยได้วางแผนฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง แต่เกือบทุกครั้งมักจะมีอะไรมาขวางให้เริ่มลงมือทำไม่ได้เสมอ
หรือบางครั้งก็ลงมือทำไปแล้วไม่สำเร็จ ตั้งแต่กระโดดดึกตายยันลั่นกระสุนเข้าสมอง แต่ไม่มีกินยาล้างห้องน้ำและยาฆ่ายานะครับ
เพราะคิดว่าตายแบบทรมานเกิน บางคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถาม
'ทำไมต้องอยากตายขนาดนั้น ไม่คิดถึงพ่อแม่บ้างเหรอ'
ต้องบอกว่า เราไม่ได้อยากตาย เราแค่ไม่อยากอยู่ต่อ เราเป็นคนปกติที่ข้างในไม่ปกติ จิตใจ สมอง ความคิดของเราเลยไม่ปกติแบบคนอื่น
เพราะมันจะมีแต่สีเทาๆดำๆ ความคิดด้านลบๆเท่านั้นแหละ
'แล้วทำไมไม่คิดบวกล่ะ'
ก็เพราะสมองและความคิดเราไม่ปกติไงล่ะ เราถึงทำไม่ได้ ถ้าทำได้คงไม่ต้องมานั่งกินยา กับวิ่งเข้าๆออกๆแผนกจิตเวชอย่างทุกวันนี้หรอก
.... มีหลายครั้งครับที่ผมเกือบตาย เพราะความรู้เท่าไม่ทันอารมณ์-ความรู้สึกของตัวเอง
ครั้งแรกที่จะกระโดดตึก วางแผนไว้แล้วซะดิบดี ด้วยความที่ว่าอาคารเรียนเป็นอาคารสูง9ชั้น มีดาดฟ้าที่ชั้น7 หลังเลิกเรียนแลปสักวัน รอเวลาเย็นๆหน่อยคนเริ่มน้อย จัดการปีนกำแพงกั้นดาดฟ้าแล้วดิ่งลงมาโลด วันนั้นกำลังจะปีนแล้วเชียว เพื่อนเจ้ากรรมดันเปิดประตูดาดฟ้าแล้วเดินเข้ามาเป็นขโยง เป็นอันว่าแผนการตายเงียบๆอันนี้ทำไม่สำเร็จไปโดยปริยาย แล้วอีกหลายครั้งต่อๆมาก็จะเป็นแนวๆนี้ คือกำลังจะกระโดด แต่มีคนมาเห็นสะก่อน
ที่เคยมีคนตั้งกระทู้แนวๆว่า ทำไมคนกระโดดตึกฆ่าตัวตายต้องถอดรองเท้า ... จากประสบการณที่ผ่านมาหลายๆรอบขอตอบว่า ใส่รองแล้วมันปีนยากครับ จะถอดแล้วถือขึ้นไปใส่ใหม่ตอนยืนอยู่บนขอบกำแพงก็ลำบาก ไหนๆจะตายแล้ว ทำอะไรให้มันง่ายๆก็ถอดมันทิ้งสะเลย
ครั้งต่อๆมาวางแผนว่าจะยิงตัวตาย เอาเลย ไปสนามยิงปืน เช่าปืนสักกระบอก แค่เอาปากกระบอกประกบหัว จะยิงเข้าหัวเฉยๆก็กลัวไม่ตาย ต้องเล็งให้ตรงกับตำแหน่งทัดดอกไม้ที่เป็นจุดเชื่อมต่อแผ่นกะโหลกทั้ง4แผ่น ก่อนจะไปสนามยิปืนคือมีการจับๆคลำๆเดาๆหาจุดนี้อยู่เป็นอาทิตย์ เปิดกูเกิ้ลหนังสือตำราเรียนเกือบทุกเล่ม เอาให้มันแน่ชัดและชัวร์ๆว่าถ้าโดนจุดนี้คือตายแน่ๆ ยิงนัดเดียวให้กระสุนมันเจาะทะลุกะโหลกตรงจุดนี้เข้าไปที่สมอง ให้เศษกะโหลกเจาะเข้าไปบาดเนื้อสมอง นัดเดียวรู้เรื่อง แต่ทุกครั้งที่ไปก็มักไม่ประจบเหมาะกับโอกาส มันจะต้องมีผู้คนมาอยู่รอบข้างตลอดๆไม่เว้นแม้แต่สนามยิงปืน ที่ปกติจะไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการ แต่ทำไมก็ไม่รู้ทุกครั้งที่ผมตั้งใจจะไปตาย วันนั้นต้องมีคนเข้ามาใช้บริการกันอย่างน้อยก็2-3คน อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นว่า 'การฆ่าตัวตายไม่ได้ทำไปแค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่มันเป็นการตายที่ได้ผ่านการวางแผนมาแล้ว เหลือแค่รอเวลาว่าจะทำมันเมื่อไหร่' และ
' อย่าปล่อยให้คนที่ซึมเศร้าเขามีโอกาสได้อยู่คนเดียวนานๆ ' เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตายเมื่อไหร่ อย่าเปิดโอกาสให้เขาได้ทำตามแผนของเขาสำเร็จ และไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาคิดจะบอกลาก่อนตาย อย่างจขกท.เองทุกครั้งที่คิดจะตาย มันไม่มีอารมณ์จะไปสั่งเสียหรือบอกลาใครทั้งนั้น ตอนนั้นในหัวมันมีแต่ความคิด 'กูไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว'
'อ้าว แล้วถ้าเราไม่รู้ล่ะว่าเขาเป็น'
ถ้าลองสังเกตุดีๆ จะมองเห็นสัญญาณบางอย่างที่เขาพยายามส่งให้คุณว่า เออ นี้นะ เขาเป็นโรคซึมเศร้าอยู่นะ เขาอยากให้พวกคุณช่วย แต่ .... พวกคุณมักจะมองข้ามมันเสมอ
เช่น ... เวลานอนเปลี่ยน ของจขกท.เป็นคือจะนอนไม่หลับติดๆกันหลายคืน จนขอบตาดำคล้ำ (โชคดีหรือโชคร้าย ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบไฟนอล ขอบตาดำเป็นเรื่องปกติของเด็กมหาลัย เลยไม่มีใครสังเกตุเห็นความผิดปกติ)
หรือ ... จากที่เคยสดใสร่าเริง บางวันก็เปลี่ยนเป็นคนเงียบๆ เศร้าๆ เบลอๆ (โชคดีอีกแล้ว เพื่อนเห็นนะ เพื่อนรู้สึกนะ แต่เพื่อนจะคิดว่า ไอ่นี้เมาค้างอีกแล้ว 5555 เออ นั้นแหละ
หรือ ... เคยคุยกับเพื่อน แบบพูดลอยๆ พูดไปเรื่อยๆ ประมาณว่า 'อยากตายว่ะ ไม่อยากอยู่ต่อล่ะ บลาๆๆๆ' (โชคดีอีกแล้ว เพื่อน

คิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น 5555 แถมขอหวยอีกต่างหาก)
หรือ ... อยู่ๆก็หายตัวไป เก็บตัวเงียบ ไม่เปิดเฟสบุ๊ค ไลน์ไปไม่ตอบ โทรหาไม่ติด ไม่สามารถหาทางติดต่อใดๆได้ (โชคดีอีกแล้ว เป็นช่วงสอบ เพื่อนคิดว่าปิดเฟสอ่านหนังสือ)
หรือ ... น้ำหนักตัวผิดปกติไป รวมถึงพฤติกรรมการกินผิดปกติไปด้วย อาจจะผอมลง หรืออ้วนขึ้น อย่างน้อยจขกท.เป็นอย่างหลัง คืออ้วนขึ้นจนเพื่อนทัก (โชคดีอีกเช่นเคย เพื่อนคิดว่าปิดเทอมกลับบ้านไปอยู่ดีกินดี )
หรือ .. เคยชอบทำอะไรสักอย่าง อยู่ๆกลับไม่ชอบขึ้นมาสะงั้น (อันนี้ไม่มีใครรู้)
เห็นไหมครับ มีหลายสัญญาณที่มันแสดงออกได้ทางร่ายกายให้เห็นแบบชัดเจน ว่าเขากำลังแย่นะ แต่น่าเสียดายที่สัญญาณเหล่านั้นกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติเกินกว่าจะมีใครเก็บไปสนใจ
'ก็แล้วทำไมไม่บอกไปตรงๆเลยล่ะ ว่าเป็นโรคซึมเศร้า'
คืองี้ มันก็แล้วแต่คนนะ เพราะบางคนบอกคนรอบตัวไป ก็มักจะโดนตอบกลับมาว่า 'ก็อย่าไปเศร้าสิ ก็อย่าไปคิดสิ คิดในแง่ดีไว้สิ คิดบวกไว้สิ ไปนั่งสมาธิสิ ไปเข้าวัดเข้าวาสิ ก็แค่โรคตามกระแสเดี๋ยวก็หาย ปรับเปลี่ยนมุมมองสิ คิดทำไมแต่เรื่องแย่ๆ บลาๆๆๆ' .... นั้นแหละครับ คำพูดพวกนี้นั้นแหละ ที่ทำให้คนที่เป็นโรคนี้ไม่กล้าที่จะบอกใคร เพราะเขากลัวคำพูดพวกนี้ไงครับ จขกท.เป็นคนหนึ่ง ที่บอกคนรอบข้างไปแล้วเจอคำพูดพวกนี้มาแล้ว มันรู้สึกแย่แล้วก็ทำให้ไม่อยากพูดกับใครอีกเลย!!!!
ขอร้องนะครับ อย่าเอาคำพูดแบบนี้ไปพูดกับใครก็ตามที่เขากำลังบอกคุณว่าเขาเป็นโรคนั้น ที่เขาเลือกจะบอกคุณ เพราะคุณเป็นคนที่เขาไว้ใจนะ
เขาไม่ต้องการคำพูดใดๆปลอบใจหรอกครับ เขาแค่ต้องการคนๆหนึ่งที่พร้อมจะ "เข้าใจ" ตัวเขาในตอนนั้นก็พอ
พร่ำเพ้อมายาว เอาตรงๆคือที่มาตั้งกระทู้นี้คือตั้งใจจะมาเล่าประสบการณ์overdoseยานอนหลับตัวเอง เพื่อเตือนหลายๆคน ว่ามันไม่ได้ตายสบายและไปอย่างสงบอย่างที่คิด
เริ่มจากที่จขกท.ไปหาจิตแพทย์จนได้รับการรักษาเกือบจะหายแล้ว (เหลือแค่กินยาไม่กี่เม็ด และกินเฉพาะตอนที่นอนไม่หลับหรือมีอาการ) และด้วยความที่ว่าตอนต้นเดือนต้องไปเข้าค่าย ทำให้ต้องใช้ชีวิตทุก24.ชั่วโมงร่วมกับเพื่อน การจะต้องมากรอกยา5เม็ดเข้าปากตัวเอง มันอาจจะดูไม่ค่อยสะดวก เลยทำให้จขกท.เลือกที่จะไม่กินยา และหยุดยาตั้งแต่นั้นมา คือเดือนนี้ทั้งเดือนไม่ได้กินยาเลย จขกท.เองก็คิดไปเองว่าไม่เป็นไร มีอาการเมื่อไหร่ค่อยกลับไปกิน ด้วยความที่คิดว่าตัวเองปกติ แค่ความจริงแล้วไม่ได้ปกติ จนทำให้เกิดสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับโรคนี้คือ ตอนที่สติดีๆหลุดออกไปแล้วไล่ตามความคิดตัวเองไม่ทัน
วันนั้นเป็นคืนวันศุกร์เลยตกลงกับเพื่อนว่าจะออกไปดื่มกันสักหน่อย ก็ได้แต่จิบๆ ไม่กล้าดื่มเยอะ เพราะกลัวอาการจะกำเริบออกมาอีกรอบ (ที่ไหนได้ล่ะ มันมาแล้ว แต่กูนี้แหละไม่รูตัว) หลังจากดื่มเสร็จกลับมานอนที่หอ (จขกท.อยู่คนเดียว ไม่มีเมท แต่ก็มีบ้านอยู่ในจังหวัดนี้แหละ ที่อยู่หอเพราะบ้านค่อนข้างไกลจากมหาลัย) ตอนอยู่ร้านเหล้ากับเพื่อนหลายๆคนคือปกติดีทุกอย่าง พอกลับหอมาอยู่คนเดียวปุ๊ป เอาแล้วว น้ำตาไหลมาจากไหนไม่รู้ ความรู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ ทุกอย่างที่เป็นความรู้สึกด้านลบเข้ามาในหัว เข้ามาในใจชนิดที่ว่าหาสาเหตุไม่ได้ แล้วมันก็ไหลเข้ามาเรื่อยๆแบบควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้เลย จะโทรคุยกับใครล่ะ ตี4แบบนั้นคือทุกคนหลับกันหมดแล้ว สุดท้ายเหมือนสติหลุด จนตามความคิดตัวเองไม่ทัน ตอนนั้นในหัวไม่คิดจะบอกลาใครทั้งนั้น คิดแค่ว่าไม่อยากอยู่แล้ว จัดการเปิดตู้เย็นจัดเบียร์ไป1กระป๋องใหญ่ ตามด้วยยัดยานอนหลับพร้อมยาแก้เครียดเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนั้น คิดว่าจะหลับแล้วตายไปอย่างสบายๆ .... แต่ไม่เลย มันจะทรมานแบบเป็นstep
Stepแรก หลังจากกรอกทุกอย่างลงปากตัวเอง ความรู้สึกแรกคือเบลอ ง่วงมากแต่ก็นอนไม่หลับ จะลืมตาก็ลืมไม่ขึ้น เป็นอารมณ์แบบว่านอนตาหลับแต่รู้สึกตัวดีทุกอย่าง
Step2 ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน คือตื่นขึ้นมารู้สึกว่าคอแห้ง ปากแห้งจนไม่มีน้ำลาย จะลุกไปกินน้ำก็ลุกไม่ไหว
Step3 รู้สึกตัวอีกทีคือตื่นขึ้นมาอ้วก อ้วกออกมาเห็นเม็ดยาเป็นเม็ดๆ ช่วงเวลานี้ก้มีแต่อ้วกๆๆ อ้วกๆ-หลับๆวนไปครับ จนถึงเช้า เฮียกับเจ่ที่บ้านมาหา จะมารับกลับบ้านเพราะวันนั้นเป็นวัหยุด ตอนนั้นคือได้ยินเสียงเคาะประตู ได้ยินเสียงเฮียกับเจ่เรียกชัดเจน แต่มันตอบไม่ได้ แค่ลืมตายังลืมไม่ขึ้นเลย สุดท้ายมารู้สึกตัวอีกทีตอนอยู่โรงพยาบาล
Step4 อันนี้ทรมานสุดๆ คือโดนล้างท้อง พยาบาลจะใส่สายเข้าไปทางจมูกให้ลึกถึงกระเพาะอาหาร แล้วก็ฉีดน้ำใสๆเข้าไป แล้วดูดออกมาเรื่อยๆ ลืมตาขึ้นมาภาพแรกที่เห็นคือเฮียกับเจ่คอยจับมือแล้วบีบๆอยู่คนล่ะข้าง (อันนี้รู้มาทีหลังว่าต้องมีคนคอยจับมือไว้ เพราะตอนนั้นพยายามจะดึงสายเสียบจมูกออก ถ้าดึงออกแล้วต้องใส่ใหม่ แล้วตอนนั้นเวรตอนเช้ามีพยาบาลแค่2คน เฮียกับเจ่เลยต้องเป็นคนมาจับ ) ที่เห็นล่ะคิดได้ว่านี้กูทำอะไรลงไปว่ะ คือเห็นเฮียร้องไห้ เพราะปกติจะเป็นคู่พี่น้องที่ทะเลาะกันตลอดเวลา เคยทะเลาะกันจนต่อยกันปากแตกก็มี ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นเฮียร้องไห้แม้แต่แอะเดียว และเฮียจะเป็นผู้ชายที่ปากหมามาก ด่าน้องตลอด แต่วันนี้เฮียไม่ด่าเลยสักคำ ประโยคเดียวที่ได้ยินแล้วจำได้คือ ' ไม่หลับนะหมู เฮียอยู่ข้างๆนี้แล้วนะ ไม่หลับนะๆๆๆ ' ในขณะที่เจ่เอาแต่ร้องไห้น้ำตาเต็มหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตอนนั้นอยากจะตอบกลับไปว่า ขอโทษนะเฮียๆเจ่ๆ ขอโทษที่ทำแบบนี้ จะไม่ทำแล้ว แต่มันก็ตอบไม่ได้ ทำได้แค่มองเฉยๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนอีกเหมือนเดิม
Step5 คือตื่นมาอีกทีตอนผ่านไปแล้ว1วัน ประมาณ3ทุ่ม (หลับไป1วันกับอีกครึ่งค่อนคืน) ตื่นมาก็อ้วกวนไปอีกแล้วครับ แต่รอบนี้อ้วกออกมามีแต่น้ำย่อยสีเหลืองๆขมๆ นอกจากอ้วกแล้วก็เบลอครับ เบลอมากๆ เหมือนภาพตัดตอนเมา ใครชวนคุยก็จะตอบแบบเบลอๆ บางทีก้ตอบไม่รู้เรื่อง ทรงตัวไม่อยู่ จะลุกนั่งบนเตียงยังเซจนลงไปกลิ้งนอนกับพื้น ยังคิดภาพไม่ออกเลยว่าลงไปอยู่พื้นห้องได้ยังไง แถมยังง่วงนอนชนิดที่ว่าเหมือนไม่ได้นอนมา3เดือน จนนอนหลับข้ามมาอีกวัน (วันที่3) ตื่นมาประมาณเที่ยงๆ หายเบลอไปแล้วนิดหน่อย ย้ำว่านิดหน่อยจริงๆ เริ่มรู้สึกตัวว่าเริ่มเจ็บๆแถวหน้าอก มันเป็นเจ็บแบบจุกๆ เลยบอกเฮียๆเจ่ๆว่าเจ็บ เฮียบอกว่า 'ไม่เจ็บดิแปลก รู้ตัวป๊ะว่าโดนปั๊มcprหลังล้างท้องไปแล้วรอบหนึ่ง ดีนะกลับมาได้ ไม่งั้นเฮียจะตามไปด่าเอ็งถึงนรกเลย เอาให้อายไปถึงบรรพบุรุษหมูเลยคอยดู ' _*_ แหนะ ดูดิ ทำซึ้งกันได้แป๊ปเดียว ตื่นมาก็

โดนด่าอีกรอบล่ะ บรรพบุรุษน้องกับบรรพบุรุษเฮียก็คนเดียวกันหรือเปล่าว่ะ 5555 คืองี้นะครับ แอลกอฮอล์กับยานอนหลับและยาคลายเครียด แต่ล่ะตัวจะมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง กินไปพร้อมกันจะไปเสริมฤทธิ์กันมีผลให้หัวใจเต้นช้าลง ความดันลดลงต่ำ จนหัวใจหยุดเต้นในที่สุด
กว่าจะคุยกับใครรู้เรื่อง เรียบเรียงเหตุการณ์ถูกก็คืนดึกๆวันที่5 พร้อมด้วยอาการขมคอจนกินอะไรไม่ได้แม้แต่ข้าวหรือนม กินได้แต่น้ำส้ม-น้ำผลไม้เปรี้ยวๆ แถมด้วยอาการเพดานหมุน เวียนหัว พร้อมอ้วกพุงตลอดเวลา _*_ สรุปคือชีวิตหายไปเกือบทั้งอาทิตย์เลยเต็มๆ แถมอาการเบลอๆก็ยังคงอยู่ไปอีก2-3วัน สุดท้ายจะจบล่ะ 5555 เดี๋ยวยาวไปจะขี้เกียจอ่านกัน
ที่น่าแปลกคือช่วงเวลาที่เราเงียบหายไป จากที่เคยคิดว่ามีเพื่อนเยอะ กลับไม่มีใครสังเกตุเลยสักคนว่าเราหายไปนะ จะมีก็แต่เฮียๆเจ่ๆ กับครอบครัวเท่านั้น ที่เป็นคนที่ดูแลเราตลอด มาถึงตรงนี้จะบอกว่า คนที่เสียใจกับเราจริงๆ รักเราจริงๆ ก็คือครอบครัวของเรานั้นแหละครับ อาจจะมีทะเลาะกันบ้าง ก็เพื่ออรรถรสในการอยู่บ้านเดียวกันก็เท่านั้นเอง
สุดท้ายล่ะ ใครคิดจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ อย่าทำเลยครับ ทรมานทั้งร่างกายตัวเอง แถมยังทรมานจิตใจคนที่อยู่ข้างๆเราด้วย อดทนไปกับมันนะ โรคนี้อ่ะ เป็นได้มันก็หายได้ อย่ายอมแพ้ก่อนก็พอ ^^
P.S ผมขอไม่ตอบคอมเม้นเนอะ แต่จะเข้ามาอ่านบ่อยๆนะครับ
ครั้งหนึ่ง ... ผมเคยคิดอยากจะตาย (แชร์ประสบการณ์+ระบายจากการเป็นโรคยอดฮิต)
จขกท.เป็นโรคซึมเศร้ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว และได้เข้ารับการรักษาแล้ว
จะมาแชร์ความรู้สึกของการเป็นโรคนี้ผ่านมุมมองของคนที่กำลังสู้กับโรคนี้อีกคนหนึ่งล่ะกัน
เอาง่ายๆคือมาระบายลงในนี้นั่นแหละ เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีคนรู้จัก 55555
ต้องบอกว่าจขกท.เคยได้วางแผนฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง แต่เกือบทุกครั้งมักจะมีอะไรมาขวางให้เริ่มลงมือทำไม่ได้เสมอ
หรือบางครั้งก็ลงมือทำไปแล้วไม่สำเร็จ ตั้งแต่กระโดดดึกตายยันลั่นกระสุนเข้าสมอง แต่ไม่มีกินยาล้างห้องน้ำและยาฆ่ายานะครับ
เพราะคิดว่าตายแบบทรมานเกิน บางคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถาม
'ทำไมต้องอยากตายขนาดนั้น ไม่คิดถึงพ่อแม่บ้างเหรอ'
ต้องบอกว่า เราไม่ได้อยากตาย เราแค่ไม่อยากอยู่ต่อ เราเป็นคนปกติที่ข้างในไม่ปกติ จิตใจ สมอง ความคิดของเราเลยไม่ปกติแบบคนอื่น
เพราะมันจะมีแต่สีเทาๆดำๆ ความคิดด้านลบๆเท่านั้นแหละ
'แล้วทำไมไม่คิดบวกล่ะ'
ก็เพราะสมองและความคิดเราไม่ปกติไงล่ะ เราถึงทำไม่ได้ ถ้าทำได้คงไม่ต้องมานั่งกินยา กับวิ่งเข้าๆออกๆแผนกจิตเวชอย่างทุกวันนี้หรอก
.... มีหลายครั้งครับที่ผมเกือบตาย เพราะความรู้เท่าไม่ทันอารมณ์-ความรู้สึกของตัวเอง
ครั้งแรกที่จะกระโดดตึก วางแผนไว้แล้วซะดิบดี ด้วยความที่ว่าอาคารเรียนเป็นอาคารสูง9ชั้น มีดาดฟ้าที่ชั้น7 หลังเลิกเรียนแลปสักวัน รอเวลาเย็นๆหน่อยคนเริ่มน้อย จัดการปีนกำแพงกั้นดาดฟ้าแล้วดิ่งลงมาโลด วันนั้นกำลังจะปีนแล้วเชียว เพื่อนเจ้ากรรมดันเปิดประตูดาดฟ้าแล้วเดินเข้ามาเป็นขโยง เป็นอันว่าแผนการตายเงียบๆอันนี้ทำไม่สำเร็จไปโดยปริยาย แล้วอีกหลายครั้งต่อๆมาก็จะเป็นแนวๆนี้ คือกำลังจะกระโดด แต่มีคนมาเห็นสะก่อน
ที่เคยมีคนตั้งกระทู้แนวๆว่า ทำไมคนกระโดดตึกฆ่าตัวตายต้องถอดรองเท้า ... จากประสบการณที่ผ่านมาหลายๆรอบขอตอบว่า ใส่รองแล้วมันปีนยากครับ จะถอดแล้วถือขึ้นไปใส่ใหม่ตอนยืนอยู่บนขอบกำแพงก็ลำบาก ไหนๆจะตายแล้ว ทำอะไรให้มันง่ายๆก็ถอดมันทิ้งสะเลย
ครั้งต่อๆมาวางแผนว่าจะยิงตัวตาย เอาเลย ไปสนามยิงปืน เช่าปืนสักกระบอก แค่เอาปากกระบอกประกบหัว จะยิงเข้าหัวเฉยๆก็กลัวไม่ตาย ต้องเล็งให้ตรงกับตำแหน่งทัดดอกไม้ที่เป็นจุดเชื่อมต่อแผ่นกะโหลกทั้ง4แผ่น ก่อนจะไปสนามยิปืนคือมีการจับๆคลำๆเดาๆหาจุดนี้อยู่เป็นอาทิตย์ เปิดกูเกิ้ลหนังสือตำราเรียนเกือบทุกเล่ม เอาให้มันแน่ชัดและชัวร์ๆว่าถ้าโดนจุดนี้คือตายแน่ๆ ยิงนัดเดียวให้กระสุนมันเจาะทะลุกะโหลกตรงจุดนี้เข้าไปที่สมอง ให้เศษกะโหลกเจาะเข้าไปบาดเนื้อสมอง นัดเดียวรู้เรื่อง แต่ทุกครั้งที่ไปก็มักไม่ประจบเหมาะกับโอกาส มันจะต้องมีผู้คนมาอยู่รอบข้างตลอดๆไม่เว้นแม้แต่สนามยิงปืน ที่ปกติจะไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการ แต่ทำไมก็ไม่รู้ทุกครั้งที่ผมตั้งใจจะไปตาย วันนั้นต้องมีคนเข้ามาใช้บริการกันอย่างน้อยก็2-3คน อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นว่า 'การฆ่าตัวตายไม่ได้ทำไปแค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่มันเป็นการตายที่ได้ผ่านการวางแผนมาแล้ว เหลือแค่รอเวลาว่าจะทำมันเมื่อไหร่' และ
' อย่าปล่อยให้คนที่ซึมเศร้าเขามีโอกาสได้อยู่คนเดียวนานๆ ' เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตายเมื่อไหร่ อย่าเปิดโอกาสให้เขาได้ทำตามแผนของเขาสำเร็จ และไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาคิดจะบอกลาก่อนตาย อย่างจขกท.เองทุกครั้งที่คิดจะตาย มันไม่มีอารมณ์จะไปสั่งเสียหรือบอกลาใครทั้งนั้น ตอนนั้นในหัวมันมีแต่ความคิด 'กูไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว'
'อ้าว แล้วถ้าเราไม่รู้ล่ะว่าเขาเป็น'
ถ้าลองสังเกตุดีๆ จะมองเห็นสัญญาณบางอย่างที่เขาพยายามส่งให้คุณว่า เออ นี้นะ เขาเป็นโรคซึมเศร้าอยู่นะ เขาอยากให้พวกคุณช่วย แต่ .... พวกคุณมักจะมองข้ามมันเสมอ
เช่น ... เวลานอนเปลี่ยน ของจขกท.เป็นคือจะนอนไม่หลับติดๆกันหลายคืน จนขอบตาดำคล้ำ (โชคดีหรือโชคร้าย ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบไฟนอล ขอบตาดำเป็นเรื่องปกติของเด็กมหาลัย เลยไม่มีใครสังเกตุเห็นความผิดปกติ)
หรือ ... จากที่เคยสดใสร่าเริง บางวันก็เปลี่ยนเป็นคนเงียบๆ เศร้าๆ เบลอๆ (โชคดีอีกแล้ว เพื่อนเห็นนะ เพื่อนรู้สึกนะ แต่เพื่อนจะคิดว่า ไอ่นี้เมาค้างอีกแล้ว 5555 เออ นั้นแหละ
หรือ ... เคยคุยกับเพื่อน แบบพูดลอยๆ พูดไปเรื่อยๆ ประมาณว่า 'อยากตายว่ะ ไม่อยากอยู่ต่อล่ะ บลาๆๆๆ' (โชคดีอีกแล้ว เพื่อน
หรือ ... อยู่ๆก็หายตัวไป เก็บตัวเงียบ ไม่เปิดเฟสบุ๊ค ไลน์ไปไม่ตอบ โทรหาไม่ติด ไม่สามารถหาทางติดต่อใดๆได้ (โชคดีอีกแล้ว เป็นช่วงสอบ เพื่อนคิดว่าปิดเฟสอ่านหนังสือ)
หรือ ... น้ำหนักตัวผิดปกติไป รวมถึงพฤติกรรมการกินผิดปกติไปด้วย อาจจะผอมลง หรืออ้วนขึ้น อย่างน้อยจขกท.เป็นอย่างหลัง คืออ้วนขึ้นจนเพื่อนทัก (โชคดีอีกเช่นเคย เพื่อนคิดว่าปิดเทอมกลับบ้านไปอยู่ดีกินดี )
หรือ .. เคยชอบทำอะไรสักอย่าง อยู่ๆกลับไม่ชอบขึ้นมาสะงั้น (อันนี้ไม่มีใครรู้)
เห็นไหมครับ มีหลายสัญญาณที่มันแสดงออกได้ทางร่ายกายให้เห็นแบบชัดเจน ว่าเขากำลังแย่นะ แต่น่าเสียดายที่สัญญาณเหล่านั้นกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติเกินกว่าจะมีใครเก็บไปสนใจ
'ก็แล้วทำไมไม่บอกไปตรงๆเลยล่ะ ว่าเป็นโรคซึมเศร้า'
คืองี้ มันก็แล้วแต่คนนะ เพราะบางคนบอกคนรอบตัวไป ก็มักจะโดนตอบกลับมาว่า 'ก็อย่าไปเศร้าสิ ก็อย่าไปคิดสิ คิดในแง่ดีไว้สิ คิดบวกไว้สิ ไปนั่งสมาธิสิ ไปเข้าวัดเข้าวาสิ ก็แค่โรคตามกระแสเดี๋ยวก็หาย ปรับเปลี่ยนมุมมองสิ คิดทำไมแต่เรื่องแย่ๆ บลาๆๆๆ' .... นั้นแหละครับ คำพูดพวกนี้นั้นแหละ ที่ทำให้คนที่เป็นโรคนี้ไม่กล้าที่จะบอกใคร เพราะเขากลัวคำพูดพวกนี้ไงครับ จขกท.เป็นคนหนึ่ง ที่บอกคนรอบข้างไปแล้วเจอคำพูดพวกนี้มาแล้ว มันรู้สึกแย่แล้วก็ทำให้ไม่อยากพูดกับใครอีกเลย!!!!
ขอร้องนะครับ อย่าเอาคำพูดแบบนี้ไปพูดกับใครก็ตามที่เขากำลังบอกคุณว่าเขาเป็นโรคนั้น ที่เขาเลือกจะบอกคุณ เพราะคุณเป็นคนที่เขาไว้ใจนะ
เขาไม่ต้องการคำพูดใดๆปลอบใจหรอกครับ เขาแค่ต้องการคนๆหนึ่งที่พร้อมจะ "เข้าใจ" ตัวเขาในตอนนั้นก็พอ
พร่ำเพ้อมายาว เอาตรงๆคือที่มาตั้งกระทู้นี้คือตั้งใจจะมาเล่าประสบการณ์overdoseยานอนหลับตัวเอง เพื่อเตือนหลายๆคน ว่ามันไม่ได้ตายสบายและไปอย่างสงบอย่างที่คิด
เริ่มจากที่จขกท.ไปหาจิตแพทย์จนได้รับการรักษาเกือบจะหายแล้ว (เหลือแค่กินยาไม่กี่เม็ด และกินเฉพาะตอนที่นอนไม่หลับหรือมีอาการ) และด้วยความที่ว่าตอนต้นเดือนต้องไปเข้าค่าย ทำให้ต้องใช้ชีวิตทุก24.ชั่วโมงร่วมกับเพื่อน การจะต้องมากรอกยา5เม็ดเข้าปากตัวเอง มันอาจจะดูไม่ค่อยสะดวก เลยทำให้จขกท.เลือกที่จะไม่กินยา และหยุดยาตั้งแต่นั้นมา คือเดือนนี้ทั้งเดือนไม่ได้กินยาเลย จขกท.เองก็คิดไปเองว่าไม่เป็นไร มีอาการเมื่อไหร่ค่อยกลับไปกิน ด้วยความที่คิดว่าตัวเองปกติ แค่ความจริงแล้วไม่ได้ปกติ จนทำให้เกิดสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับโรคนี้คือ ตอนที่สติดีๆหลุดออกไปแล้วไล่ตามความคิดตัวเองไม่ทัน
วันนั้นเป็นคืนวันศุกร์เลยตกลงกับเพื่อนว่าจะออกไปดื่มกันสักหน่อย ก็ได้แต่จิบๆ ไม่กล้าดื่มเยอะ เพราะกลัวอาการจะกำเริบออกมาอีกรอบ (ที่ไหนได้ล่ะ มันมาแล้ว แต่กูนี้แหละไม่รูตัว) หลังจากดื่มเสร็จกลับมานอนที่หอ (จขกท.อยู่คนเดียว ไม่มีเมท แต่ก็มีบ้านอยู่ในจังหวัดนี้แหละ ที่อยู่หอเพราะบ้านค่อนข้างไกลจากมหาลัย) ตอนอยู่ร้านเหล้ากับเพื่อนหลายๆคนคือปกติดีทุกอย่าง พอกลับหอมาอยู่คนเดียวปุ๊ป เอาแล้วว น้ำตาไหลมาจากไหนไม่รู้ ความรู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ ทุกอย่างที่เป็นความรู้สึกด้านลบเข้ามาในหัว เข้ามาในใจชนิดที่ว่าหาสาเหตุไม่ได้ แล้วมันก็ไหลเข้ามาเรื่อยๆแบบควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้เลย จะโทรคุยกับใครล่ะ ตี4แบบนั้นคือทุกคนหลับกันหมดแล้ว สุดท้ายเหมือนสติหลุด จนตามความคิดตัวเองไม่ทัน ตอนนั้นในหัวไม่คิดจะบอกลาใครทั้งนั้น คิดแค่ว่าไม่อยากอยู่แล้ว จัดการเปิดตู้เย็นจัดเบียร์ไป1กระป๋องใหญ่ ตามด้วยยัดยานอนหลับพร้อมยาแก้เครียดเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนั้น คิดว่าจะหลับแล้วตายไปอย่างสบายๆ .... แต่ไม่เลย มันจะทรมานแบบเป็นstep
Stepแรก หลังจากกรอกทุกอย่างลงปากตัวเอง ความรู้สึกแรกคือเบลอ ง่วงมากแต่ก็นอนไม่หลับ จะลืมตาก็ลืมไม่ขึ้น เป็นอารมณ์แบบว่านอนตาหลับแต่รู้สึกตัวดีทุกอย่าง
Step2 ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน คือตื่นขึ้นมารู้สึกว่าคอแห้ง ปากแห้งจนไม่มีน้ำลาย จะลุกไปกินน้ำก็ลุกไม่ไหว
Step3 รู้สึกตัวอีกทีคือตื่นขึ้นมาอ้วก อ้วกออกมาเห็นเม็ดยาเป็นเม็ดๆ ช่วงเวลานี้ก้มีแต่อ้วกๆๆ อ้วกๆ-หลับๆวนไปครับ จนถึงเช้า เฮียกับเจ่ที่บ้านมาหา จะมารับกลับบ้านเพราะวันนั้นเป็นวัหยุด ตอนนั้นคือได้ยินเสียงเคาะประตู ได้ยินเสียงเฮียกับเจ่เรียกชัดเจน แต่มันตอบไม่ได้ แค่ลืมตายังลืมไม่ขึ้นเลย สุดท้ายมารู้สึกตัวอีกทีตอนอยู่โรงพยาบาล
Step4 อันนี้ทรมานสุดๆ คือโดนล้างท้อง พยาบาลจะใส่สายเข้าไปทางจมูกให้ลึกถึงกระเพาะอาหาร แล้วก็ฉีดน้ำใสๆเข้าไป แล้วดูดออกมาเรื่อยๆ ลืมตาขึ้นมาภาพแรกที่เห็นคือเฮียกับเจ่คอยจับมือแล้วบีบๆอยู่คนล่ะข้าง (อันนี้รู้มาทีหลังว่าต้องมีคนคอยจับมือไว้ เพราะตอนนั้นพยายามจะดึงสายเสียบจมูกออก ถ้าดึงออกแล้วต้องใส่ใหม่ แล้วตอนนั้นเวรตอนเช้ามีพยาบาลแค่2คน เฮียกับเจ่เลยต้องเป็นคนมาจับ ) ที่เห็นล่ะคิดได้ว่านี้กูทำอะไรลงไปว่ะ คือเห็นเฮียร้องไห้ เพราะปกติจะเป็นคู่พี่น้องที่ทะเลาะกันตลอดเวลา เคยทะเลาะกันจนต่อยกันปากแตกก็มี ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นเฮียร้องไห้แม้แต่แอะเดียว และเฮียจะเป็นผู้ชายที่ปากหมามาก ด่าน้องตลอด แต่วันนี้เฮียไม่ด่าเลยสักคำ ประโยคเดียวที่ได้ยินแล้วจำได้คือ ' ไม่หลับนะหมู เฮียอยู่ข้างๆนี้แล้วนะ ไม่หลับนะๆๆๆ ' ในขณะที่เจ่เอาแต่ร้องไห้น้ำตาเต็มหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตอนนั้นอยากจะตอบกลับไปว่า ขอโทษนะเฮียๆเจ่ๆ ขอโทษที่ทำแบบนี้ จะไม่ทำแล้ว แต่มันก็ตอบไม่ได้ ทำได้แค่มองเฉยๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนอีกเหมือนเดิม
Step5 คือตื่นมาอีกทีตอนผ่านไปแล้ว1วัน ประมาณ3ทุ่ม (หลับไป1วันกับอีกครึ่งค่อนคืน) ตื่นมาก็อ้วกวนไปอีกแล้วครับ แต่รอบนี้อ้วกออกมามีแต่น้ำย่อยสีเหลืองๆขมๆ นอกจากอ้วกแล้วก็เบลอครับ เบลอมากๆ เหมือนภาพตัดตอนเมา ใครชวนคุยก็จะตอบแบบเบลอๆ บางทีก้ตอบไม่รู้เรื่อง ทรงตัวไม่อยู่ จะลุกนั่งบนเตียงยังเซจนลงไปกลิ้งนอนกับพื้น ยังคิดภาพไม่ออกเลยว่าลงไปอยู่พื้นห้องได้ยังไง แถมยังง่วงนอนชนิดที่ว่าเหมือนไม่ได้นอนมา3เดือน จนนอนหลับข้ามมาอีกวัน (วันที่3) ตื่นมาประมาณเที่ยงๆ หายเบลอไปแล้วนิดหน่อย ย้ำว่านิดหน่อยจริงๆ เริ่มรู้สึกตัวว่าเริ่มเจ็บๆแถวหน้าอก มันเป็นเจ็บแบบจุกๆ เลยบอกเฮียๆเจ่ๆว่าเจ็บ เฮียบอกว่า 'ไม่เจ็บดิแปลก รู้ตัวป๊ะว่าโดนปั๊มcprหลังล้างท้องไปแล้วรอบหนึ่ง ดีนะกลับมาได้ ไม่งั้นเฮียจะตามไปด่าเอ็งถึงนรกเลย เอาให้อายไปถึงบรรพบุรุษหมูเลยคอยดู ' _*_ แหนะ ดูดิ ทำซึ้งกันได้แป๊ปเดียว ตื่นมาก็
กว่าจะคุยกับใครรู้เรื่อง เรียบเรียงเหตุการณ์ถูกก็คืนดึกๆวันที่5 พร้อมด้วยอาการขมคอจนกินอะไรไม่ได้แม้แต่ข้าวหรือนม กินได้แต่น้ำส้ม-น้ำผลไม้เปรี้ยวๆ แถมด้วยอาการเพดานหมุน เวียนหัว พร้อมอ้วกพุงตลอดเวลา _*_ สรุปคือชีวิตหายไปเกือบทั้งอาทิตย์เลยเต็มๆ แถมอาการเบลอๆก็ยังคงอยู่ไปอีก2-3วัน สุดท้ายจะจบล่ะ 5555 เดี๋ยวยาวไปจะขี้เกียจอ่านกัน
ที่น่าแปลกคือช่วงเวลาที่เราเงียบหายไป จากที่เคยคิดว่ามีเพื่อนเยอะ กลับไม่มีใครสังเกตุเลยสักคนว่าเราหายไปนะ จะมีก็แต่เฮียๆเจ่ๆ กับครอบครัวเท่านั้น ที่เป็นคนที่ดูแลเราตลอด มาถึงตรงนี้จะบอกว่า คนที่เสียใจกับเราจริงๆ รักเราจริงๆ ก็คือครอบครัวของเรานั้นแหละครับ อาจจะมีทะเลาะกันบ้าง ก็เพื่ออรรถรสในการอยู่บ้านเดียวกันก็เท่านั้นเอง
สุดท้ายล่ะ ใครคิดจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ อย่าทำเลยครับ ทรมานทั้งร่างกายตัวเอง แถมยังทรมานจิตใจคนที่อยู่ข้างๆเราด้วย อดทนไปกับมันนะ โรคนี้อ่ะ เป็นได้มันก็หายได้ อย่ายอมแพ้ก่อนก็พอ ^^
P.S ผมขอไม่ตอบคอมเม้นเนอะ แต่จะเข้ามาอ่านบ่อยๆนะครับ