ธุรกิจเชิงรุก คืออะไรคะ รบกวนขอคำอธิบายเป็นภาษาไทยแบบเข้าใจง่ายๆ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ธุรกิจเชิงรุก  โดยทั่วไปหมายถึงธุรกิจที่มีลักษณะกิจกรรมเป็น Pro-active มากกว่า Reactive
(ขออภัยที่ใช้ทับศัพท์จ้ะ เพราะหาศัพท์คำไทยที่เข้าใจง่ายไม่ได้)

ก่อนอื่น คำว่าธุรกิจนั้นมีความหมายกว้าง มีหลายระดับ มีทั้ง Back office เช่น ฝ่ายการเงินบัญชี ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายไอที จะมีกลยุทธ์ย่อยภายในของตน เช่น การออกไปรับสมัครพนักงานข้างนอกในตลาดนัดแรงงาน การวางแผนกำไร ประหยัดภาษี/ดอกเบี้ย การนำไอทีเข้ามาใช้ในการสื่อสาร/บริหารงานภายในองค์กร หรือภายนอก เป็นต้น หากมีลักษณะเป็น proactive มากกว่า reactive ก็อาจนับเป็นกลยุทธ์เชิงรุกได้


ส่วนถ้าเป็นกลยุทธ์ในส่วนที่ทำรายได้ให้องค์กร  เช่น การตลาดและการขาย เช่น

การรุกระดับการขาย - การออกไปพบลูกค้านอกสถานที่ ไม่ได้ตั้งรับอยู่แต่ในสำนักงานอย่างเดียว การออกบูธ-นิทรรศการ , Telesale , Direct sales , Push mail , etc.

กลยุทธ์ในระดับการตลาด - การแสวงหาตลาดใหม่ , การเจาะตลาด(penetration) ใช้ราคาหรือดปรโมชั่นจูงใจ , การเร่งลูกค้าเดิมใช้ผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น ( More usage ) เช่นบีบยาสีฟันเยอะๆในโฆษณาตัวอย่าง , แสวงหาลูกค้าใหม่จากการเปลี่ยนมาใช้ยี่ห้อเรา ( Brand switching ) รวมทั้งสร้าง Gimmic หรือ ทำ R&D สร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้แตกต่างเหนือคู่แข่ง เป็นต้น


ข้างต้นเป็นกลยุทธ์เชิงรุกในระดับส่วนย่อยต่างๆภายในองค์กร
หากถ้าเป็นกลยุทธ์ระดับองค์กร/อุตสาหกรรมแล้ว
การขยายตัวเชิงรุกของธุรกิจได้แก่การรุกแสวงหาธุรกิจใหม่ๆไปใน 4 ทิศทางคือ

  1. Backward Integration เป็นการขยายกิจการในลักษณะย้อนกลับ เพื่อดำเนินกิจการในธุรกิจต้นน้ำ (upstream) ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยนำเข้า (input) ของธุรกิจในปัจจุบัน นอกจากเป็นการขยายกิจการแล้วยังเป็นการลดความเสี่ยงของการผูกขาดด้านราคาและการขาดแคลนวัตถุดิบที่จำเป็นต่อกระบวนการผลิตสินค้าของธุรกิจหลักทางหนึ่งด้วย ส่วนสินค้าที่ผลิตได้จากกิจการใหม่นอกจากจะป้อนให้กับธุรกิจหลักแล้วยังสามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้กับตนเองเพื่อสร้างผลกำไรต่อไป เป็นทิศทางการขยายเชิงรุกไปในทิศทางย้อนกลับไปสู่ผู้ผลิตของตน ตัวอย่างการขยายกิจการแบบ Backward Integration ได้แก่ โรงงานผลิตเนื้อไก่แช่แข็ง มักจะขยายกิจการไปสู่ธุรกิจฟาร์มไก่ และแม้แต่ธุรกิจฟาร์มไก่เองก็ยังขยายกิจการไปดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์อีกทอดหนึ่ง หรือบริษัทก่อสร้างหันกลับไปตั้งโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างของตนเอง เป็นต้น

2. Forward Integration การขยายกิจการในลักษณะนี้เป็นการมองไปข้างหน้าหรือขยายไปสู่ธุรกิจปลายน้ำ (downstream) เพื่อประโยชน์อย่างน้อยสองประการ คือ ขยายกิจการและแก้ปัญหาการต่อรองของผู้ซื้อรายใหญ่ในด้านราคา การกระจายสินค้าและอื่นๆ เป็นทิศทางการรุกที่ไปแข่งกับลูกค้าเดิมของตน ตัวอย่างการขยายกิจการแบบ Forward Integration นี้ ได้แก่ บริษัทก่อสร้าง หันไปทำบ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้าทำสินค้า House brand ของตนเอง

3. Horizontal Integration การขยายกิจการในแนวราบนี้มีจุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในสินค้าที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคโดยเร็ว การขยายกิจการโดยลำพังอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ ผู้ประกอบการจึงมีความจำเป็นต้องเข้าไปซื้อหรือควบรวมกิจการอื่น เพื่อให้ได้ประโยชน์จากขนาดที่ใหญ่ขึ้น (economy of scale) และครอบคลุมสินค้าบริการที่หลากหลาย (economy of scope) ทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น ตัวอย่างของการขยายกิจการแบบ Horizontal Integration ได้แก่ บริษัททีวีมัลติมีเดียเข้าไปซื้อกิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อสร้างมัลติมีเดียครบวงจร หรือร้านวิดีโอขนาดใหญ่ควบรวมกับร้านวิดีโอขนาดเล็กเพื่อสร้างเครือข่าย เป็นต้น

4. Diversification การตัดสินใจดำเนินธุรกิจใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างไปจากธุรกิจเดิมนั้นนับเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์และความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ทำให้ข้อจำกัดต่างๆ ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป การขยายกิจการในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้สองรูปแบบ คือ การขยายกิจการไปสู่ธุรกิจใหม่ที่ยังมีความสัมพันธ์กับธุรกิจเดิม  (concentric diversification) เช่น ผู้ผลิตน้ำอัดลม ขยายกิจการไปสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำส้ม เป็นต้น ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ การขยายกิจการไปสู่ธุรกิจใหม่ที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับธุรกิจเดิมเลย  (conglomerate diversification) ซึ่งรูปแบบนี้เห็นได้หลากหลายในปัจจุบัน เช่น กลุ่มธุรกิจที่ผลิตอาหาร ก้าวไปสู่ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจเครื่องดื่มชากาแฟ สร้างธุรกิจสนามกีฬา และธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ขยายกิจการไปสู่ธุรกิจสนามแข่งรถ เป็นต้น

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่