THE LOVERS & THE DESPOT ทั่นผู้นำก็มีหัวใจนะ

"ฮิตเลอร์" ผู้นำนาซีเยอรมนี เป็นคนที่รักการวาดรูปมาก
"คิมจองอิล" ผู้นำสาธารณรัฐเกาหลีเหนือ ก็เช่นกัน เขาเป็นคนที่รักภาพยนตร์มาก


นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกดู THE LOVERS AND THE DESPOTS เพราะมันนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำเผด็จการคิมจองอิลในแง่มุมที่เราไม่เคยรู้มาก่อน



ในช่วงยุค 70 ที่ทายาทของท่านผู้นำคิมอิลซุง "คิมจองอิล" เริ่มมีบทบาททางการเมือง เขาเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าอยากจะปฏิรูปวงการหนังเกาหลีเหนือ เพราะว่ามันน่าเบื่อสิ้นดี! ก่อนหน้านั้นเกาหลีเหนือจะมีแต่หนัง propaganda ที่ชูเรื่องราวของผู้นำและเน้นความซาบซึ้ง (ประโยคพูดในหนังของคิมจองอิลโคตรฮา "หนังบ้าไรวะ ดูแล้วมีแต่ฉากซาบซึ้ง ผู้คนร้องไห้ นี่มันไม่ใช่งานศพนะโว้ย!" 555) เขาอยากพัฒนาหนังให้ทัดเทียมกับเกาหลีใต้ ก็เลยเล็งไปที่ยอดผู้กำกับ "ชินซางอ๊ก" และนางเอกสาวคู่บุญ "เชวอึนฮี" ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง และเมื่อสบโอกาสก็ให้สปายล่อลวงทั้งสองไปฮ่องกงเพื่อลักพาตัว ชินซางอ๊กนั้นดูจะปรับตัวได้ยากกว่า เขาคิดวางแผนหนีจนถูกจับตัวไปคุมขังนานร่วม 4 ปี จนกระทั่งเมื่อทางการคิดว่าสามารถปรับทัศนคติชินได้แล้ว ท่านผู้นำคิมจองอิลจึงเรียกทั้งคู่ไปปรึกษาหารือแผนการใหญ่ นั่นก็คือ การสร้างภาพยนตร์เกาหลีเหนือให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาในเวทีโลก ถือเป็นหนึ่งในยุทธวิธีประกาศสงครามสื่อกับเกาหลีใต้ ผัวเมียคู่นี้ก็เนียนมาก พวกเขาช่วยคิมจองอิลสร้างหนังดี ๆ ไว้เป็นสิบเรื่อง ซึ่งท่านคิมก็ทุ่มทุนมาก สนับสนุนให้ทั้งเงินทุนและอุปกรณ์แบบเต็มที่ คู่รักมายารอจังหวะจนกระทั่งท่านคิมตายใจ จึงฉวยโอกาสในระหว่างการไปเจรจากับโปรดิวเซอร์หนังในเวียนนา พวกเขาหลบหนีไปขอลี้ภัยกับทางสถานทูตอเมริกาในยุค 80 จบสิ้นชีวิตผู้ถูกลักพาตัวในเกาหลีเหนือที่กินเวลานานร่วม 10 ปี

แต่กระนั้นดราม่าก็ยังไม่จบ เพราะทางการเกาหลีใต้ก็ไม่ค่อยจะเชื่อนักว่าชินซางอ๊กถูกลักพาตัวไปจริง ๆ หลายคนคิดว่าเขาน่าจะไปร่วมงานกับเกาหลีเหนือด้วยความสมัครใจมากกว่า เรียกได้ว่าเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันจนถึงวันที่ชินซางอ๊กสิ้นใจ อันเป็นที่มาของหนังสืออัตชีวประวัติ และภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ซึ่งชินซางอ๊กก็ถือว่าชาญฉลาดที่แอบอัดเทปการสนทนาของเขากับคิมจองอิลไว้ในระหว่างการถูกลักพาตัวที่เกาหลีเหนือเพื่อเป็นหลักฐาน

หนังสารคดีเรื่องนี้ ดำเนินเรื่องโดยใช้การถ่ายวิดีโอสัมภาษณ์ "ชเวอึนฮี" ที่ยังมีชีวิตอยู่ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น ลูก ๆ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเกาหลีใต้ อดีตเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์ คนในวงการภาพยนตร์ เจ้าหน้าที่ทูต และผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น ผสมกับเทปบันทึกเสียงการสนทนาของสองผัวเมียกับคิมจองอิล และภาพฟุตเทจต่าง ๆ เช่น ผลงานหนังเก่า ๆ ของชินซางอ๊ก ภาพฟุตเทจจากเกาหลีเหนือ บวกกับการสร้างภาพจำลองเหตุการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพแบบหนังฟิล์มเก่า ๆ ทำให้ได้อารมณ์ retro

โดยส่วนตัวชอบวิธีการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้มาก แม้ว่าจะเป็นสารคดีที่ตัดต่อจากภาพฟุตเทจเก่า ๆ เป็นหลัก แต่ก็ให้อารมณ์ตื่นเต้น ได้ลุ้นไปตลอดทั้งเรื่อง แถมซาวด์นี่ก็จะไม่รู้ว่าบิ๊วอะไรกันนักหนา 555 โอเคแหละว่าเนื้อหาหลาย ๆ ส่วนมันก็เป็นการ propaganda ของค่ายเสรีนิยมตะวันตก แต่ว่าการพูดถึงตัวผู้นำเผด็จการอย่าง "คิมจองอิล" นั้น ก็เป็นการเล่าด้วยมุมมองแบบมนุษยนิยม ทำให้เราได้เห็นภาพของเขาในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง คิมเป็นคนที่คลั่งไคล้ในภาพยนตร์ เขามีห้องฉายหนังอยู่ในที่ทำงานทุกที่ เขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีหัวโขนที่ต้องสวม มีภาระหนักอึ้งที่ต้องรับผิดชอบ และเติบโตมาแบบไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก (คงจะคล้ายกับที่เดนนิส ร็อดแมน เคยพูดถึง คิมจองอึน บุตรชายของคิมจองอิล ว่า เอาจริงแล้ว คิมจองอึน ก็เป็นคนเหมือนกัน เขาชอบเล่นบาส ชอบฟังเพลงป็อบ แต่ระบอบการเมืองแบบสุดโต่งที่ปู่และพ่อของเขาสร้างเอาไว้นั้นมันหล่อหลอมและบีบบังคับให้พวกเขาต้องวางมาดและปฏิบัติตนเช่นนั้น)

ผมชอบฉากสัมภาษณ์อดีตสหายของคิมจองอิลที่แปรพักตร์ เขากล่าวว่า เพื่อให้ระบอบของเกาหลีเหนือดำรงอยู่ได้ มันจำเป็นต้องมีการครอบงำทางร่างกาย และการครอบงำทางความคิด (บางตอนดู ๆ ไปก็รู้สึกตะหงิด ๆ ใจ เอ๊ะ.... 555)

บางประเด็นนี่ก็น่าสนใจดีนะ เพราะเอาจริง ก่อนที่เกาหลีใต้จะปลุกกระแส K-Pop แล้วมาครองตลาดในบ้านเราได้นั้น ผมจำได้ว่าในช่วงยุค 80 เผลอ ๆ เกาหลีเหนือจะมีการส่งออกวัฒนธรรมนำหน้าเกาหลีใต้ด้วยซ้ำ สมัยนั้นจำได้ว่า เกาหลีเหนือชอบส่งกายกรรมเปียงยางมาแสดงในบ้านเรา ขณะที่เกาหลีใต้ในยุค 80 ยังให้อารมณ์บ้านพี่เมืองน้อง ร้องเพลงอารีดังกันอยู่เลย 555

อย่างในหนังเรื่อง LOVERS AND DESPOT เขาก็ชี้ให้เห็นว่า ยุคหนึ่งเกาหลีใต้ก็เมินคนทำหนัง ชินซางอ๊กกลายเป็นผู้กำกับตกอับ หนี้บานเบอะ แต่พอเขาไปอยู่เกาหลีเหนือ คิมจองอิลทุ่มให้ไม่อั้น เนื่องด้วย passion ส่วนตัวของท่านผู้นำ และความต้องการส่งออกวัฒนธรรมเพื่อการ propaganda สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่เกาหลีเหนือ จนเป็นที่มาของประโยคหนึ่งของชินซางอ๊กว่า "อยู่ที่นี่ฉันไม่ชอบเลย เว้นเรื่องเดียวคือทำหนังแล้วไม่ต้องเป็นหนี้" 555 อาจจะเรียกได้ว่า ชินซางอ๊ก เกิดก่อนกาล ก่อนที่รัฐบาลเกาหลีใต้จะหันมาส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในยุค 2000 (ถึงอย่างนั้น หลังเสียชีวิต ชินซางอ๊กก็ได้รับรางวัล Gold Crown Cultural Medal ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของคนทำหนัง)



ปล. ดูหนังเรื่องนี้ บวกกับได้อ่านเรื่องเกาหลีเหนือที่เล่าโดยสารพัดเซเล็บบน Facebook แล้วก็พลางนึกในใจ... "ตกลงเรายังอยู่ในยุคสงครามเย็นกันใช่มั้ยเนี่ย?" 5555

จากที่ได้คุยกับรุ่นน้องเกี่ยวกับดราม่ารีวิวทริปเกาหลีเหนือนั่น ที่คนมานั่งเถียงกันว่า เอ๊ะ เรื่องเที่ยวแท้ ๆ ทำไมต้องโยงการเมือง?
คือผลกระทบการ propaganda เนี่ยมันทำให้เรามี #ชุดความคิดที่ครอบงำเราอยู่โดยไม่รู้ตัว
อย่างเมื่อก่อนพอเราพูดถึงเกาหลีเหนือปุ๊บ keyword แรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึง ก็คือ เผด็จการ นิวเคลียร์ อดอยาก
แต่พอยุคหลัง ๆ ที่มีการแบ่งขั้วการเมืองชัดเจน (polarized) กลายเป็นว่า #เกาหลีเหนือ เป็นสัญญะที่ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้ทางอุดมการณ์
คือถ้าเป็น #ฝ่ายซ้าย(เสรีนิยม/ปชต.) ก็จะมีการสร้างชุดความคิดว่า เกาหลีเหนือ = เผด็จการ เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย อยู่ลำบาก ไทยกำลังจะกลายเป็นเหมือนเกาหลีเหนือ
ขณะที่ #ฝ่ายขวา(อนุรักษ์นิยม/อำนาจนิยม) ก็พยายามจะสร้างวาทกรรมทางเลือกขึ้นมา เช่นว่า เกาหลีเหนือ = ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด อุดมสมบูรณ์ ผู้คนมีความสุขดีออก ผู้คนอยู่กันอย่างพอเพียง อเมริกันยัดเยียด/บิดเบือนข้อมูล เกาหลีเหนือถูกอเมริกากลั่นแกล้ง

ซึ่งผมว่าการนำเสนอข้อมูลอีกด้านนั้นเป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะเอาเข้าจริง ก็แบบที่หลายคนวิจารณ์ไว้ ชุดความคิดเรื่องเกาหลีเหนือที่เราเคยรับมา หลาย ๆ เรื่องมันก็มีการแต่งเติมไม่มากก็น้อย เราเองก็เชื่อตามข้อมูลที่เราเสพ #แต่การนำเสนอข้อมูลแบบสุดโต่ง อันนี้สิน่าเป็นห่วงมาก แล้วคนสมัยนี้แทนที่จะไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม มันจะกลายเป็นว่าอ่าน status ของเซเล็บคนนั้นคนนี้แล้ว ก็ตีว่าเป็นข้อสรุปหรือข้อเท็จจริงไปเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่